มีคนบอกไว้ว่า เรื่องเล่าระหว่างทางก็สนุกไม่แพ้เรื่องเล่าที่ปลายทาง คือ การเดินทางครั้งนี้เราสองคน วางแผนกันไว้ว่าจะจะขับรถ 2 ล้อ กันไปที่ไหนสักแห่งที่ระยะทางไม่ไกลมาก ที่ไม่เหนื่อยมาก หาข้อมูลกันไปมาก็มาจบที่ หมู่บ้านอีต่อง เหมืองปิล๊อค น้ำตกจ๊อกกระดิ่ง ละ บ้านต้นไม้ ที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ กาญจนบุรี เมื่อได้สถานที่แล้ว ก็เริ่มหาวันที่จะเดินทางกันซึ่งตกลงวัน เสาร์ อาทิตย์ที่ 8 ละ 9 ธันวาคม 2561 ส่วนที่พักนั้นเราจองบ้านต้นไม้ที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ แต่โทรไปจองล่วงหน้านั้น บ้านไม่ว่างเลยต้องเลื่อนไปอีก 1 อาทิตย์ เมื่อได้วันพร้อมจะเดินทาง คือวันเสาร์ที่ 15 ละ อาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ละสถานที่เรียบร้อย คราวนี้ในใจกังวลเฝ้าถวิลหาให้ถึงวันที่จะเดินทางให้ไวไว แต่ยิ่งเฝ้ารอกลับยิ่งรู้สึกเวลาเดินช้าลง เป็นงี้ทุกคนป่าวไม่รู้น่า...
ถึงวันเวลาที่พร้อมจะเดินทางนัดกันที่ 9 โมง ที่สะพานใหม่ กรุงเทพ เริ่ม รถพร้อม คนพร้อม ก็ออกเดินทางกันเลย กลิ่นของการเดินทางย่อมหอมหวานเสมอ อากาศวันนี้ก็เป็นใจให้การเดินทางไร้ซึ่งอุปสรรค เดินทางกันไปได้ ร้อยกว่ากิโล ก็ได้เวลาพักรถหน่อย ถามว่าเมื่อยก้นไหมตอบได้เลยเมื่อยกันทั้งสอง พักหาไรรองท้องก่อนจะลุยกันต่อ เดินทางอีกร้อยกว่ากิโลด้วยความปวดก้นเมี่อยมือ แต่ก็ไม่ยอมแพ้
คราวนี่ไม่พักเลย พักอีกทีกะว่าเติมน้ำมัน แต่แปลกรถนี่ไม่กินน้ำมันเลย บิดมา 160+ เกือบตลอดเส้นทาง เส้นทางเริ่มเห็นภูเขารางๆให้หายเหนื่อยมาบ้าง ตอนนั้น มองข้างทางคำว่าอำเภอทองผาภูมิ ในใจนึงก็ท้อแบบเมื่อไรจะถึง ใจคิดตลอดทำไมต้องมาลำบากขนาดนี้ด้วยวะ แต่ก็เอาวะ ตัดสินใจแล้วก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจ ของทั้งสองคน ในเมื่อลงรถคันเดียวกันแล้ว ก็ต้องทนให้ถึงที่สุด ตัวเลขกิโลเมตรตามข้างทางทำให้ใจยิ้มได้เรื่อยๆ ผ่านมาสองร้อยกว่ากิโล ทางขึ้นเขาไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมินี้แบบ
ตัดกำลังไปเยอะเลย ทางขึ้นเขางี้ ทางเป็นหลุมเป็นบ่องี้ ทางแคบงี้ ทางคดเคี้ยวงี้ แวะพักที่จุดชมวิว กม.12
