คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
เราเองก็เคยคิด เวลาทุกข์ใจเราก็ยังเคยคิดว่าจะโดดน้ำดีมั๊ยนะ (ตอน10ขวบ) ตอนนั้นเรากลัวว่าถ้าเราลงไปในน้ำแล้วเราจะไม่ตาย กลัวโดนด่าว่าทำทำไม ตอนนั้นเราไม่รู้จักธรรมะ เรารู้สึกว่าเวลาเราทุกข์เราก็ชอบไปนั่งที่สระแล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ชอบปลีกวิเวก มีขนมปังเก่าก็เอาให้ปลา ดูปลากินก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เป็นคนชอบคิดอะไรคนเดียว คิดได้สารพัด ที่จขกท.สงสัยนั้นเมื่อก่อนเราก็สงสัยบ่อยๆ ถ้าจขกท.คิดคล้ายเราเราก็เดาว่าน่าจะเป็นคนช่างคิด ช่างสงสัย ช่างเหตุผล และก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนผ่านชั้นประถม ขึ้นมัธยม ก็ได้มาเจอสังคมอีกกลุ่มนึง บ้านเช่าหลังใหม่หลังเล็กลง ไม่มีสระ ไม่มีที่ให้ปลีกวิเวก เราเหมือนเป็นคนพูดน้อยแต่คิดเยอะ แล้วก็เศร้า เรามีอะไรที่ชอบคิดในใจเยอะมากและก็ไม่ค่อยพูดว่าเราคิดอะไร พอมีอินเตอร์เน็ตเราก็เป็นแหล่งเดียวที่เราสามารถพูดในสิ่งที่เราคิดได้ทุกอย่าง เรารู้สึกเหมือนกับว่าเป็นที่ๆอิสระ เราอยากจะพูดอะไรก็ได้ จนฉันรู้สึกว่าคนที่พูดไม่เก่งแต่คิดเก่งมักจะเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ไว้ใช้ระบายความโกรธ ความไม่พอใจ จนชีวิตฉันมาเจอจุดเปลี่ยนที่ฉันไม่พอใจมากๆ และฉันก็ไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตพูดได้อย่างอิสระ ฉันจึงเข้าหาทางธรรมะ ...
ตอนแรกฉันศึกษาคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส เรารู้สึกว่าเออฉันไม่เคยรู้จักพุทธในแนวนี้เลยนะ ซึ่งเป็นแนววิทยาศาสตร์ แนวเหตุผล มันคือกับแนวคิดอย่างเรามาก และธรรมะก็กลายเป็นสิ่งที่ฉันคิด ทำให้หนีความทุกข์ใจได้ เมื่อไหร่ที่ทุกข์ใจก็เปิดฟังธรรมะ จนรูมเมทรำคาญ (555+) จนถึงขั้นต้องสวดมนต์แบบออกเสียง รูมเมทคนแรกของเราทนไม่ไหวเลย เราแบบ คิดถึงตอนนั้นแล้วโคตรขำตัวเอง แต่ตอนนั้นมันขำไม่ออกจริงๆ เขาก็บอกว่า น้องก็นิสัยดีนะแต่เป็นคนยังไงไม่รู้ เราก็คิดในใจว่า ภายนอกเราก็ดีกับทุกคนอยู่แล้ว หลังจากนั้นเราก็เริ่มศึกษาพุทธวจน ตอนนั้นก็เปลี่ยนมหาลัยที่สองแล้ว ก็เริ่มอ่านหนังสือสองเล่ม มันรู้สึกว่ามันใช่ นี่คือธรรมะที่ขั้นสุดแล้ว ถ้าเราเห็นตรงนี้เราก็หายสงสัยทุกอย่างแล้ว เราก็รู้สึกว่าเราโชคดีมากๆ ที่คนอย่างเราได้มีโอกาสรู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้า โชคดีมากๆที่เราได้พบเจอพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ชั่วทั้งชีวิตเราเราอยู่กับความทุกข์ ความไม่มีความสุข และอยู่กับการคิดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียว พอมาเจอคำสอนของพระพุทธองค์นั้นแหละเรารู้สึกว่าเราโชคดีมากๆ เราก็ทุ่มเทอ่านๆๆๆๆ ฟังธรรมๆๆๆ เวลาฟังแล้วมีความสุขมาก จากการสนใจธรรมะเราเริ่มพูดธรรมะให้แม่ฟัง จากนั้นก็กลายเป็นทะเลาะกับแม่ (ใครนะจะมีโมเม้นศึกษาธรรมะจนเป็นเหตุให้ทะเลาะกับแม่ มาคิดตอนนี้ก็ขำแต่เมื่อก่อนมันขำไม่ออกจริงๆ) แม่เราก็หาว่าเรามันนักทฤษฎี