คริส ฮิวจ์ (Chris Hughes) เป็นผู้ร่วมก่อตั้งยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียที่มีส่วนช่วย Mark ทำคลอด Facebook จากในหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ที่ทั้งคู่ร่วมแบ่งปันห้องพักกันในช่วงต้นปี 2000 ล่าสุด Chris ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการต่อต้าน Facebook โดย Chris เขียนบทความแสดงความเห็นให้กับสื่อใหญ่อย่างนิวยอร์กไทม์ส (The New York Times) ในวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ในบทความ Chris ระบุว่าสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีมาตรการควบคุมผู้นำในตลาดโดยไม่คำนึงว่าผู้นำของบริษัทเหล่านี้จะร่ำรวยหรือมีอิทธิพลเพียงไร แต่วันนี้พลังที่ Mark มีนั้นเป็นสิ่งที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังไม่ได้เป็นพลังของคนอเมริกันด้วย ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าถึงเวลาที่จะจัดการยุบหรือแยก Facebook ได้แล้วChris ไม่เพียงเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ดัง แต่ยังเดินสายให้สัมภาษณ์กับสื่อทีวี โดยเอ่ยชัดถ้อยชัดคำในรายการว่า Facebook เป็นอันตรายต่อสังคมอเมริกันและโลก ท่ามกลางเสียงสนับสนุนไม่น้อยที่พร้อมจะเป็นแนวร่วมกับ Chris และผู้บริหาร Facebook ที่ออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านก่อนหน้านี้หลายคน
การส่งจดหมายเปิดผนึกนี้เกิดขึ้นหลังจาก Chris ลาออกจาก Facebook ตั้งแต่ปี 2007 เพื่อเป็นอาสาสมัครในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2008 ของบารัค โอบามา จุดนี้ Chris กล่าวว่าผู้ร่วมก่อตั้งรายอื่นของบริษัท ไม่เคยนึกภาพว่าอัลกอริธึมฟีดข่าว (News Feed) จะส่งผลกระทบต่อโลกมากเช่นนี้ ทั้งในประเด็นอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง และการเพิ่มอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้นำประเทศ
Chris ย้ำในจดหมายว่า Mark เป็นคนจิตใจดี แต่ Chris ไม่เห็นด้วยที่ Mark มุ่งเน้นแต่การผลักดันให้ Facebook เติบโต จนทำให้ Mark มองข้ามความปลอดภัยเพื่อให้ได้คลิกมา จุดนี้ Chris แสดงความเป็นห่วงว่า Mark พาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางทีมที่ตอกย้ำความเชื่อนี้ด้วย แทนที่จะท้าทายแนวคิดเหล่านี้
วงแตก!!! ผู้ร่วมก่อตั้ง จวก Facebook เป็นอันตรายต่อสังคม!!! สมควรถูกแยกบริษัท!!!
10 พ.ค. 2562
Facebook ตกเป็นข่าวฉาวอีกครั้งหลังจากผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าเครือข่ายสังคมยักษ์ใหญ่นั้นเป็นอันตรายและควรถูกจัดการโดยภาครัฐ ชี้เป้าซีอีโออย่างมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) มีพลังโหวตสูงมากผิดปกติและเป็นพลัง “un-American” ที่ไม่ได้มาจากคนอเมริกันตัวจริง
คริส ฮิวจ์ (Chris Hughes) เป็นผู้ร่วมก่อตั้งยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียที่มีส่วนช่วย Mark ทำคลอด Facebook จากในหอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ที่ทั้งคู่ร่วมแบ่งปันห้องพักกันในช่วงต้นปี 2000 ล่าสุด Chris ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการต่อต้าน Facebook โดย Chris เขียนบทความแสดงความเห็นให้กับสื่อใหญ่อย่างนิวยอร์กไทม์ส (The New York Times) ในวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ในบทความ Chris ระบุว่าสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีมาตรการควบคุมผู้นำในตลาดโดยไม่คำนึงว่าผู้นำของบริษัทเหล่านี้จะร่ำรวยหรือมีอิทธิพลเพียงไร แต่วันนี้พลังที่ Mark มีนั้นเป็นสิ่งที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังไม่ได้เป็นพลังของคนอเมริกันด้วย ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าถึงเวลาที่จะจัดการยุบหรือแยก Facebook ได้แล้วChris ไม่เพียงเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ดัง แต่ยังเดินสายให้สัมภาษณ์กับสื่อทีวี โดยเอ่ยชัดถ้อยชัดคำในรายการว่า Facebook เป็นอันตรายต่อสังคมอเมริกันและโลก ท่ามกลางเสียงสนับสนุนไม่น้อยที่พร้อมจะเป็นแนวร่วมกับ Chris และผู้บริหาร Facebook ที่ออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านก่อนหน้านี้หลายคน