แต่ก็ผ่านมาจนถึงเป้าหมายที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ก็ไปติดต่อเข้าหน้าที่จ่ายค่าเข้าอุทยานละติดต่อบ้านพักที่บ้านต้นไม้ พอดีโทรมาจอง บอกชื่อ ละจ่ายค่าบ้านต้นไม้ พอเห็นเท่านั้นแหละ
เท่านั้นแหละ คือแบบโหย หายเหนื่อย หายเมื่อย แบบคุ้มค่าที่มาถึง ใช้เวลาจากจุดเริ่มถึงเป้าหมายก็สี่โมงได้ แต่จะให้อธิบายยังไงก็มองไม่เห็นภาพ
ทางขึ้นบ้านต้นไม้
เปิดประตูมาวางของ
ละเข้าไปดูห้องน้ำ เสร็จ เก็บของเสร็จ พร้อมไปดูดวงอาทิตย์ตกที่เนินช้างศึกแต่ระหว่างทางแค่8กิโล แต่ทางนี่ขึ้นเขาลงเขาทางลำบากกว่าตอนมานี้แบบเดินยังไวซะกว่า ถึงข้างบนไม่น่าเชื่อคนขับรถมาจากไหนไม่รู้เต็มพื้นที่ไปหมด ทั้งกางเต็นท์ทำอาหารกินกันเองในบรรยากาศใต้แสงของอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า
แต่ท้องฟ้าวันนี้สวยมาก ยังกับจิตรกรมาวาดเอง
เสร็จตัดสินใจลงไปหมู่บ้านอีต่องกันต่อ ห่างไปแค่โลเดียว ไปหาอะไรร้อนๆกินกัน แต่พอไม่ถึงเท่านั้นแหละ อะไรร้อนๆที่ว่านั้นไม่มีจริง มีแต่ข้าวไข่เจียวเป็นหลักๆ สุดท้ายเดินในหมู่บ้านไปๆมาๆได้ร้านอาหารตามสั่ง ก็นั่งกินกัน ระหว่างจะกลับที่พักก็หาซื้อเครื่องดื่มไปดื่มกันที่บ้านต้นไม้ อยากบอกว่าน้ำแข็งนั้นราคาสูงมาก ถึงบ้านต้นไม้ก็จัดแจงอาบน้ำก่อนเพราะไฟจะดับลงตอน3ทุ่ม ห้องน้ำนี้เปิดโล้งเข้ากับบรรยากาศดี ตอนนั่งดื่มกัน ลมพัดตลอด ใบไม้ทำงานกันไม่หยุด ลมแรงเท่าไรบ้านโยกตามแรงลมเท่านั้นกลัวก็กลัวแต่ก็ได้อีกอรรถรสนึง นอนไปเหมือนมีคนกล่อมให้หลับ
เช้าตั้งใจไปดูหมอกที่หมู่บ้านอีต่อง แต่ตื่นกันซะ 9 โมง จะไปดูหมองที่ไหนล่ะครับ แต่วิวหน้าบ้านต้นไม้ก็ดีไม่แพ้หมอกเหมือนกัน อยากนั่งโง่ๆ ต่อเลย แต่ทุกอย่างมันมีเวลาของมัน
เวลาเห็นความสุขมักหมดไวเสมอจริงๆ เดินกันไปดูวิวที่มองเห็นเขาช้างเผือกที่เขาว่ากันว่าจองยากที่สุดทริปนึงเลย
โชคดีมื้อเช้ายังฝากท้องที่ร้านอาหารในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ราคาไม่สูงมาก เสร็จลุยกันต่อที่หมู่บ้านอีต่องอีกรอบ
มุมที่ใครๆก็มาถ่ายกันเราก็ไม่พลาดมาเมื่อคืนแล้วแต่มองไม่เห็นอะไรเลย คือที่นี้เหมือนเขาจะประหยัดพลังงานกัน
มาแล้วก็เขียนมันซะหน่อย
อีกสักรูปในวันที่มาไม่ทันหมอก
ไปต่อเลยที่ น้ำตกจ๊อกกระดิ่ง
อ่านว่า น้ำตกจ๊อกกระดิ่ง ป่ะ
