“เพราะคนที่โหดร้ายที่สุดคือผู้รอด”
ซานซา สตาร์ค ในสายตาของ โซฟี เทอร์เนอร์
(บทความเปิดเผยเนื้อหาซีรีส์ Game of Thrones)
“ก็จริง ว่าฉันเป็นพวกหัวช้า แต่ถึงที่สุดแล้ว… ฉันก็ได้เรียนรู้นะ”
นั่นดูเป็นคำจำกัดความที่ ซานซา สตาร์ค มองตัวเองได้อย่างเฉียบขาดตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา หลังชีวิตเธอต้องเผชิญมรสุมของสงครามและความพลัดพราก ซึ่งเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาแปดซีซั่นของซีรีส์ดังอย่าง Game of Thrones และตอนนี้ ซีซั่นที่ 8 อันเป็นซีซั่นสุดท้ายก็กำลังโหมกระแสสุดขีดหลังออกฉายได้เพียงสองตอน ก็กวาดเรตติ้งถล่มทลายสมเป็นซีซั่นส่งท้ายซีรีส์แห่งยุค
Game of Thrones ว่าด้วยการชิงบัลลังก์เหล็กผู้ปกครองเหนืออาณาจักรทั้งเจ็ดของแต่ละตระกูลที่อาศัยอยู่ต่างแว่นแคว้น ท่ามกลางการคุกคามของ ไวต์ วอล์คเกอร์ ร่างคนตายที่ฟื้นคืนมีชีวิตและอยู่พ้นไปจากกำแพงเมืองซึ่งมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี และหนึ่งในคนที่ต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางเกมการเมืองเหล่านี้คือซานซา สตาร์ค เด็กหญิงจากตระกูลสตาร์คที่พ่อของเธอถูกสามีผู้ครองบัลลังก์ (ณ เวลานั้น) สั่งประหาร, พี่ชายตายในงานแต่ง ขณะที่น้องอีกสองคนพลัดสูญหายไประหว่างความโกลาหล
บทที่ดุเดือดและเรียกเลือดเรียกเนื้อนี้ ถูกถ่ายทอดโดย โซฟี เทอร์เนอร์ เด็กหญิงจากนอร์ธแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ยากจะเชื่อว่าบทซานซาคือบทแรกที่เทอร์เนอร์ใช้ประเดิมอาชีพการเป็นนักแสดงของเธอ ก่อนนี้ เธอเป็นเด็กธรรมดาที่เรียนการแสดงเพิ่มเติมเพื่อเป็นงานอดิเรกเท่านั้น กระทั่งเมื่อจับพลัดจับผลูคว้าบทซานซาได้หลังทีมงานประกาศรับออดิชั่น และครูสอนการแสดงของเธอก็สนับสนุนให้เด็กหญิงซึ่งเวลานั้นอายุเพียง 13 ปีเข้ารับการสมัครดู แน่แท้ว่าเธอคว้าบทซานซา สตาร์ค มาได้ และกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ นับตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการย้อมผมเป็นสีน้ำตาลแดงไปจนเรื่องของการรับมือกับชื่อเสียงและการเติบโตท่ามกลางอุตสาหกรรมฮอลลีวูด
“การเป็นซานซามันก็สนุกดีนะ”
“ซานซาเหมือนเป็นพวกมวยรองบ่อน หลายคนไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะพัฒนาตัวเองหรือก้าวข้ามขีดจำกัดบางอย่างได้ด้วยซ้ำ แล้วฉันต้องรับบทเป็นตัวละครที่ดูไร้ประโยชน์ที่สุดในเกมชิงบัลลังก์แบบนี้ มีคนบรรยายเธอไว้ว่าซานซาน่ะเป็นพวกเด็กที่ ‘ถูกตามใจจนเคยตัว’ บ้างล่ะ ‘วัยรุ่นทั่วไป’ บ้างล่ะ มันเลยน่าตื่นเต้นชะมัดที่ได้เห็นเธอเติบโต ได้เห็นว่าเธอเจออะไรบ้าง"
“เธอเหมือนฟองน้ำน่ะ เธอเรียนรู้จากคนรอบๆ ตัว และใช้ประโยชน์จากพวกเขาในเวลาที่เธอตกเป็นเชลย แทนที่จะดื้อดึงต่อต้านพวกเขา เธอก็เลือกจะใช้ประโยชน์จากพวกเขาเพื่อตัวเองเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เหล่านั้น”
