เมื่อมือใหม่ งบน้อย อยากเปลี่ยนจากการดื่มกาแฟสำเร็จรูป มาดื่มกาแฟสดแทน

      กาแฟนับเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ที่มีอัตราการเติบโตสูงมากในปัจจุบัน มีร้านกาแฟเปิดใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งเจ้าของคนเดียว และแบรนด์ใหญ่ๆที่มีสาขามากมาย ( แต่บางทีรสชาติก็ไม่ยักกะเหมือนกัน :p ) 
      ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟที่หาง่าย อุปกรณ์การชง เมล็ดกาแฟ และความรู้ในการชงกาแฟ ก็หาง่ายมากด้วยเช่นกัน
      ด้วยความที่อยากลิ้มรสกาแฟสดผีมือตัวเองได้ง่ายๆในบ้าน ไม่ต้องออกไปหาซื้อข้างนอก จึงเป็นที่มาของเรื่องนี้
1. ทำไมต้องเป็นกาแฟสด?
2. วิธีชงกาแฟสดมีแบบไหนบ้าง?
3. ทำไมต้องเป็น Espresso ?
4. อุปกรณ์หลักในการชง Espresso
5. เมล็ดกาแฟ และระดับการคั่ว
6. คนชง (สำคัญที่สุด)
7. การสกัด Espresso
8. ตัวแปรที่มีผลต่อการสกัดกาแฟ
9. Perfect Shot กาแฟที่สกัดออกมาได้สมบูรณ์แบบที่สุด
10. เทคนิคในการสกัด Perfect Shot 
11. ตารางแสดงการสกัดกาแฟที่สมบูรณ์ ( Perfect Shot )

1. ทำไมต้องเป็นกาแฟสด?
ข้อดี
- หากกาแฟสำเร็จรูป เปรียบเสมือนอาหารสำเร็จรูป กาแฟสด ก็เปรียบเสมือนอาหารสดใหม่รสดีนี่เอง
- กาแฟสด มีกลิ่นที่หอมมากกว่า รสชาติที่ดีกว่า 
- อุปกรณ์ในการชงหลากหลาย หาง่ายมากขึ้นและราคาก็ถูกลง
- ได้ดื่มกาแฟรสชาติที่เรากำหนดเองได้ ไม่ว่าจะขม หวาน เปรี้ยว หอมแค่ไหน
- สามารถสร้างสรรค์เมนูกาแฟแปลกๆใหม่ๆ ได้ตามใจชอบ
- มีเมล็ดกาแฟทั้งจากในประเทศหรือจากต่างประเทศให้เลือกหลากหลาย และหาได้ง่าย
- ถูกกว่าซื้อกาแฟสดที่ร้าน
ข้อด้อย
- ราคาต่อแก้วสูงกว่ากาแฟสำเร็จรูป (แต่รสดีกว่าเยอะ)
- ใช้อุปกรณ์ในการชงมากกว่า 
- วิธีการชงซับซ้อนกว่า 
- ต้องเรียนรู้วิธีการชงด้วยตัวเองมากกว่า