ทุกการเดินทางเรื่องไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ เพื่อทดสอบประสบการณ์การเอาตัวรอดของมนุษย์ เรื่องไม่ได้สวยงามเสมอไปแต่ว่า คือตอนลงเขาที่ทองผาภูมิ สเตอร์หน้ารถหลุดหายไป ระหว่างทาง จนไปต่อไม่ได้คือคิดดูอีกต้อง60กว่ากิโลจะถึงตัวอำเภอ จังหวะเดินหาสเตอร์หน้าก็โชคดีที่มีพี่ที่ขับรถที่กำลังจะขึ้นไปกางเต็นบนอุทยานก็จอดถาม
ใจนึงดีใจแล้วที่มีคนช่วยตัดสินใจ พี่เขาหยิบโทรศัพท์โทรไปข้อความช่วยเหลือ จังหวะนั้นโชคดีมีรถเจ้าหน้าที่อุทยานมาก็เลยขอคำแนะนำแต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่โชคดีมีรถกระบะผ่านมาเลยโบกขอความช่วยเหลือ เลยรบกวนขอให้ช่วยเอารถลงไปถึงตัวอำเภอเผื่อหาร้านก่อน
แต่โชคดีในโชคดีระหว่างทางพี่เขาบอกจะหาร้านเปลี่ยนให้ได้กลับกรุงเทพแน่ๆ ไม่ต้องกลัว
โชคดีแฟนพี่เขาซื้อไส้อั่วมาให้ แต่ต้องขอบคุณพี่เขาที่พี่เขาแวะตามทางมาตลอด เผื่อหาร้านหาอะไหล่ให้ ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางที่นั่งหลังกระบะมานั้นไกลพอสมควรไม่รู้ขับมอไซร์กันมาได้ไงคิดละขำดี ถ้ามองในแง่ดีก็ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมันที่จะขับรถกันมาแต่ใครก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในระหว่างทางล่ะ แต่ก็อย่างว่าทุกอย่างไม่มีอะไรได้ดั่งใจหรอก....
จนมาเจอแถวบ้านพี่เขาที่บ้านเก่า อำเภอไรนี้แหละ กาญจนบุรี ช่วยน้ำมันรถพี่เขาพี่เขาก็ปฏิเสธ คือไม่รู้จะตอบแทนพี่เขาแบบไหน ใจพี่เขาหล่อมาก แต่มิตรภาพที่เกิดขึ้นนั้น ถัาไม่เกิดขึ้นกับใครไม่มีวันเข้าใจหรอกว่ามันสวยงามเพียงใด ระหว่างทางขับรถออกมาผมยิ้มอยู่ในใจกับความทรงจำที่เกินกว่าจะคาดเดา
ทองผาภูมิ กะ บ้านต้นไม้ กะ ความประทับใจ
ถึงวันเวลาที่พร้อมจะเดินทางนัดกันที่ 9 โมง ที่สะพานใหม่ กรุงเทพ เริ่ม รถพร้อม คนพร้อม ก็ออกเดินทางกันเลย กลิ่นของการเดินทางย่อมหอมหวานเสมอ อากาศวันนี้ก็เป็นใจให้การเดินทางไร้ซึ่งอุปสรรค เดินทางกันไปได้ ร้อยกว่ากิโล ก็ได้เวลาพักรถหน่อย ถามว่าเมื่อยก้นไหมตอบได้เลยเมื่อยกันทั้งสอง พักหาไรรองท้องก่อนจะลุยกันต่อ เดินทางอีกร้อยกว่ากิโลด้วยความปวดก้นเมี่อยมือ แต่ก็ไม่ยอมแพ้