ชะตากรรมของซานซานั้นน่าหดหู่ไม่แพ้ตัวละครอื่นๆ ในซีซั่นแรก เราจะเห็นว่าเธอเป็นเด็กสาวช่างฝัน ซานซาเติบโตในแดนเหนือและห่างไกลจากแวดวงชนชั้นสูงในเมืองอย่างตระกูลแลนนิสเตอร์และบาร์ราเธียนผู้ปกครองบัลลังก์เหล็ก เธอจึงวาดฝันว่าสักวันจะมีโอกาสได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วในวัง หลับฝันถึงชีวิตของสตรีชั้นสูงผู้ร้อยดอกไม้และเป็นเมีย เป็นแม่ กระทั่งเมื่อชีวิตเหวี่ยงเธอเข้าสู่จุดศูนย์กลางความขัดแย้ง ซานซาต้องทนเห็นพ่อของเธอถูกประหารชีวิต (ทั้งยังถูกสามีบังคับให้แหงนหน้ามองซากหัวของพ่อตัวเองด้วย!) ถูกข่มเหงและดูถูกสารพัดจากคนในรั้ววังที่เธอเคยฝันถึง
“ซานซาต้องเข้าไปอยู่ในสังคมของเหล่าเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร เธอแค่เฝ้าฝันอยากมีชีวิตแบบนั้นเฉยๆ”
“ก่อนที่ในเวลาต่อมา เธอจะเรียนรู้การเล่นเกมจากประสบการณ์ ไม่ใช่จากที่หลายๆ คนบอกเธอว่าชีวิตมันคืออะไร”
หากเทียบเคียงชีวิตและช่วงวัยกัน ก็คงพอกล่าวได้ว่า ซานซาและเทอร์เนอร์นั้นอายุไล่เลี่ยและช่วงเวลาหลายอย่างในชีวิตที่ใกล้เคียงไม่น้อย ทั้งคู่ต้องออกห่างจากบ้านเกิดมาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเทอร์เนอร์ต้องย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองเพื่อสะดวกต่อการถ่ายทำซีรีส์ และสะดวกต่อการเดินทางไปออดิชั่นหนังเรื่องอื่นๆ ที่ติดต่อเข้ามา ตลอดจนช่วงเวลายากลำบากในชีวิต ทั้งซานซาที่ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของเกมการเมือง และเทอร์เนอร์ที่พบว่าการตกอยู่ท่ามกลางแสงสีของชื่อเสียงนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย (ไม่เชื่อก็ดูข่าวตอนที่แท็ปลอยด์ลงว่าเธอออกเดตกับ โจ โจนาส นั่นสิ!)
“ตอนคุณอายุ 13 คุณไม่ได้เตรียมตัวจะตกอยู่ในสายตาของสื่อหรอก ก็แค่อยากแสดงเฉยๆ และไม่รู้เลยว่าซีรีส์มันจะออกมาเป็นแบบนี้ การตกอยู่ในสายตาสาธารณะมันยากเอาการเหมือนกัน โดยเฉพาะกับช่วงแรกๆ ของชีวิตการแสดง ที่ฉันเริ่มแตกเนื้อสาว ทุกอย่างมันดูยากเย็นไปหมด”
การต้องออกห่างจากบ้านเกิดในเมืองเล็กๆ มาอยู่ในเมืองใหญ่และโอบรับชื่อเสียงโดยที่แทบไม่ทันตั้งตัวมีราคามหาศาลที่เทอร์เนอร์ต้องจ่าย เธอต้องห่างหายจากเพื่อนสมัยยังเด็กในละแวกบ้าน ที่แม้ยังติดต่อกันอยู่แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตหรือความสนใจที่ห่างกันไปคนละทิศคนละทางบีบให้เทอร์เนอร์ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว และสถานการณ์คงลำบากกว่านี้หากเธอไม่มีนักแสดงที่โตมาพร้อมๆ กันอย่าง ไมซีย์ วิลเลียมส์ ซึ่งรับบทเป็น อาร์ยา สตาร์ค น้องสาวของซานซา “มันเยี่ยมไปเลยที่มีใครสักคนข้ามผ่านเรื่องพวกนี้ไปพร้อมกันกับเรา ซึ่งถ้าเธอต้องเจอช่วงเวลายากลำบาก ฉันก็พร้อมอยู่ข้างๆ เธอเหมือนกัน สมมติว่าเธอไปเข้าห้องน้ำ ฉันก็จะไปเป็นเพื่อน นั่นแหละความสัมพันธ์ของเรา”
ซานซา สตาร์ค อาจจะเป็นตัวละครที่ทุกคนรัก เอาใจช่วย ผสมผสานกันไปกับความรู้สึกหมั่นไส้บ้างประปราย กระทั่งเมื่อเธอต้องเผชิญชะตากรรมร้ายแรง ทั้งสูญเสียสมาชิกในครอบครัว ถูกกดดันจากศัตรู ตลอดจนการโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงจาก แรมซีย์ โบลตัน (อีวาน อารอน) จนหลายคนยกให้ซานซาในซีซั่นที่ 5 และ 6 นั้นเป็นหนึ่งในตัวละครที่เผชิญเรื่องโหดร้ายและน่าหดหู่มากที่สุดของซีรีส์ไปโดยปริยาย