ควรล้มดีล Facebook Instagram WhatsApp
Chris มองว่าคณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯหรือ FTC ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ที่อนุมัติให้ Facebook สามารถซื้ออินสตาแกรม (Instagram) ในปี 2012 และว็อตส์แอป (WhatsApp) ในปี 2014 เนื่องจากวันนี้ชาวอเมริกันประมาณ 70% ใช้สื่อโซเชียล ซึ่งการเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ทำให้คนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมกับบริการ Facebook แบบกินรวบ
การส่งจดหมายเปิดผนึกนี้เกิดขึ้นหลังจาก Chris ลาออกจาก Facebook ตั้งแต่ปี 2007 เพื่อเป็นอาสาสมัครในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2008 ของบารัค โอบามา จุดนี้ Chris กล่าวว่าผู้ร่วมก่อตั้งรายอื่นของบริษัท ไม่เคยนึกภาพว่าอัลกอริธึมฟีดข่าว (News Feed) จะส่งผลกระทบต่อโลกมากเช่นนี้ ทั้งในประเด็นอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง และการเพิ่มอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้นำประเทศ
Chris ย้ำในจดหมายว่า Mark เป็นคนจิตใจดี แต่ Chris ไม่เห็นด้วยที่ Mark มุ่งเน้นแต่การผลักดันให้ Facebook เติบโต จนทำให้ Mark มองข้ามความปลอดภัยเพื่อให้ได้คลิกมา จุดนี้ Chris แสดงความเป็นห่วงว่า Mark พาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางทีมที่ตอกย้ำความเชื่อนี้ด้วย แทนที่จะท้าทายแนวคิดเหล่านี้
Chris กล่าวเสริมว่าวันนี้ Zuckerberg ควบคุมสัดส่วนคะแนนเสียงโหวต 60% ที่ Facebook ทำให้บอร์ดบริหารของ Facebook มีบทบาทเหมือนกับคณะกรรมการที่ปรึกษา มากกว่าผู้ดูแลทิศทางของบริษัท
ทั้งหมดนี้ Chris ย้ำว่าหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ สามารถทำได้เพียงปกป้องไม่ให้ Facebook สามารถซื้อบริษัทเกิดใหม่ที่กำลังโตได้ในเวลานี้ ซึ่งจะขวางกลยุทธ์เชิงรุกของ Facebook ได้ในวันที่ Facebook มักคัดลอกนวัตกรรมใหม่ของบางบริษัท (เช่น Snapchat) เพื่อเสริมให้ตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้น วิธีการนี้เองที่ทำให้นักลงทุนผวา จนทำให้ไม่มีบริษัทเครือข่ายโซเชียลรายใหญ่ใดได้แจ้งเกิดเลยนับตั้งแต่ปี 2011
ต้องจัดระเบียบ
Chris เรียกร้องว่ารัฐบาลสหรัฐฯควรดำเนินการเพื่อลดอิทธิพลของ Facebook ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการสื่อสาร รวมถึงควรเดินมาตรการแบ่งอาณาจักร Facebook ออกเป็นหลายบริษัท เบื้องต้นหนึ่งในสมาชิกวุฒิสภาอเมริกันออกมาทวีตว่ามีแนวคิดในทางเดียวกันกับ Chris แล้ว
ที่สำคัญ อดีตผู้ก่อตั้ง Facebook รายนี้เรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด ออกคำสั่งยกเลิกการซื้อกิจการ Instagram และ WhatsApp ของ Facebook และห้ามการซื้อกิจการในอนาคตต่อเนื่องหลายปี ทั้งหมดนี้ รัฐบาลสหรัฐฯอาจจะต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อควบคุมบริษัทเทคโนโลยีเป็นพิเศษ เพื่อเน้นการปกป้องความเป็นส่วนตัวแบบเฉพาะทาง
อิทธิพลของ Facebook นั้นถูกจับตามองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะ Facebook รวบรวมข้อมูลผู้ใช้ไว้จำนวนมากแต่ล้มเหลวในการปกป้องข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ ที่ผ่านมา Facebook ต้องเผชิญกับค่าปรับหลายพันล้านเหรียญ และยังเป็นจำเลยในคดีใหญ่อื้อฉาวของแคมบริดจ์อะแนลไลติกา (Cambridge Analytica) ที่นำข้อมูลผู้ใช้ Facebook กว่า 87 ล้านคนไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม
Chris ยังมองว่าสภาคองเกรสสหรัฐฯ ควรจะผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยความเป็นส่วนตัว เพื่อให้ชาวอเมริกันสามารถควบคุมข้อมูลดิจิตอลของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ และบังคับให้บริษัทไอทีเปิดเผยชัดเจนต่อผู้ใช้ และให้ความยืดหยุ่นแก่หน่วยงานในการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ
การแสดงจุดยืนครั้งนี้ Chris ระบุว่าเป็นการรับผิดชอบที่ไม่ได้ส่งเสียงเตือนให้ชัดก่อนหน้านี้ โดยบอกว่า “ยุคแห่งความรับผิดชอบต่อ Facebook และการผูกขาดอื่น ๆ” อาจกำลังเริ่มขึ้นชัดเจนนับจากนี้.
https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9620000044762