2. วิธีชงกาแฟสดมีแบบไหนบ้าง?
      การเลือกการชงกาแฟแต่ละวิธี จะให้รสชาติที่ต่างกันไป บ้างก็ให้รสชาติที่เข้มข้นถึงใจ บ้างก็กลมกล่อม ซึ่งใช้อุปกรณ์และเวลาในการชงแตกต่างกันด้วย ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล
      เนื่องจากเวลาเป็นสิ่งมีค่า บางคนไม่มีเวลาในการเตรียมกาแฟเพื่อดื่มมากนัก ในขณะที่บางคนอาจมีเวลาในการเตรียมกาแฟเพื่อรสชาติที่ถูกใจ 
เพื่อช่วยให้คนที่เริ่มสนใจในการดื่มกาแฟสด ได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางสายที่จะไปได้ง่ายขึ้น จึงขอจัดกลุ่มของวิธีการชงกาแฟด้วยเวลาที่ใช้ในการสกัดกาแฟ ดังนี้
1. ใช้เวลาเป็นวินาที  คือ Espresso ใช้แรงดันน้ำช่วยในการสกัด จึงใช้เวลาน้อยที่สุด และได้กาแฟที่เข้มข้นมาก
2. ใช้เวลาเป็นนาที (4-5 นาที)  เช่น Drip/Pour-Over, French Press, Syphon, Aeropress, Moka Pot, Turkish Coffee
3. ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ( 4-12 ชม.) เช่น  Cold Drip, Cold Brew, Nitro Cold Brew
หมายเหตุ: ไม่ขอลงรายละเอียดของการชงแต่ละวิธีนะครับ ควรหาข้อมูลเองจะดีที่สุด เพื่อจะได้เลือกวิธีที่ใช่ที่สุดสำหรับตัวเอง

ตัวอย่างการชงกาแฟแบบต่างๆ
Coffee Guide I 9 วิธีการชงกาแฟที่ไม่รู้จักไม่ได้แล้ว
https://themomentum.co/happy-feature-brew-coffee-guide/

เลือกวิธีชงแบบไหนขึ้นอยู่กับ ?
- ชอบรสชาติของการชงแบบไหน
- ต้องการปริมาณการชงทีละแก้วหรือมากกว่า
- เวลาที่ใช้ในการสกัด
- ดื่มร้อน หรือเย็น
- งบประมาณในการซื้ออุปกรณ์
- ดื่มเองที่บ้าน หรือเปิดร้านกาแฟ

3. ทำไมต้องเป็น Espresso ?
- เป็นวิธีที่ใช้เวลาชงเร็วกว่าวิธีอื่น ใช้เวลาเพียง 20-30 วินาที เท่านั้น
- สกัดกาแฟได้รสชาติเข้มข้นมากเกือบที่สุด ยกเว้น Turkish Coffee
- เป็นตัวตั้วต้นในการทำการแฟได้อีกหลายเมนู เช่น Amaricano, Capuchino, Late
- อุปกรณ์ในการชงหาง่าย หลากหลาย มีทั้งเครื่องชงไฟฟ้า และแบบพกพาที่สะดวกในการเดินทาง
- ดูแลรักษาและทำความสะอาดอุปกรณ์ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก

4. อุปกรณ์หลักในการชง Espresso
- เครื่องชง มีทั้งเครื่องชงที่ใช้ไฟฟ้า และเครื่องชงที่ไม่ใช้ไฟฟ้า
- เครื่องบดเมล็ดกาแฟ

