ในขณะที่ Avengers: Endgame
ขยับขึ้นอันดับที่สองของหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก
และกำลังเดินทางเขย่าบัลลังก์หนังเรื่อง Avatar
สู่อันดับหนังทำเงินมากที่สุดตลอดกาล ย้อนกลับไปดูกว่าที่ทีมงาน Marvel
จะพา Avengers มาถึงจุดนี้พวกเขาต้องปูรากฐานของเรื่องมานานถึง 11 ปี!!
สวนทางกลับทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ที่ตอนนี้หลุดอันดับสี่ของพรีเมียร์ลีกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่'เซอร์
อเล็ก เฟอร์กูสัน' ก้าวลงจากบัลลังก์ แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดก็ไม่เคยเป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย
มันเป็นเพราะอะไร?
หลังจากปรมาจารย์แล้วลูกหนังวางมือไป แมนยูก็ได้มีกุนซือเข้ามารับช่วงต่อสี่คนแล้วครับ
เริ่มที่คนแรก 'เดวิด มอยส์'
กุนซือชาวสกอตแลนด์คนนี้ก้าวเข้ามาโดยการโล๊ะทีมงานสต๊าฟเก่าของทีมออกทั้ง
หมดและแทนที่ด้วย ทีมงานประตัวของตนเอง
ส่วนนักเตะใช้ชุดเดิมต่อจากเฟอร์กูสัน เพิ่มเติมมาเพียงแค่ 'มารูยาน
เฟลไลนี่' และ 'ฆวน มาต้า' ในช่วงตลาดหน้าหนาว
แต่ด้วยความที่ไม่เก๋าพอและนักเตะในทีมส่วนใหญ่ก็เริ่มเข้าสู่ในวัยที่เลยจุดพีค
ทำให้กุนซือชาวสกอตก็คุมที่ไม่อยู่ โดนปลดไปตั้งแต่ยังไม่ทันจบฤดูกาล
ตามมาด้วยกุนซือคนที่สอง 'หลุยส์ ฟาน กัล' กุนซือบิ๊กเนมมากประสบการณ์
คราวนี้มาด้วยชื่อชั้น และเสริมทัพด้วยผู้เล่นมามากมาย
แต่ผลงานกลับไม่เข้าเป้า สุดท้ายคุมทีมได้สองฤดูกาล คว้าได้เพียงถ้วย FA
Cup และโดนปลดตามไปอีกคน
คนที่หนึ่งไม่ใช่บิ๊กเนมขาดประสบการณ์ คนที่สองมาพร้อมดีกรีแต่ดูจะไม่ทันเกมฟุตบอลสมัยปัจจุบัน
คราวนี้บอร์ดบริหารเลยต้องไปตามตัว 'โชเซ่ มูรินโญ่'
ยอดกุนซือทีมมาด้วยประสบการณ์ การันตีความสำเร็จ แต่ 'ความสำเร็จ'
คราวนี้มันต้องเดิมพันกับการเสริมทัพมหาศาลและรูปเกมที่อาจไม่สวยงาม
และบอร์ดก็ไม่กล้าที่จะเดิมพันครั้งนี้ จนต้องแยกทางกัน
สุดท้าย'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด' ต้องกลับมาที่ 'โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์' อดีตกุนซือลูกหม้อของทีม
แต่ไม่ว่ายังไงเวลาก็ล่วงมา 6 ปีผ่านไป ผ่านผู้จัดการทีมสี่คน
แต่ละคนก็ล้วนเคยประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งนั้น
แต่ทำไมแฟนบอลยังไม่รู้สึกว่าทีมจะเดินหน้าไปข้างหน้าได้แรง
นับวันยิ่งถอยหลังลงคลอง
ผมคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้จัดการทีมแล้วครับ แต่มันอาจจะอยู่ที่ทัศนคติของบอร์ดบริหารที่มองต่อฟุตบอล
------------------------------------------------------
ที่ผ่านมาคือการเกริ่นนำนะครับ ตั้งแต่นี้เราจะมาเข้าเรื่องกัน
