ศาสนามีผลต่อการรับฝึกงานหรือเปล่า?

เราพึ่งยื่นฝึกงานกับทางบริษัทจัดหางานบุคคลแห่งหนึ่ง จริง ๆ เรากรอกประวัติผ่านจ็อบไทย แล้ว HR บอกว่าสนใจประวัติของเรา จึงนัดเราสัมภาษณ์ฝึกงานวันแรก เราก็ให้คำสัมภาษณ์ กรอกประวัติ ทำเรซูเม่ ทุกอย่าง แต่เรากรอกไปว่า ไม่นับถือศาสนา สัมภาษณ์คนแรกก็โอเคนะ ผ่าน เราก็สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษได้ ก่อนทิ้งท้ายสัมภาษณ์เขาบอกว่า เดี๋ยวพี่แจ้งผล 1 สัปดาห์นะคะ เดี๋ยวพี่จะเรียกเรามาสัมภาษณ์อีกทีกับเจ้านายพี่ พอดีเขาออกไปทำธุระ 
พอวันต่อมาเขานัดเราสัมภาษณ์รอบที่ 2 เรามา 11 โมงพอดี เราก็สัมผัสถึงบรรยากาศที่คนในที่ทำงานนั้นไม่ค่อยเต็มใจพูดกับเราเท่าไหร่ 
พอเราเข้าห้องสัมภาษณ์ ทุกอย่างก็ดำเนินไป มีพี่ผู้ชายคนหนึ่งสัมภาษณ์เรา 
น้องชื่ออะไรครับ แนะนำตัวเป็นภาษาไทยด้วยครับ 
เราก็แนะนำตัวไปนะ แล้วเราก็เขียนในนั้นว่า เรามีประสบการณ์ทำงานพาร์ทไทม์มาก่อน แล้วเขาก็ถามว่า คะแนนโทอิคมีความสำคัญต่อน้องอย่างไร เราก็ตอบไปว่า จริง ๆ เราก็อยากจะวัดความสามารถทางภาษาว่าอยู่ในระดับไหน แล้วหากเรามีคะแนนมันช่วยให้เราได้เปรียบในหลายเรื่อง มาคำถามต่อมาเขาถามว่า ถ้าไหนคุณลองอธิบายลักษณะเด่นของตัวคุณมา เราตอบว่า เรามีความพิเศษที่เป็นคนที่เก็บตัว และก็เป็นคนที่เข้าสังคมได้ ในตัวเดียวกัน หากเราจะออกไปดีลงาน (งานที่เราต้องการฝึกคืองานด้าน HR) เราสามารถออกไปได้ 
ต่อมาให้เลือกวิชาที่น้องเรียน 1 วิชาว่าจะประยุกต์กับองค์กรบริษัทพี่ได้ไง เราเลือกวิชา จิตวิทยาสังคม เพราะมันช่วยเรื่องการเข้าใจปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เรื่องการปรับตัว การสร้างบรรยากาศในที่ทำงานให้ผ่อนคลาย เข้าใจในพฤติกรรมของคนอย่างลึกซึ้ง แล้วหลังจากนั้น เขาก็ซักถาม เรื่องครอบครัวของเรา ว่าสนิทกับพ่อหรือแม่มากกว่า เราก็เล่า ว่าโดยส่วนตัวไม่ลงรอยกับพ่อ แล้วถ้าเล่าปัญหาจะเล่าให้แม่ฟังมากกว่า
แล้วเขาถาม ถ้าสมมติว่าตัวเองอกหัก จะเลือกเล่าให้ใครฟัง เราเลยตอบไปว่า ก็เลือกเล่าให้เพื่อนสนิทฟังมากกว่า เพราะเขาคือคนรุ่นเดียวกันกับเรา น่าจะเข้าใจอะไรมากกว่า ถ้าเราเล่าให้แม่ฟัง ด้วยความที่แม่อยู่คนละรุ่น บางอย่างเขาไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องความรัก เขาก็ต้องบอกอยู่แล้วว่าให้อยู่เป็นโสด (เราเคยแล้ว) 
เราก็เอะใจนะ ทำไมต้องถามขนาดนี้ จนมาถึงคำถามนี้ จากประวัติเราเขียนว่าไม่นับถือศาสนา ทำไมล่ะ? เราเลยตอบไปว่า ด้วยความที่เรียนปรัชญามาหลายวิชา เราจะเชื่อในเหตุผลและวิทยาศาสตร์มากกว่า แล้วเราเชื่อว่า นิพพานไม่ใช่หนทางที่ทำให้ชีวิตดีที่สุด หากเราจะทำดีก็เพราะมีเหตุผลของเราเอง เรามีสิทธิ์จะเลือกเอง แล้วถามอีกนะ ว่า ถ้าสมมติว่าไปวัดหรือโบสถ์ จะไหว้พระไหม เราตอบไปตามตรงว่า "ไม่" เพราะเราไม่ได้เชื่อและศรัทธา เราเลือกที่จะยืนห่าง เฉยๆ หรือยืนมองมากกว่า แต่ก็ไม่ได้อะไรนะ เราก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล รู้ป่ะ พอเขาได้ยินเราตอบว่าไม่ไหว้ เขาแทบเปลี่ยนสีหน้า เหมือนไม่พอใจเรา 
เราเลยบอกเพิ่มว่า ที่เราไม่นับถือ เพราะศาสนามักตกเป็นเครื่องมือของคนในการอ้างความชอบธรรม อย่างเหตุการณ์ระเบิดโคลัมเบียที่ผ่านมา ก็เพราะศาสนามิใช่หรือ เราเลยไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยของการเข้าไปนับถือ 
ต่อมานางก็ถามว่า ทำไมถึงเลือกที่จะทำงานพิเศษในช่วงปิดเทอมมากกว่าเรียนครอสภาษาที่ 3 และ 4 เราเลยตอบไปว่า บางที่การทำงานเราได้ฝึกประสบการณ์และการปรับตัวมากกว่า แล้วด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ คนสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่าย เราเรียนเองได้ ภาษาที่ 3 อาจจะเทคครอสสั้น ๆ ไม่ถึงเดือน พอมีความรู้แล้วไปเรียนรู้เองจากหนัง จากเน็ต จากการใช้ดีกว่า 
แล้วนางบอกว่า เห็นน้องบอกว่ามีประสบการณ์ใช้ภาษา เดี๋ยวพี่จะให้ Translator สัมภาษณ์น้องเป็นภาษาอังกฤษ รู้ป่ะ เราก็นั่ง นางก็เริ่มสัมภาษณ์ ก็ถามแนะนำตัว งานอดิเรก มีประสบการณ์อะไรบ้าง จบ นางก็บอก ก็.. สัมภาษณ์ประมาณนี้แหละ (เราก็นึกในใจนะ นางสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษเหมือนคนพูดอังกฤษไม่เป็นอะ แบบสำเนียงไทย กะท่อนกะแท่น ดูไม่โปรเลย) แล้วนางมาถามเราปิดท้ายนะ "จบไปคิดว่านอกจากอาชีพ HR แล้วจะทำอาชีพอะไร" เราเลยตอบไปว่า สอนภาษาไทยให้ต่างชาติ หรือไปทำงานด้านอังกฤษเลย รู้ไหมว่านางตอบมาว่า "ก็เดี๋ยวนี้ทุกวงการก็ใช้อังกฤษทำงานกันหมดแล้ว" (เรานึกในใจ อังกฤษแบบไหนอะ ถ้ารู้แบบใช้ได้ดีแบบเชิงลึกก็ใช้ในสถาบันสอนภาษาก็ได้ป่ะ) แล้วก็ถามปิดท้ายเราว่าน้องได้ไปสัมภาษณ์งานที่อื่นด้วยไหม เราตอบว่า ไม่มี ทั้งที่จริง เราก็หาไว้อีกที่ 
เราคิดนะ ที่นางถามอะ มันเกี่ยวข้องกับงานใช่ไหม คือเราก็รู้แหละ ว่าถามวัดทัศนคติ แต่ทำไมไม่ถามถึงทัศนคติเกี่ยวกับงานไปเลย เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัวสิ แยกกันไม่ออกหรือไงนะ ถ้าเรามานั่งทำงานนะ เราจะทำให้ดีกว่าพวกเขาเลย แล้วจะไม่มานั่งถามด้วยคำถามที่ก็คนละประเด็น 

