"Benny Lewis" กับการพูดภาษาตั้งแต่วันแรก!

What's not down?!

Benny Lewis" ชายผู้พิสูจน์ว่า ’ทุกคน’ สามารถเป็นอัจฉริยะด้านภาษาได้


วันนี้พาทุกคนมารู้จักกับหนึ่งในไอดอลด้านภาษาของผม เขาเป็นชาวไอริชนามว่า “เบนนี่ ลูวิส” (ชื่อจริงคือ Brendan Richard "Benny" Lewis)

เบนนี่มักเปิดเรื่องราวชีวิตของเขาด้วยวลีเหล่านี้

เมื่ออายุ 21 (ปี 2003) ผมพูดภาษาอังกฤษได้แค่ภาษาเดียว

ผมเป็นนักเรียนภาษาที่แย่ที่สุด สอบได้ที่โหล่และไม่เคยเข้าใจบทเรียน

ผมใช้เวลา 6 เดือนในสเปนเพื่อเรียนภาษาแต่กลับพูดสเปนไม่ได้เลย

ประโยคเหล่านี้สำคัญเพราะว่ามันเป็นปัญหาที่ทุกคนเจอเวลาเรียนภาษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุ ความสามารถในการเรียนภาษา หรือต้นทุนในการเรียน (ลงคอร์ส / ไปต่างประเทศ / จ้างติวเตอร์)

เบนนี่ก็เจอปัญหาเหล่านี้เหมือนกัน และดูเหมือนเขาจะแย่กว่าคนอื่นเสียด้วย (หนักสุดคือไปเรียนภาษาสเปนที่สเปนตั้ง 6 เดือนแต่กลับพูดไม่ได้เลย!)

มาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง
______________

จุดเปลี่ยนของชีวิตเบนนี่เริ่มต้นขึ้นในคืนที่ได้ไปเข้าร่วมปาร์ตี้ดินเนอร์ของกลุ่มคนรักภาษาที่ประเทศสเปน ที่นั่นเบนนี่พบกับชายชาวบราซิลที่สร้างแรงบันดาลใจมหาศาลให้กับเขา

หนุ่มบราซิลคนนี้เดินเข้ามาทักทายเพื่อนของเขาเป็นภาษาบราซิล (ภาษาโปรตุเกส) หลังจากนั้นก็หันไปทักทายเด็กหญิงชาวฝรั่งเศสที่นั่งกินขนมอยู่ข้าง ๆ ด้วยภาษาฝรั่งเศส (ที่เพอร์เฟคไม่ต่างจากภาษาโปรตุเกสที่เป็นภาษาแม่ของเขา) ทันทีที่พูดจบเขาก็หันไปหาผู้จัดงาน (ที่เป็นชาวสเปน) แล้วรัวสเปนใส่

สุดท้ายเขาหันกลับมาหาเบนนี่พร้อมพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันจ๋าออกมา! (เบนนี่ย้ำว่าเขามีสำเนียงอเมริกันที่ชัดเจนมาก)

ถึงตรงนี้ทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า เบนนี่คือชายหนุ่มที่มีปัญหากับการเรียนภาษามาก ๆ และการที่ชายคนนี้สามารถพูดได้ 4 ภาษาอย่างง่ายดาย (แถมสลับกันไปมา) มันทำให้เขาเกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมาทันทีว่า “เขาทำได้ยังไงกัน! (How the hell can he do this?!)”

แต่เขาไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้ หรือจะพูดให้ถูกคือ เขาไม่ต้องการคำตอบ! สิ่งเดียวที่เขาบอกตัวเองคือ “ฉันต้องทำแบบเขาให้ได้! (I have to be like him!)
______________

แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ เขาเคยลงเรียนเยอรมัน ภาษาเกลิก (ภาษาไอริช) มาแล้วเมื่อสมัยเรียน และทำคะแนนได้ห่วยแตกสุด ๆ

การเรียนภาษาของเขามันแย่เสียจนเขาบอกตัวเองว่าทั้งหมดนี้มันคงเป็นเพราะเขาไม่มี “Language gene” (ความสามารถในการเรียนภาษาที่ส่งต่อมาทางพันธุกรรม) หรือ “Language talent” (พรสวรรค์ในการเรียนภาษา) หรืออะไรทำนองนั้นแน่ ๆ