ในขณะที่ 'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด' มัวแต่ลองผิดลองถูก
ทีมคู่แข่งล้วนพัฒนาไปข้างหน้าแล้วด้วยซ้ำ เริ่มที่คู่รักคู่แค้นอย่าง
'ลิเวอร์พูล' ตั้งแต่จอห์น เฮนรี่ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร
เขาประกาศอย่างชัดเจนว่าจะบริหารให้ลิเวอร์พูลกลับมาประสบความสำเร็จและมีแผนงาน
แต่มันอาจจะต้องใช้เวลา
เริ่มตั้งแต่แต่งตั้งผู้อำนวยการเทคนิคฟุตบอลขึ้นมา
เพื่อการบริหารงานที่เป็นสัดเป็นส่วนเขาแต่งตั้ง 'เบรนแดน ร็อดเจอร์ส'
เข้ามา และเมื่อไม่เวิร์คก็ตัดสินใจปลด แต่งตั้ง 'เจอร์เก้น คล็อปป์'
เข้ามาต่อ และให้คล็อปป์ค่อยๆสร้างทีม
ด้วยมีผู้บริหารหนุนหลังอย่างเป็นแบบแผน
พวกเขาส่งแมวมองไปดูฟอร์มนักเตะทั่วโลก
และเอามาวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนที่จะเสียเงินซื้อนักเตะสักคน
และการที่จะซื้อนักเตะทุกคน ต้องมาดูก่อนว่า
ซื้อมาแล้วจะพัฒนาทีมได้หรือไม่ ตำแหน่งไหนที่ขาดจะซ่อมตำแหน่งนั้นก่อน
ไม่ว่าจะต้องจ่ายแพงขนาดไหนแต่ถ้ามาแล้วทีมดีขึ้นก็ต้องจ่าย
และการตัดสินใจครั้งสุดท้ายจะอยู่ที่ผอ.เทคนิคกับผู้จัดการทีม
นั่นทำให้ทีมของ 'เจอร์เก้น คล็อปป์' ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นทีมลุ้นแชมป์ปัจจุบัน
ตามมาด้วย 'แมนเชสเตอร์ ซิตี้' ที่วาง 'เป๊ป กวาร์ดิโอล่า'
เป็นหัวเรือใหญ่สุด แถมพัฒนาระบบเยาวชนขึ้นมาอย่างมีแบบแผน
จนตอนนี้ระบบของเยาวชนของซิตี้ได้แซงทีมร่วมเมืองอย่างยูไนเต็ดไปเรียบร้อยแล้ว
ยังไม่รวมถึง สเปอร์ ที่สร้างสนามใหม่เพื่อให้มาตรฐานทีมดีขึ้น อาเซนอลและเชลซีที่กำลังลองผิดลองถูก
หากผู้บริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังไม่กางแผนงานเพื่อรีเซ็ททีมเราอาจจะมีทีมอื่นๆ ที่พร้อมจะแซงเราขึ้นไปอีกเหมือนกัน
'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด' เป็นสโมสรองค์กรมหาชนโดยมี 'เกลเซอร์'
เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ พวกเขาแต่งตั้ง 'เอ็ด วู๊ดเวิร์ด'
เป็นหัวเรือใหญ่ดูแลด้านฟุตบอลและการตลาด
แม้ 'เอ็ด วู๊ดเวิร์ด' จะเป็นนักบัญชีหัวกะทิและทำการตลาดให้แมนยูมหาศาล แต่ด้านฟุตบอลเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
เริ่มตั้งแต่การเซ็นสัญญานักเตะมูลค่าแพงๆ ค่าเหนื่อยแพงๆ
แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้จัดการทีม เพียงแค่เซ็นมาเพราะเหตุผลของการตลาด
'โซเซ่ มูรินโญ่'
เคยร้องขอให้บอร์ดเซ็นสัญญานักเตะกองหลังระดับโลกมาเสริมทีมแต่บอร์ดก็ได้แต่วางเฉย
นักเตะที่ควรปล่อยก็ต่อสัญญา นักเตะที่ควรต่อสัญญาก็ปล่อยให้ใกล้หมดสัญญา
จนสร้างปัญหากับทีมชุดปัจจุบันอย่างมหาศาล