เครื่องชง Espresso แบบใช้ไฟฟ้า
      เครื่องชงกาแฟนั้นมีตั้งแต่หลักพันขึ้นไป หลักหมื่น จนถึงหลักแสน เป็นเรื่องจริงที่ว่า เครื่องชงราคาแพงนั้น มักจะชงกาแฟออกมาได้ดีกว่าเครื่องชงราคาถูก แต่เครื่องชงราคาถูกเมื่ออยู่ในมือคนชงที่เก่ง ก็สามารถจะชงกาแฟออกมาได้ดีกว่าเครื่องชงราคาแพงที่อยู่ในมือของคนชงที่ไม่มีความรู้ด้านกาแฟดีพอก็เป็นได้
      สำหรับมือใหม่ จะเริ่มเรียนรู้ด้วยเครื่องชงราคาไม่แพงนักก็ไม่น่าผิดอะไร ยังไงๆ ก็ได้ดื่มกาแฟสดที่รสชาติดีกว่ากาแฟสำเร็จรูปอย่างแน่นอน 
เครื่องราคาถูกนั้น อาจควบคุมได้ยากกว่าเครื่องชงราคาสูง เพราะ 
- หม้อต้มขนาดเล็ก 
- อุณหถูมิไม่คงที่ 
- แรงดันน้ำไม่คงที่ตลอดการชง บางยี่ห้อบอกว่า 15-20 bar. แต่ชงกาแฟออกมาไม่ได้ใกล้เคียงเครื่องชงมาตราฐานที่ 8 Bar. เลยสักนิด
- ขนาดก้านชงเล็กกว่า (ส่วนมากจะเริ่มที่ 51มม. ขณะที่ก้านชงมาตราฐานคือ 58มม.) ทำให้ใส่ผงการแฟได้น้อยกว่า 
      การชงกาแฟด้วยเครื่องราคาถูกให้อร่อย จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก เพราะเราต้องเรียนรู้ทั้งในส่วนของเครื่องชง เครื่องบด และพื้นฐานของวิธีการชงกาแฟให้มากที่สุด ถึงจะสามารถชงกาแฟออกมาได้เต็มประสิทธิภาพของเครื่องชงนั้นๆได้ ถือเป็นการฝึกฝีมืออย่างหนึ่ง เมื่อเข้าใจหลักการนั้นๆแล้ว เราจะสามารถเลือกอัพเกรดอุปกรณ์ในการชงใหม่ที่เหมาะกับเราในโอกาสต่อไปได้ดีขึ้น

เครื่องชงกาแฟแบบไม่ใช้ไฟฟ้
      มีผู้ผลิตอีกมาก ที่ผลิตอุปกรณ์ชงกาแฟแบบไม่ใช้ไฟฟ้า ด้วยการใช้แรงดันจากการอัดลมด้วยมือมาช่วย ด้วยจุดประสงค์ต่างๆกันไป เช่น เพื่อการพกพาที่สะดวก หรือตอบสนองความต้องการเฉพาะทาง เช่น ROK Espresso Maker, Mini Presso, Nano Presso, Staresso, Handpresso, Flair Manual Press

เครื่องบดเมล็ด 
      ไม่แนะนำให้ใช้เครื่องบดแบบใบมีด (Blade) ควรใช้เครื่องบดแบบเฟือง (Burr) จะดีกว่า จะเป็นแบบ Flat burr หรือ Conicle Burr ก็ได้ เพราะจะได้ขนาดผงกาแฟสม่ำเสมอมากกว่า ส่งผลให้ชงได้รสชาติที่นิ่งกว่าไปด้วย หากบดทีละน้อย ใช้เครื่องบดมือแบบ Conicle Burr เฟืองเซรามิกราคาหลักร้อย ก็ยังดีกว่าเครื่องบดใบมีดไฟฟ้าราคาพันกว่าบาทซะอีก
      การเลือกใช้อุปกรณ์ควรอยู่ในระดับราคาและความสามารถเดียวกัน  ไม่ใช่ซื้อเครื่องชงแพง แต่กลับเลือกใช้เครื่องบดราคาถูก

5. เมล็ดกาแฟ และระดับการคั่ว
      เริ่มต้นฝึกชงด้วยกาแฟภายในประเทศตัวดีๆ จะหาง่าย ราคาไม่แพง จนเมื่อชงได้นิ่งแล้วค่อยหากาแเกรดสูงขึ้นหรือกาแฟนอกดีๆ มาลอง เพราะในการหาจุดพอดีในช่วงแรกนั้น จะใช้เวลาเเละเมล็ดกาแฟค่อนข้างมาก กว่าจะชงได้นิ่ง
ระดับการคั่ว มีผลโดยตรงต่อรสชาติกาแฟ 
- คั่วอ่อน  รสชาติ [Flavour] ความเปรี้ยว [Acidity]  กลิ่น [Aroma] ของผลไม้จะยังคงหลงเหลืออยู่มากกว่ากาแฟที่คั่วเข้ม
- คั่วกลาง ความเปรี้ยวลดลง ความหวานจะมากขึ้น  body ของกาแฟที่ค่อนข้างหนักแน่น (Full Body) รสชาติและกลิ่นของกาแฟชัดเจน อบอวล หนักแน่นอยู่ในปากหลังจากที่เราได้จิบ
- คั่วเข้ม  รสชาติและกลิ่นของกาแฟที่ไหม้นิดๆ นิยมนำมาชงเป็นกาแฟเย็น ที่มักผสมนม/ครีมข้นหวาน 