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังข้องใจในความสามารถของตัวเอง แต่แรงบันดาลใจที่ได้รับจากชายชาวบราซิลคนนั้น ทำให้เบนนี่ตัดสินใจเอาจริงกับภาษาสเปนอีกครั้ง

เบนนี่ลงเรียนคอร์สภาษาราคาแพง ทั้งคอร์สไพรเวท (กลุ่มละ 4 - 5 คน) และคอร์สใหญ่ เป็นเวลากว่าหลายอาทิตย์ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ซื้อหนังสือมากมายมาอ่าน เปิดซีดีและวิดีโอฟัง แต่ก็ยังล้มเหลวอีก!

ไม่ว่าเขาจะทำวิธีไหน ทุ่มแรงและเวลาให้มากเท่าไหร่ มีแรงบันดาลใจเต็มล้นมากแค่ไหน เขาก็ยังพูดสเปนไม่ได้ แบบนี้มันยิ่งชัดเจนแล้วว่า “ภาษาคงไม่ใช่ทางของฉันจริง ๆ! (Language is not my thing!)
_______________

เขาเชื่อสนิทใจว่าสาเหตุที่เขาไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษา มันมาจาก “สิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถของเขา

เขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของพันธุกรรมหรือพรสวรรค์ (บวกกับข้ออ้างที่เขาพร่ำบอกตัวเองว่าเขาไม่ค่อยมีเวลา ไม่มีหนังสือหรือเงินไปลงเรียนคอร์สภาษา และเขาแก่เกินไป)

แม้ตอนนั้นจะอายุแค่ 21 ปี แต่เขารู้สึกว่าตัวเองแก่เกินไปที่จะเรียนภาษาแล้ว และเราหลายคนก็อาจรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เพราะมีคนคอยบอกเสมอว่า “อยากเก่งภาษาต้องเรียนตั้งแต่เด็ก”

ในเคสของเบนนี่ก็มีคนเคยบอกเขาว่า “ถ้าอายุเกิน 14 ปีแล้ว คุณไม่มีวันเก่งภาษาที่สอง (หรือภาษาที่สาม) ได้!

ซ้ำร้ายกว่านั้น ในตอนเด็กเขายังมีปัญหาเรื่องการสื่อสารจนต้องเข้ารับการบำบัด (อรรถบำบัด - Speech therapy) กว่าจะพูดภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาแม่ได้ยังยากลำบากเลย

เมื่อโตขึ้นเขายังเรียนสายวิศวกรรมด้วย (จบวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์) และก็เชื่อความคิดที่ว่า ‘คนที่เก่งวิทย์เก่งเลข จะไม่เก่งภาษา’

เมื่อคิด ๆ ดูถึงข้อเสียมากมาย เขาตัดใจและบอกตัวเองว่า “ฉันคงพูดได้แค่ภาษาอังกฤษภาษาเดียวในชีวิตนี้! (Maybe I have to speak only English for the rest of my life!)
_______________

แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ ตลอดเวลา 6 เดือนที่เขาอาศัยอยู่ที่สเปน เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการ “เรียน” ภาษาสเปน เขา “เรียน” มันมากเสียจนทุกอย่างมันยากไปหมด

หลักไวยากรณ์มากมายทั้งเรื่องคำนำหน้านาม การผันกริยา ฯลฯยิ่งซ้ำเติมให้เขา “เป็นใบ้” เมื่อเจอคนสเปนตัวเป็น ๆ เพราะแค่ประโยคง่าย ๆ เขายังใช้เวลานานแสนนานกว่าจะคิดออกมาได้

เบนนี่เหลือเพียงหนทางเดียว เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง ทุกแรงกดดัน ทุกความเพอร์เฟคที่เขาคาดหวังในการเรียนภาษา และเขามองภาษาเป็นเพียง “เครื่องมือสื่อสาร” เท่านั้น ไม่ใช่ “เครื่องวัดความเก่ง

เป้าหมายของเขาไม่ใช่การ “เก่งภาษาสเปน” อีกต่อไป เขาลดมันลงมาให้เหลือเพียง “สื่อสารให้คนสเปนเข้าใจ” แค่นั้นพอ