และเมื่อนำนักเตะทุกตำแหน่งในทีมไปเทียบกับ แมนซิตี้ เชลซี ลิเวอร์พูล
อาจจะรวมถึงสเปอร์และอาเซนอล
จะเห็นว่าแนวรับของแมนยูคุณภาพสู้ทีมเหล่านั้นไม่ได้เลย
กองกลางก็ยังขาดๆเกินๆ และแนวรุกก็เทียบกับทีมลุ้นแชมป์ไม่ได้
ถ้ายังไม่ปรับปรุงที่นักเตะ(ให้ถูกต้องอย่างมีแบบแผน) ต่อให้แต่งตั้งยอดผู้จัดการทีมอีกกี่คน ผลงานก็มิอาจดีขึ้นกว่านี้แล้วก็ได้
'ดาวิด เดเคอา' คือผู้รักษาประตุที่ควรต่อสัญญาอย่างยิ่ง ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ส่วนกองหลัง ต้องปล่อยส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้อย่าง วาเลนเซีย
โรโฮและดาเมียนออกไป ส่วน ยัง โจนส์ สมอลลิ่ง
พวกเขายังมีโควต้าสัญชาติอังกฤษอยู่
ถ้าจะปล่อยไปต้องซื้อนักเตะคุณภาพสัญชาติอังกฤษมาแทนที่
หรือถ้าจะเก็บไว้ต้องห้ามใช้เป็นตัวหลักเด็ดขาด!!!
แล้วก็ต้องเสริมด้วยแนวรับระดับโลกมาอย่างน้อยสองตำแหน่ง
ส่วนกองกลางต้องดูอนาคตของ 'อันเดร เอเรร่า' ว่าจะสามารถต่อสัญญาได้หรือไม่
และจะเก็บป็อกบาไว้กับทีมได้หรือไม่ จากนั้นคงต้องเสริมเพิ่มขึ้นมา
ส่วนแนวรุกต้องบอกว่าเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ความจริงคือปัญหาใหญ่ครับ
ต้องถามว่า ในทีมตอนนี้ไว้ใจให้ใครเป็นตัวหลักในการผลิตสกอร์มากที่สุด?
แล้วเมื่อตอบคำถามได้แล้ว ให้ลองมองไปที่คู่แข่งทีมอื่น นั่นแหละครับคือคำตอบว่าเราควรจะเสริมแนวรุกหรือไม่?
และที่สำคัญที่สุดควรแต่งตั้ง ผู้อำนวยการเทคนิคฟุตบอล
เพื่อให้เขามาวางแผนการด้านฟุตบอลอย่างเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว
เพราะทีมหัวตารางทีมอื่นเขามีคนที่ทำงานด้านนี้หมดแล้ว
ไม่ใช่ให้นักบัญชีมาเป็นหัวเรือในการบริหารฟุตบอล
และที่ผมเขียนมาทั้งหมด
ผมเชื่อว่าแมนยูไม่สามารถแก้ได้อย่างภายในฤดูกาลเดียวหรอกครับ
มันต้องค่อยๆสร้างทีม ค่อยๆใช้เวลา
แต่ถ้าเห็นทิศทางเป็นรูปเป็นร่างเป็นแบบแผน แฟนบอลก็พร้อมรอเสมอ
อย่าลืมว่าขนาด Avengers ยังใช้เวลาในการพัฒนาโปรเจ็คเลย
แมนยูอาจต้องใช้เวลาพัฒนาทีมเหมือนกันครับ
จากใจแฟนบอลยูไนเต็ดคนหนึ่ง ที่ตามเชียร์ทีมมากว่าสิบปี
อันนี้เพจของผมนะครับ เผื่อใครอยากจะพูดคุยอะไรเพิ่มเติม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/Chekie-1067083510064457/?ref=bookmarks
คุยภาษาฟุตบอล : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องรีเซ็ตใหม่เพื่อกลับไปจุดเดิม
ขยับขึ้นอันดับที่สองของหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก
และกำลังเดินทางเขย่าบัลลังก์หนังเรื่อง Avatar
สู่อันดับหนังทำเงินมากที่สุดตลอดกาล ย้อนกลับไปดูกว่าที่ทีมงาน Marvel
จะพา Avengers มาถึงจุดนี้พวกเขาต้องปูรากฐานของเรื่องมานานถึง 11 ปี!!
สวนทางกลับทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ที่ตอนนี้หลุดอันดับสี่ของพรีเมียร์ลีกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่'เซอร์
อเล็ก เฟอร์กูสัน' ก้าวลงจากบัลลังก์ แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ดก็ไม่เคยเป็นชิ้นเป็นอันอีกเลย
มันเป็นเพราะอะไร?
หลังจากปรมาจารย์แล้วลูกหนังวางมือไป แมนยูก็ได้มีกุนซือเข้ามารับช่วงต่อสี่คนแล้วครับ
เริ่มที่คนแรก 'เดวิด มอยส์'
กุนซือชาวสกอตแลนด์คนนี้ก้าวเข้ามาโดยการโล๊ะทีมงานสต๊าฟเก่าของทีมออกทั้ง
หมดและแทนที่ด้วย ทีมงานประตัวของตนเอง
ส่วนนักเตะใช้ชุดเดิมต่อจากเฟอร์กูสัน เพิ่มเติมมาเพียงแค่ 'มารูยาน
เฟลไลนี่' และ 'ฆวน มาต้า' ในช่วงตลาดหน้าหนาว
แต่ด้วยความที่ไม่เก๋าพอและนักเตะในทีมส่วนใหญ่ก็เริ่มเข้าสู่ในวัยที่เลยจุดพีค
ทำให้กุนซือชาวสกอตก็คุมที่ไม่อยู่ โดนปลดไปตั้งแต่ยังไม่ทันจบฤดูกาล
ตามมาด้วยกุนซือคนที่สอง 'หลุยส์ ฟาน กัล' กุนซือบิ๊กเนมมากประสบการณ์
คราวนี้มาด้วยชื่อชั้น และเสริมทัพด้วยผู้เล่นมามากมาย
แต่ผลงานกลับไม่เข้าเป้า สุดท้ายคุมทีมได้สองฤดูกาล คว้าได้เพียงถ้วย FA
Cup และโดนปลดตามไปอีกคน
คนที่หนึ่งไม่ใช่บิ๊กเนมขาดประสบการณ์ คนที่สองมาพร้อมดีกรีแต่ดูจะไม่ทันเกมฟุตบอลสมัยปัจจุบัน
คราวนี้บอร์ดบริหารเลยต้องไปตามตัว 'โชเซ่ มูรินโญ่'
ยอดกุนซือทีมมาด้วยประสบการณ์ การันตีความสำเร็จ แต่ 'ความสำเร็จ'
คราวนี้มันต้องเดิมพันกับการเสริมทัพมหาศาลและรูปเกมที่อาจไม่สวยงาม
และบอร์ดก็ไม่กล้าที่จะเดิมพันครั้งนี้ จนต้องแยกทางกัน
สุดท้าย'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด' ต้องกลับมาที่ 'โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์' อดีตกุนซือลูกหม้อของทีม
แต่ไม่ว่ายังไงเวลาก็ล่วงมา 6 ปีผ่านไป ผ่านผู้จัดการทีมสี่คน
แต่ละคนก็ล้วนเคยประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งนั้น
แต่ทำไมแฟนบอลยังไม่รู้สึกว่าทีมจะเดินหน้าไปข้างหน้าได้แรง
นับวันยิ่งถอยหลังลงคลอง
ผมคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้จัดการทีมแล้วครับ แต่มันอาจจะอยู่ที่ทัศนคติของบอร์ดบริหารที่มองต่อฟุตบอล
------------------------------------------------------
ที่ผ่านมาคือการเกริ่นนำนะครับ ตั้งแต่นี้เราจะมาเข้าเรื่องกัน
ในขณะที่ 'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด' มัวแต่ลองผิดลองถูก