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับแรมซีย์บ้างหรือเปล่า ถ้าไม่ คุณก็ซื่อบื้อ แต่ถ้าคุณรู้ คุณก็เป็นศัตรูของฉัน” ซานซาถาม
อย่างไรก็ตาม ความโหดร้ายที่แรมซีย์กระทำกับเธอนั้นได้กลายเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ซานซาหันมาเป็น “ผู้กระทำ” อันเลือดเย็นบ้าง (“คุณจะตายพรุ่งนี้แหละ ลอร์ดโบลตัน พักผ่อนเสียเถอะค่ะ”)
ซีซั่นที่ 6 เมื่อเธอมีโอกาสงามในการสังหารแรมซีย์ โบลตัน ซานซาก็แน่ใจว่าเธอไม่ได้ทำให้ทุกอย่างจบอย่างเรียบง่ายและรวดเร็วเกินไปนัก เพื่อจะสาสมกับสิ่งที่แรมซีย์ทำกับเธอ ซานซาจงใจให้แรมซีย์ค่อยๆ ขาดใจตายอย่างทารุณและเลือดเย็น
คำถามคือ มีโอกาสไม่น้อยที่ฉากนี้จะทำให้หลายคนหมดรักซานซา ด้วยเหตุผลว่าเธอคือตัวละครเพียงไม่กี่ตัวที่ยังยึดอยู่กับความดีสีขาวสะอาด (แบบที่ตัวละครอื่นๆ ในเรื่องทิ้งขว้างไปนานแล้ว) ในโลกสงคราม “มันเป็นฉากที่ฉันตั้งคำถามกับมันเยอะเหมือนกันนะ ฉันสงสัยว่าการเป็นคนใจดีในโลกแบบนั้นมันเป็นไปได้จริงๆ เหรอ ไหนจะผู้คนมากมายที่เธออยู่ด้วยนั่นอีก พวกเขาขัดเกลา หล่อหลอมเธอตั้งแต่อายุ 13 ปีซึ่งเธอออกห่างจากครอบครัวตัวเอง เธออาจจะยังยึดถือคุณธรรมแบบสตาร์คในห้วงเวลาปกติ แต่การต้องออกมาอยู่ตัวคนเดียว หล่นลงมาอยู่ในโลกที่มีแต่การหักหลังและการแก้แค้น เธอคงจะมีความลังเลอยู่บ้างแหละ แต่เธอก็ใช้เวลานานมากจริงๆ เพื่อจะเอาตัวรอด เพื่อจะตามหาครอบครัวอีกครั้ง และมันได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนเดียวให้เธอยังมีชีวิตรอดและก้าวต่อไป
“มีหลายครั้งเลยนะที่ฉันคิดว่าเธอคงจะยอมแพ้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ เธอก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน ท้ายที่สุด ฉันว่าเธอยังเป็นตัวละครที่จิตใจดีอีกคนนะ วิธีที่เธอใช้จัดการกับปัญหา กับศัตรู มันย่อมแตกต่างไปจากสมัยที่เธอทำตอนอายุ 13 อยู่แล้วล่ะ”
บทบาทของซานซา สตาร์ค เปิดโอกาสให้เทอร์เนอร์กลายเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตา เธอปรากฏตัวในฐานะนักแสดงนำใน Another Me (2013, อิซาเบล ค็อยเซ็ต) หนังธริลเลอร์ทุนต่ำที่เป็นหนังเรื่องแรกหลังจาก GOT ของเทอร์เนอร์ ตามมาด้วยหนังสายลับคอมิดี้ Barely Lethal (2015, ไคลี นิวแมน) และเกิดสุดๆ จากหนังแฟรนไชส์ฟอร์มยักษ์ X-Men: Apocalypse (2016, ไบรอัน ซิงเกอร์) ที่การรับบท จีน เกรย์ ในวัยเด็กเป็นเสมือนหมุดหมายสำคัญในอาชีพการงานของเธอนอกเหนือจากการถูกจดจำในบทซานซา สตาร์ค และจะสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งใน Dark Phoenix (2019, ไซมอน คินเบิร์ก) ที่กำลังจะเข้าฉายเดือนมิถุนายนนี้จ้า
-------------------------------------------------------------
เครดิตบทความ : Bioscope Magazine
“เพราะคนที่โหดร้ายที่สุดคือผู้รอด” ซานซา สตาร์ค ในสายตาของ โซฟี เทอร์เนอร์
ซีซั่นที่ 6 เมื่อเธอมีโอกาสงามในการสังหารแรมซีย์ โบลตัน ซานซาก็แน่ใจว่าเธอไม่ได้ทำให้ทุกอย่างจบอย่างเรียบง่ายและรวดเร็วเกินไปนัก เพื่อจะสาสมกับสิ่งที่แรมซีย์ทำกับเธอ ซานซาจงใจให้แรมซีย์ค่อยๆ ขาดใจตายอย่างทารุณและเลือดเย็น