คราวนี่ไม่พักเลย พักอีกทีกะว่าเติมน้ำมัน แต่แปลกรถนี่ไม่กินน้ำมันเลย บิดมา 160+ เกือบตลอดเส้นทาง เส้นทางเริ่มเห็นภูเขารางๆให้หายเหนื่อยมาบ้าง ตอนนั้น มองข้างทางคำว่าอำเภอทองผาภูมิ ในใจนึงก็ท้อแบบเมื่อไรจะถึง ใจคิดตลอดทำไมต้องมาลำบากขนาดนี้ด้วยวะ แต่ก็เอาวะ ตัดสินใจแล้วก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจ ของทั้งสองคน ในเมื่อลงรถคันเดียวกันแล้ว ก็ต้องทนให้ถึงที่สุด ตัวเลขกิโลเมตรตามข้างทางทำให้ใจยิ้มได้เรื่อยๆ ผ่านมาสองร้อยกว่ากิโล ทางขึ้นเขาไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมินี้แบบ ตัดกำลังไปเยอะเลย ทางขึ้นเขางี้ ทางเป็นหลุมเป็นบ่องี้ ทางแคบงี้ ทางคดเคี้ยวงี้ แวะพักที่จุดชมวิว กม.12 แต่ก็ผ่านมาจนถึงเป้าหมายที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ก็ไปติดต่อเข้าหน้าที่จ่ายค่าเข้าอุทยานละติดต่อบ้านพักที่บ้านต้นไม้ พอดีโทรมาจอง บอกชื่อ ละจ่ายค่าบ้านต้นไม้ พอเห็นเท่านั้นแหละ เท่านั้นแหละ คือแบบโหย หายเหนื่อย หายเมื่อย แบบคุ้มค่าที่มาถึง ใช้เวลาจากจุดเริ่มถึงเป้าหมายก็สี่โมงได้ แต่จะให้อธิบายยังไงก็มองไม่เห็นภาพ ทางขึ้นบ้านต้นไม้ เปิดประตูมาวางของ ละเข้าไปดูห้องน้ำ เสร็จ เก็บของเสร็จ พร้อมไปดูดวงอาทิตย์ตกที่เนินช้างศึกแต่ระหว่างทางแค่8กิโล แต่ทางนี่ขึ้นเขาลงเขาทางลำบากกว่าตอนมานี้แบบเดินยังไวซะกว่า ถึงข้างบนไม่น่าเชื่อคนขับรถมาจากไหนไม่รู้เต็มพื้นที่ไปหมด ทั้งกางเต็นท์ทำอาหารกินกันเองในบรรยากาศใต้แสงของอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า แต่ท้องฟ้าวันนี้สวยมาก ยังกับจิตรกรมาวาดเอง เสร็จตัดสินใจลงไปหมู่บ้านอีต่องกันต่อ ห่างไปแค่โลเดียว ไปหาอะไรร้อนๆกินกัน แต่พอไม่ถึงเท่านั้นแหละ อะไรร้อนๆที่ว่านั้นไม่มีจริง มีแต่ข้าวไข่เจียวเป็นหลักๆ สุดท้ายเดินในหมู่บ้านไปๆมาๆได้ร้านอาหารตามสั่ง ก็นั่งกินกัน ระหว่างจะกลับที่พักก็หาซื้อเครื่องดื่มไปดื่มกันที่บ้านต้นไม้ อยากบอกว่าน้ำแข็งนั้นราคาสูงมาก ถึงบ้านต้นไม้ก็จัดแจงอาบน้ำก่อนเพราะไฟจะดับลงตอน3ทุ่ม ห้องน้ำนี้เปิดโล้งเข้ากับบรรยากาศดี ตอนนั่งดื่มกัน ลมพัดตลอด ใบไม้ทำงานกันไม่หยุด ลมแรงเท่าไรบ้านโยกตามแรงลมเท่านั้นกลัวก็กลัวแต่ก็ได้อีกอรรถรสนึง นอนไปเหมือนมีคนกล่อมให้หลับ เช้าตั้งใจไปดูหมอกที่หมู่บ้านอีต่อง แต่ตื่นกันซะ 9 โมง จะไปดูหมองที่ไหนล่ะครับ แต่วิวหน้าบ้านต้นไม้ก็ดีไม่แพ้หมอกเหมือนกัน อยากนั่งโง่ๆ ต่อเลย