ทีมคู่แข่งล้วนพัฒนาไปข้างหน้าแล้วด้วยซ้ำ เริ่มที่คู่รักคู่แค้นอย่าง
'ลิเวอร์พูล' ตั้งแต่จอห์น เฮนรี่ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร
เขาประกาศอย่างชัดเจนว่าจะบริหารให้ลิเวอร์พูลกลับมาประสบความสำเร็จและมีแผนงาน
แต่มันอาจจะต้องใช้เวลา
เริ่มตั้งแต่แต่งตั้งผู้อำนวยการเทคนิคฟุตบอลขึ้นมา
เพื่อการบริหารงานที่เป็นสัดเป็นส่วนเขาแต่งตั้ง 'เบรนแดน ร็อดเจอร์ส'
เข้ามา และเมื่อไม่เวิร์คก็ตัดสินใจปลด แต่งตั้ง 'เจอร์เก้น คล็อปป์'
เข้ามาต่อ และให้คล็อปป์ค่อยๆสร้างทีม
ด้วยมีผู้บริหารหนุนหลังอย่างเป็นแบบแผน
พวกเขาส่งแมวมองไปดูฟอร์มนักเตะทั่วโลก
และเอามาวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนที่จะเสียเงินซื้อนักเตะสักคน
และการที่จะซื้อนักเตะทุกคน ต้องมาดูก่อนว่า
ซื้อมาแล้วจะพัฒนาทีมได้หรือไม่ ตำแหน่งไหนที่ขาดจะซ่อมตำแหน่งนั้นก่อน
ไม่ว่าจะต้องจ่ายแพงขนาดไหนแต่ถ้ามาแล้วทีมดีขึ้นก็ต้องจ่าย
และการตัดสินใจครั้งสุดท้ายจะอยู่ที่ผอ.เทคนิคกับผู้จัดการทีม
นั่นทำให้ทีมของ 'เจอร์เก้น คล็อปป์' ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นทีมลุ้นแชมป์ปัจจุบัน
ตามมาด้วย 'แมนเชสเตอร์ ซิตี้' ที่วาง 'เป๊ป กวาร์ดิโอล่า'
เป็นหัวเรือใหญ่สุด แถมพัฒนาระบบเยาวชนขึ้นมาอย่างมีแบบแผน
จนตอนนี้ระบบของเยาวชนของซิตี้ได้แซงทีมร่วมเมืองอย่างยูไนเต็ดไปเรียบร้อยแล้ว
ยังไม่รวมถึง สเปอร์ ที่สร้างสนามใหม่เพื่อให้มาตรฐานทีมดีขึ้น อาเซนอลและเชลซีที่กำลังลองผิดลองถูก
หากผู้บริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังไม่กางแผนงานเพื่อรีเซ็ททีมเราอาจจะมีทีมอื่นๆ ที่พร้อมจะแซงเราขึ้นไปอีกเหมือนกัน
'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด' เป็นสโมสรองค์กรมหาชนโดยมี 'เกลเซอร์'
เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ พวกเขาแต่งตั้ง 'เอ็ด วู๊ดเวิร์ด'
เป็นหัวเรือใหญ่ดูแลด้านฟุตบอลและการตลาด
แม้ 'เอ็ด วู๊ดเวิร์ด' จะเป็นนักบัญชีหัวกะทิและทำการตลาดให้แมนยูมหาศาล แต่ด้านฟุตบอลเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
เริ่มตั้งแต่การเซ็นสัญญานักเตะมูลค่าแพงๆ ค่าเหนื่อยแพงๆ
แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้จัดการทีม เพียงแค่เซ็นมาเพราะเหตุผลของการตลาด
'โซเซ่ มูรินโญ่'