6. คนชง (สำคัญที่สุด)
      เพราะคนชง เป็นผู้กำหนดปัจจัยต่างๆในการชงเองทั้งหมด เลือกเครื่องชงเอง เลือกเมล็ดกาแฟเอง เลือกเครื่องบดเอง เลือกน้ำที่ใช้ชงเอง และเลือกวิธีชงด้วยตัวเอง กาแฟจะออกมาอย่างไรก็อยู่ที่คนชงเป็นหลัก

7. การสกัด Espresso
      การสกัดหมายถึงการให้น้ำไหลผ่านกาแฟไปโดยน้ำมีหน้าที่เป็นตัวทำละลายและดึงเอารสชาติต่างๆ ของกาแฟไปกับตัวมัน ซึ่งโดยทั่วไปหากบดกาแฟละเอียดมาก หรือแพ็คกาแฟแน่นมาก น้ำจะไหลฝ่าออกไปได้ยาก ช้า ทำให้สกัดรสชาติออกมาได้มาก หากใช้กาแฟที่บดหยาบ แพ็คไม่แน่นน้ำย่อมไหลผ่านไปได้ง่ายกว่าการสกัดรสชาติจะน้อยกว่า เป็นที่มาของการทำความเข้าใจช็อตกาแฟเอสเปรสโซ 3 ลักษณะดังนี้
1.ช็อตที่สกัดน้อยไป หรือ under extracted shot 
      หมายถึงช็อตที่น้ำไหลผ่านกาแฟเร็วเกินไป สิ่งที่ถูกสกัดได้ง่ายจะถูกน้ำพาลงมาก่อน ได้แก่รสเปรี้ยวฝาดของกรดผลไม้  รสขมของสารประกอบพวกแบบปิ้งๆ ย่างๆ
2.ช็อตที่สกัดได้พอดี หรือ Perfect shot  
      รสเปรี้ยวจากกรดผลไม้จะนุ่มนวลมากขึ้นไม่บาดฝาดลิ้น และสารประกอบที่ให้กลิ่นรสของพวกปิ้งๆ ย่างๆ ที่กล่าวไป จะถูกสกัดออกมาผสมผสานกันกลมกล่อมพอดี
3.ช็อตที่สกัดมากไป หรือ over extracted shot 
      น้ำผ่านออกมาได้ยากขึ้น ช้าขึ้น พวกที่สกัดได้ช้าจะออกมาแล้วครับ ได้แก่พวกขมทื่อ ขี้เถ้า กลิ่นควันต่างๆ ออกมากลบรสที่ดีๆ ไปหมด
      สำหรับมือใหม่หากทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานที่กล่าวมานี้ได้ เชื่อว่าจะทำให้ชงกาแฟได้อร่อยขึ้นอย่างมีเหตุมีผล ที่เรียกว่า perfect shot ย่อมอยู่ในข่ายของช็อตแบบข้อ 2 ด้านบนนี้ เวลาที่เราใช้หรือการจับเวลาในการสกัดกาแฟนั้นเป็นเรื่องรอง รสชาติเป็นเรื่องใหญ่ ท่านสามารถฝึกฝนความชำนาญได้จากการทำช็อตกาแฟเยอะๆ ใช้เวลาการสกัดต่างๆ กัน และชิมมันทุกถ้วยที่ทำ อาจใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นหลายปี ไม่มีทางลัดครับ นี่คือการทำความเข้าใจกับ perfect 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่