มันทำให้เขาได้พบความจริง อาจเรียกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนทุกภาษาในโลกเลยก็ว่าได้ มันคือ “การพูดภาษาตั้งแต่วันแรกที่เรียน!” (Speaking from day one)
______________

เขาสัญญากับตัวเองว่าจากนี้เขาจะทิ้งข้ออ้างทุกอย่าง ทั้งความคิดที่ว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ ไม่ฉลาด ไม่เก่งพอที่จะคุยในหัวข้อนั้นหัวข้อนี้ และตัดสินใจว่าสิ่งเดียวที่เขาจะทำคือ “พูด” ภาษาสเปนออกมา

“แค่พูดมันออกมา โดยไม่ต้อง “คิด” ให้มากมาย!!” (Just speak it out!)

แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ไม่กี่อาทิตย์ต่อมาเขาพบว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สบาย ๆ โดยไม่ต้องขอให้ใครพูดภาษาอังกฤษด้วยเลย เขาสามารถใช้ภาษาสเปน “สื่อสาร” กับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น!

ไม่น่าเชื่อว่า 6 เดือนที่อาศัยอยู่ในสเปนและร่ำเรียนอย่างจริงจัง บวกกับคอร์สเรียนต่าง ๆ ที่เขาได้ลงเรียนหลังจากได้รับแรงบันดาลใจจากชายชาวบราซิล เขาก็ยังพูดสเปนไม่ได้

แต่กับเวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์ที่เขาเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อการใช้ภาษา ภาษาสเปนกลับง่ายดายขึ้นมาเฉย!
_______________

ในตอนที่มาเล่าเรื่องนี้ (ปี 2013) เบนนี่อายุ 31 ปี และสามารถพูดได้ 7 ภาษาในระดับคล่องแคล่ว (English, Spanish, French, German, Italian, Portuguese, Esperanto) และยังมีอีกหลายภาษาที่เขาสามารถใช้สนทนาในชีวิตประจำวันทั่วไปได้ และเขาไม่เคยเรียกตัวเองว่า “นักภาษาศาสตร์” เขามักบอกว่าตัวเองเป็น “Technomad Language Hacker” (นักแฮคภาษาที่ใช้อินเตอร์เนตให้เป็นประโยชน์) มากกว่า

ในปี 2014 เบนนี่ออกหนังสือชื่อว่า “Fluent in 3 months” (เก่งภาษาใน 3 เดือน) ที่พูดถึงเทคนิคการเรียนภาษาให้เก่งในสามเดือนที่เขาได้พิสูจน์มาด้วยตัวเอง (และแน่นอนว่าเนื้อหาในหนังสือส่วนมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนทัศนคติในการเรียนภาษา ไว้ผมมาพูดถึงหนังสือเล่มนี้ทีหลัง) และเขายังเขียนหนังสือชุด “Language Hacking” ของภาษาสเปน, เยอรมัน, ฝรั่งเศส และอิตาลีอีกด้วย

How the hell can he do this?! หลายคนอาจถาม (คำถามเดียวกับที่เบนนี่เคยถามตัวเองเมื่อ 10 ปีก่อน) ทั้งที่เขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติห่างไกลคนเก่งภาษามากที่สุด (ทั้งสอบตก ลงคอร์สเรียนและอ่านหนังสือเป็นเดือน ๆ ก็ยังไม่เข้าใจ จนถึงขั้นที่ว่าไปอยู่ต่างประเทศ 6 เดือน ก็ยังพูดภาษานั้นไม่ได้อีก!)

ใครจะไปรู้ว่า 10 ปีให้หลังเขาจะกลายเป็น Polyglot (คนที่พูดได้มากกว่า 6 ภาษา) ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักภาษาศาสตร์

เป็นไปได้ไหมว่า... ที่เขาทำได้ขนาดนี้... มันเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ อย่าง... ก า ร เ ป ลี่ ย น ทั ศ น ค ติ!

เป็นไปได้ไหมที่ประโยคเชย ๆ อย่าง “แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน” อาจจะเป็นความจริงที่เที่ยงแท้ที่สุดในโลกนี้ โดยเฉพาะในเรื่องการเรียนภาษา

ลองกลับไปคิดดู!
'ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ รู้มากกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ'
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan (Page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay tuned
JGC.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่