เคยร้องขอให้บอร์ดเซ็นสัญญานักเตะกองหลังระดับโลกมาเสริมทีมแต่บอร์ดก็ได้แต่วางเฉย
นักเตะที่ควรปล่อยก็ต่อสัญญา นักเตะที่ควรต่อสัญญาก็ปล่อยให้ใกล้หมดสัญญา
จนสร้างปัญหากับทีมชุดปัจจุบันอย่างมหาศาล
และเมื่อนำนักเตะทุกตำแหน่งในทีมไปเทียบกับ แมนซิตี้ เชลซี ลิเวอร์พูล
อาจจะรวมถึงสเปอร์และอาเซนอล
จะเห็นว่าแนวรับของแมนยูคุณภาพสู้ทีมเหล่านั้นไม่ได้เลย
กองกลางก็ยังขาดๆเกินๆ และแนวรุกก็เทียบกับทีมลุ้นแชมป์ไม่ได้
ถ้ายังไม่ปรับปรุงที่นักเตะ(ให้ถูกต้องอย่างมีแบบแผน) ต่อให้แต่งตั้งยอดผู้จัดการทีมอีกกี่คน ผลงานก็มิอาจดีขึ้นกว่านี้แล้วก็ได้
'ดาวิด เดเคอา' คือผู้รักษาประตุที่ควรต่อสัญญาอย่างยิ่ง ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ส่วนกองหลัง ต้องปล่อยส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้อย่าง วาเลนเซีย
โรโฮและดาเมียนออกไป ส่วน ยัง โจนส์ สมอลลิ่ง
พวกเขายังมีโควต้าสัญชาติอังกฤษอยู่
ถ้าจะปล่อยไปต้องซื้อนักเตะคุณภาพสัญชาติอังกฤษมาแทนที่
หรือถ้าจะเก็บไว้ต้องห้ามใช้เป็นตัวหลักเด็ดขาด!!!
แล้วก็ต้องเสริมด้วยแนวรับระดับโลกมาอย่างน้อยสองตำแหน่ง
ส่วนกองกลางต้องดูอนาคตของ 'อันเดร เอเรร่า' ว่าจะสามารถต่อสัญญาได้หรือไม่
และจะเก็บป็อกบาไว้กับทีมได้หรือไม่ จากนั้นคงต้องเสริมเพิ่มขึ้นมา
ส่วนแนวรุกต้องบอกว่าเหมือนจะไม่มีปัญหา แต่ความจริงคือปัญหาใหญ่ครับ
ต้องถามว่า ในทีมตอนนี้ไว้ใจให้ใครเป็นตัวหลักในการผลิตสกอร์มากที่สุด?
แล้วเมื่อตอบคำถามได้แล้ว ให้ลองมองไปที่คู่แข่งทีมอื่น นั่นแหละครับคือคำตอบว่าเราควรจะเสริมแนวรุกหรือไม่?
และที่สำคัญที่สุดควรแต่งตั้ง ผู้อำนวยการเทคนิคฟุตบอล
เพื่อให้เขามาวางแผนการด้านฟุตบอลอย่างเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว
เพราะทีมหัวตารางทีมอื่นเขามีคนที่ทำงานด้านนี้หมดแล้ว
ไม่ใช่ให้นักบัญชีมาเป็นหัวเรือในการบริหารฟุตบอล
และที่ผมเขียนมาทั้งหมด
ผมเชื่อว่าแมนยูไม่สามารถแก้ได้อย่างภายในฤดูกาลเดียวหรอกครับ
มันต้องค่อยๆสร้างทีม ค่อยๆใช้เวลา
แต่ถ้าเห็นทิศทางเป็นรูปเป็นร่างเป็นแบบแผน แฟนบอลก็พร้อมรอเสมอ
อย่าลืมว่าขนาด Avengers ยังใช้เวลาในการพัฒนาโปรเจ็คเลย
แมนยูอาจต้องใช้เวลาพัฒนาทีมเหมือนกันครับ
จากใจแฟนบอลยูไนเต็ดคนหนึ่ง ที่ตามเชียร์ทีมมากว่าสิบปี
อันนี้เพจของผมนะครับ เผื่อใครอยากจะพูดคุยอะไรเพิ่มเติม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้