นางคงอนุมานรวมไปว่า เพราะไม่พูดกับพ่อ เธอก็จะไม่พูดกับคนอื่นที่มีปัญหาด้วยสินะ หรือนางก็ตัดสินเราจากภายนอก ว่าเราเป็นคนเก็บตัว ชอบนั่งคิดแบบลึกซึ้ง เราเลยตอบว่า เราก็มีช่วงเวลานั้น ปต่เราก็เลือกที่จะคุยกับเพื่อนสนิท สาม สี่คนของเราไป เราก็มีคนรู้จักเยอะนะ นางแบบ... ตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักเขาดีเลย ตาไม่คมนะเนี่ย HR แล้วนางก็คงอนุมานว่า เราไม่นับถือศาสนา ไม่ไหว้พระ ก็คงจะไม่ไหว้นางด้วย ก็คงจะไม่ทำตามวัฒนธรรมองค์กรด้วย (ซึ่งมันคนละเรื่อง) จะไปทะเลาะกับผัวมา ก็ต้องทำงานได้สิ เรื่องผัวกับเรื่องงานก็คนละเรื่องสิ เรื่องศาสนากับเรื่องงานก็คนละเรื่อง 

ความเชื่อส่วนบุคคลมันห้ามกันได้ด้วยหรอ  

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่