ไม่ใช่นักปฏิบัติ นี่คือคำที่แม่ชอบว่าเราเสมอๆเวลาเราพูดธรรมะ จนเรารู้สึกว่านี่คือคำด่าที่ดูถูกเรามากๆ เพราะแกพูดแบบเหมือนเรายังไม่ดีพอ และเป็นข้ออ้างให้เราเลิกพูดได้แล้ว คือชีวิตเราที่เราศึกษาธรรมะ มันเปลี่ยนไป แต่เราก็แปลกใจที่เรายังคงเชื่อมั่นในธรรมะ 100% ตอนเราศึกษาธรรมะเรารู้สึกว่าเราไม่เหมือนเพื่อนเลย ถามว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ศึกษาธรรมะก็มี แต่เขาก็มองเราว่าทำตัวแปลกๆ ก็ไม่ค่อยคบเราเท่าไหร่
มันเหมือนกับมีปมด้อยหลายๆ อย่าง ที่บางอย่างก็กลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราดีขึ้น ใจเราลึกๆนั้นอยากให้แม่เชื่อในธรรมะ เชื่อในสิ่งที่เราพูด ประกอบกับความทุกข์ใจตลอดๆ จนทำให้ฉันกลายเป็นคนที่พูดโน้มน้าวใจคนได้เก่ง จากที่เป็นคนพูดไม่เก่ง ตรงนี้ฉันรู้สึกภูมิใจในตนเองมาก มันเหมือนกับปมด้อยอย่างหนึ่งเราแก้ให้เป็นปมเด่นของเราได้ อืมเราทำได้ไงนะ แต่ปมด้อยหลายๆอย่างมันก็ยังมีอยู่แม้ในขณะนี้ ก็พยายามต่อไปเรื่อยๆ ธรรมะที่รู้มากขึ้นแล้วกลับไม่มีความน่าสนใจ เรารู้สึกว่าเหตุการณ์รอบข้างมันน่าเบื่อเอามากๆ เดี๋ยวก็ดี แต่ก็ดีได้แป้บเดียวก็กลับมาอีหรอบเดิม แล้วเราก็ต้องหนีต่อไปเรื่อยๆ ความโกรธมันก็ฝังอยู่ข้างใน เราก็ต้องพยายามจัดการกับอารมณ์ของตนเองต่อไปเรื่อยๆ
แต่ถามว่าอะไรล่ะที่ทำให้ฉันเลิกสงสัย ทั้งๆที่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตรัสตอบว่าคนเราเกิดมาทำไม นั่นเป็นเพราะว่าฉันเข้าใจสัจจธรรมต่างๆแล้ว รู้เหตุรู้ผลต่างๆได้ระดับนึง ธรรมะเปลี่ยนชีวิตฉันไปได้หลายครั้งหลายครา ถ้าเกิดชีวิตฉันที่ยังไม่รู้จัก กับตอนนี้ที่รู้จัก การใช้ชีวิตมันจะต่างกันมากๆ นี่คือโชคดีของฉันที่ฉันต้องรำลึกของคุณคนที่ให้ธรรมะทุกครั้ง เพื่อรำลึกว่าอย่างน้อยๆฉันก็ยังมีสิ่งที่โชคดี ไม่ได้มีแต่โชคร้ายเพียงอย่างเดียว
ตอนแรกฉันศึกษาคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส เรารู้สึกว่าเออฉันไม่เคยรู้จักพุทธในแนวนี้เลยนะ ซึ่งเป็นแนววิทยาศาสตร์ แนวเหตุผล มันคือกับแนวคิดอย่างเรามาก และธรรมะก็กลายเป็นสิ่งที่ฉันคิด ทำให้หนีความทุกข์ใจได้ เมื่อไหร่ที่ทุกข์ใจก็เปิดฟังธรรมะ จนรูมเมทรำคาญ (555+) จนถึงขั้นต้องสวดมนต์แบบออกเสียง รูมเมทคนแรกของเราทนไม่ไหวเลย เราแบบ คิดถึงตอนนั้นแล้วโคตรขำตัวเอง แต่ตอนนั้นมันขำไม่ออกจริงๆ เขาก็บอกว่า น้องก็นิสัยดีนะแต่เป็นคนยังไงไม่รู้ เราก็คิดในใจว่า ภายนอกเราก็ดีกับทุกคนอยู่แล้ว หลังจากนั้นเราก็เริ่มศึกษาพุทธวจน ตอนนั้นก็เปลี่ยนมหาลัยที่สองแล้ว ก็เริ่มอ่านหนังสือสองเล่ม มันรู้สึกว่ามันใช่ นี่คือธรรมะที่ขั้นสุดแล้ว ถ้าเราเห็นตรงนี้เราก็หายสงสัยทุกอย่างแล้ว เราก็รู้สึกว่าเราโชคดีมากๆ ที่คนอย่างเราได้มีโอกาสรู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้า โชคดีมากๆที่เราได้พบเจอพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ชั่วทั้งชีวิตเราเราอยู่กับความทุกข์ ความไม่มีความสุข และอยู่กับการคิดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียว พอมาเจอคำสอนของพระพุทธองค์นั้นแหละเรารู้สึกว่าเราโชคดีมากๆ เราก็ทุ่มเทอ่านๆๆๆๆ ฟังธรรมๆๆๆ เวลาฟังแล้วมีความสุขมาก จากการสนใจธรรมะเราเริ่มพูดธรรมะให้แม่ฟัง จากนั้นก็กลายเป็นทะเลาะกับแม่ (ใครนะจะมีโมเม้นศึกษาธรรมะจนเป็นเหตุให้ทะเลาะกับแม่ มาคิดตอนนี้ก็ขำแต่เมื่อก่อนมันขำไม่ออกจริงๆ) แม่เราก็หาว่าเรามันนักทฤษฎี ไม่ใช่นักปฏิบัติ นี่คือคำที่แม่ชอบว่าเราเสมอๆเวลาเราพูดธรรมะ จนเรารู้สึกว่านี่คือคำด่าที่ดูถูกเรามากๆ เพราะแกพูดแบบเหมือนเรายังไม่ดีพอ และเป็นข้ออ้างให้เราเลิกพูดได้แล้ว คือชีวิตเราที่เราศึกษาธรรมะ มันเปลี่ยนไป แต่เราก็แปลกใจที่เรายังคงเชื่อมั่นในธรรมะ 100% ตอนเราศึกษาธรรมะเรารู้สึกว่าเราไม่เหมือนเพื่อนเลย ถามว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ศึกษาธรรมะก็มี แต่เขาก็มองเราว่าทำตัวแปลกๆ ก็ไม่ค่อยคบเราเท่าไหร่
มันเหมือนกับมีปมด้อยหลายๆ อย่าง ที่บางอย่างก็กลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราดีขึ้น ใจเราลึกๆนั้นอยากให้แม่เชื่อในธรรมะ เชื่อในสิ่งที่เราพูด ประกอบกับความทุกข์ใจตลอดๆ จนทำให้ฉันกลายเป็นคนที่พูดโน้มน้าวใจคนได้เก่ง จากที่เป็นคนพูดไม่เก่ง ตรงนี้ฉันรู้สึกภูมิใจในตนเองมาก มันเหมือนกับปมด้อยอย่างหนึ่งเราแก้ให้เป็นปมเด่นของเราได้ อืมเราทำได้ไงนะ แต่ปมด้อยหลายๆอย่างมันก็ยังมีอยู่แม้ในขณะนี้ ก็พยายามต่อไปเรื่อยๆ ธรรมะที่รู้มากขึ้นแล้วกลับไม่มีความน่าสนใจ เรารู้สึกว่าเหตุการณ์รอบข้างมันน่าเบื่อเอามากๆ เดี๋ยวก็ดี แต่ก็ดีได้แป้บเดียวก็กลับมาอีหรอบเดิม แล้วเราก็ต้องหนีต่อไปเรื่อยๆ ความโกรธมันก็ฝังอยู่ข้างใน เราก็ต้องพยายามจัดการกับอารมณ์ของตนเองต่อไปเรื่อยๆ
แต่ถามว่าอะไรล่ะที่ทำให้ฉันเลิกสงสัย ทั้งๆที่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ตรัสตอบว่าคนเราเกิดมาทำไม นั่นเป็นเพราะว่าฉันเข้าใจสัจจธรรมต่างๆแล้ว รู้เหตุรู้ผลต่างๆได้ระดับนึง ธรรมะเปลี่ยนชีวิตฉันไปได้หลายครั้งหลายครา ถ้าเกิดชีวิตฉันที่ยังไม่รู้จัก กับตอนนี้ที่รู้จัก การใช้ชีวิตมันจะต่างกันมากๆ นี่คือโชคดีของฉันที่ฉันต้องรำลึกของคุณคนที่ให้ธรรมะทุกครั้ง เพื่อรำลึกว่าอย่างน้อยๆฉันก็ยังมีสิ่งที่โชคดี ไม่ได้มีแต่โชคร้ายเพียงอย่างเดียว
แสดงความคิดเห็น
เราคือใคร แล้วเราเกิดมาทำไม
ผมขอเท้าความก่อนเลยนะครับ
มีอยู่คืนนึงผมนอนคิดไปเรื่อยเปื่อย ๆจนกระทั่งมีความคิดโผล่เข้ามาในหัวว่า คนเราคือใครกันแน่ ผมพยายามจดจ่อกับคำถามนั้น ทำให้คิดต่อไปว่าทำไมถึงเป็นเราที่รู้สึกนึกคิด ณ ตอนนั้น ทำไมความรู้สึกนึกคิดนี้ถึงเกิดกับเรา มีอะไรที่เราควบคุมได้บ้างนะ คำตอบก็คือตัวเราเท่านั้นที่ควบคุมตัวเราได้ พอคิดถึงจุด ๆนี้ทำให้เรารู้สึกถึงความอ้างว้างและโดดเดี่ยว (ผมเป็นคนเฮฮาและมีเพื่อนเยอะนะครับ แต่ตอนนั้นมันรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวจริง ๆ) ความรู้สึกมันเหมือน มีแค่เราคนเดียวในโลกนี้ ที่รู้สึกถึงตัวเรา เราคนเดียวเท่านั้น จริง ๆ นำไปสู่การตั้งคำถามที่ว่า เราคือใครกันแน่?