แต่ทุกอย่างมันมีเวลาของมัน เวลาเห็นความสุขมักหมดไวเสมอจริงๆ เดินกันไปดูวิวที่มองเห็นเขาช้างเผือกที่เขาว่ากันว่าจองยากที่สุดทริปนึงเลย โชคดีมื้อเช้ายังฝากท้องที่ร้านอาหารในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ราคาไม่สูงมาก เสร็จลุยกันต่อที่หมู่บ้านอีต่องอีกรอบ มุมที่ใครๆก็มาถ่ายกันเราก็ไม่พลาดมาเมื่อคืนแล้วแต่มองไม่เห็นอะไรเลย คือที่นี้เหมือนเขาจะประหยัดพลังงานกัน มาแล้วก็เขียนมันซะหน่อย อีกสักรูปในวันที่มาไม่ทันหมอก ไปต่อเลยที่ น้ำตกจ๊อกกระดิ่ง อ่านว่า น้ำตกจ๊อกกระดิ่ง ป่ะ ทุกการเดินทางเรื่องไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ เพื่อทดสอบประสบการณ์การเอาตัวรอดของมนุษย์ เรื่องไม่ได้สวยงามเสมอไปแต่ว่า คือตอนลงเขาที่ทองผาภูมิ สเตอร์หน้ารถหลุดหายไป ระหว่างทาง จนไปต่อไม่ได้คือคิดดูอีกต้อง60กว่ากิโลจะถึงตัวอำเภอ จังหวะเดินหาสเตอร์หน้าก็โชคดีที่มีพี่ที่ขับรถที่กำลังจะขึ้นไปกางเต็นบนอุทยานก็จอดถาม ใจนึงดีใจแล้วที่มีคนช่วยตัดสินใจ พี่เขาหยิบโทรศัพท์โทรไปข้อความช่วยเหลือ จังหวะนั้นโชคดีมีรถเจ้าหน้าที่อุทยานมาก็เลยขอคำแนะนำแต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่โชคดีมีรถกระบะผ่านมาเลยโบกขอความช่วยเหลือ เลยรบกวนขอให้ช่วยเอารถลงไปถึงตัวอำเภอเผื่อหาร้านก่อน แต่โชคดีในโชคดีระหว่างทางพี่เขาบอกจะหาร้านเปลี่ยนให้ได้กลับกรุงเทพแน่ๆ ไม่ต้องกลัว โชคดีแฟนพี่เขาซื้อไส้อั่วมาให้ แต่ต้องขอบคุณพี่เขาที่พี่เขาแวะตามทางมาตลอด เผื่อหาร้านหาอะไหล่ให้ ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางที่นั่งหลังกระบะมานั้นไกลพอสมควรไม่รู้ขับมอไซร์กันมาได้ไงคิดละขำดี ถ้ามองในแง่ดีก็ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมันที่จะขับรถกันมาแต่ใครก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในระหว่างทางล่ะ แต่ก็อย่างว่าทุกอย่างไม่มีอะไรได้ดั่งใจหรอก....
จนมาเจอแถวบ้านพี่เขาที่บ้านเก่า อำเภอไรนี้แหละ กาญจนบุรี ช่วยน้ำมันรถพี่เขาพี่เขาก็ปฏิเสธ คือไม่รู้จะตอบแทนพี่เขาแบบไหน ใจพี่เขาหล่อมาก แต่มิตรภาพที่เกิดขึ้นนั้น ถัาไม่เกิดขึ้นกับใครไม่มีวันเข้าใจหรอกว่ามันสวยงามเพียงใด ระหว่างทางขับรถออกมาผมยิ้มอยู่ในใจกับความทรงจำที่เกินกว่าจะคาดเดา