ผมก็เอาแต่ครุ่นคิดกับคำถามนี้อยู่สักพัก ใช้ทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์มาช่วยในการตอบคำถามนี้ ถ้าใช้วิทยาศาสตร์เราก็คงไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิต ๆหนึ่งที่เกิดมาเพื่อเรียนรู้ สีบพันธ์และถ่ายทอดการเรียนรู้สู่รุ่นลูก รุ่นหลานแล้วตาย แต่ถ้าเราใช้ศาสนามาพิจารณา คำตอบคือเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม สั่งสมบุญ และตายไป ทำให้ผมก็คิดต่อว่า ถ้าคนเราตายแล้วจะไปไหน? ในเมื่อคนตายไม่เคยฟื้นมาบอกว่าตายแล้วไปไหน ถึงฟื้นมาบอก เราก็ไม่สามารถเห็นภาพพจน์นั้นที่ชัดเจนได้เพราะไม่ได้มีอะไรมายืนยันเลย
ถ้าเราลองใช้จินตนาการเปรียบเปรยว่าโลกดวงเดียวที่เราอยู่คือต้นไม้ต้นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ แล้วมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆก็คือมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ พิพิธภัณฑ์ก็คงคือจักรวาลที่เราเข้าใจ แล้วใครล่ะ ที่อยู่นอกพิพิธภัณฑ์นี้? อาจจะเป็นอาณานิคมหนึ่งก็เป็นได้ ผมขอสมมติให้เป็นสวนแล้วกัน แต่มันก็จะนำไปสู่คำถามอีกว่า ใครล่ะที่อยู่นอกสวนนี้? การเปรียบเปรยนี้ ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆถึงสิ่งที่เราคุ้นเคยนะครับ เช่น ในป่าอเมซอนในโลกนี้มีรังมดอยู่รังใหญ่รังนึงครับ ในนั้นมีอาณานิคมของมดอยู่เป็นล้าน ๆตัว แต่ละตัวต่างเข้าใจในถิ่นที่มันอยู่กันเอง ก็เหมือนมนุษย์ที่เข้าใจในโลกที่เราอยู่ ทีนี้ถามว่านอกรังล่ะ? แน่นอนครับ นอกรังไม่ไกลเกิน 1 กิโลเมตร มดคงจะรู้บางพื้นที่ป่าบริเวณนั้น ก็เหมือนมนุษย์ที่รู้บางพื้นที่รอบนอกโลก ในจักรวาลนี้ (เปรียบเสมือนป่าคือจักรวาล) แต่สิ่งที่น่าขบคิดคือ มดจะรู้จักมนุษย์ไหมนะ? ในเมื่อถ้าทั้งชีวิตมันไม่เคยเจอมนุษย์ มดจะรู้จักเทคโนโลยีมั้ยนะ ในเมื่อมันไม่เคยเข้าในเมือง ใช่ครับ ก็เหมือนมนุษย์ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างนอกนั่น บางทีเราอาจจะอยู่ในการทดลองหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่รู้จักมัน เราอาจจะเป็นกลุ่มสัตว์เลี้ยงหนึ่ง คำถามเหล่านี้ มันน่าขบคิดนะครับว่าแท้จริงแล้ว เราคือใคร เราเกิดมาทำไม/เพื่ออะไรกันแน่
ร่วมแสดงความคิดเห็นกันนะครับ คุณคิดว่าคุณคือใคร และเราเกิดมาทำไมกันแน่?