***ใครขี้เกียจอ่าน เลื่อนดูรูปบรรยากาศในงานได้เลยค่า***
เราคุยกับสามีเรื่องแต่งงาน ตั้งแต่เริ่มคุยกันอาทิตย์แรกๆที่จีบกัน(ออนไลน์) ดูเหมือนบ้านะ
แอบรู้สึกแปลกตัวเองเหมือนกันว่า เรารีบด่วนสรุปไปหรือเปล่า ใครจะมาแต่งงานกับคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน
แต่ด้วยที่เราทั้งคู่อายุ 30+ ถึงจะเป็นการคุยกันทางออนไลน์ แต่เราก็มั่นใจว่าไม่ผิดแน่ เพราะเราคุยกันถูกคอไปสะทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเรื่องการท่องเที่ยวเดินทาง การมูดูดวงต่างๆ ความคิดที่ว่าไม่อยากจะจัดงานแต่ง แต่ขอแลกแหวน ไหว้ผู้ใหญ่ ชวนเพื่อนไม่กี่คนมาทานข้าว แล้วไปฮันนีมูนก็พอ
ไม่อยากเสียเงินจัดงาน วันแค่วันเดียวเอง รู้สึกสิ้นเปลือง ทุกอย่างมันทำให้เราคลิ๊กกันลงตัว
จวบจนคุยกันเดือนกว่าๆ สามีบินมาหาที่ยุโรป จากตอนแรกที่แอบลังเลคิดว่าเพ้อเจ้อคิดไกลไปเอง แต่ตอนนี้เริ่มมั่นใจว่าจะไม่โดนหลอกตอน30+
ถึงจะโดนก็ช่างเถอะ ลองดูละกัน พอเจอกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ได้ใช้เวลาด้วยกัน ก็ยิ่งแน่ใจละ ว่าคนนี้แหละ ต้องโดน!!
ก็เลยตัดสินใจบอกผู้ใหญ่ สามีก็ไปบอกแม่เขา เราก็มาบอกแม่เรา ทางแม่เขาไม่ขัดข้องใดๆ
ด้วยเพราะว่าสามีเราอายุปาไป 39 แล้ว เขาอยากจะเห็นลูกชายคนเล็กมีครอบครัวสักที
ส่วนแม่เราน่ะเหรอ “แกฝันไปเองหรือเปล่า ใครเขาจะมาแต่ง”
เอ๊าาาา สะอย่างนั้น แม่ไม่เชื่อจ้าว่าลูกสาวอายุ 31 จะมีผู้ชายมาคุยเรื่องแต่งงาน
จนเราพูดเล่าๆๆๆให้แม่ฟัง แม่ก็เปิดมาคำนึงว่า “ได้ สินสอดแม่ไม่เรียก แต่แม่ขอพิธีไทยครบ ที่เหลือพวกแกจะทำอะไรก็ตามใจ
แต่พิธีไทยต้องครบ”
จบ
ตอนนี้โจทย์ที่ว่าจะแค่แลกแหวน แล้วไปเที่ยว ก็กลายมาเป็น อยากจัดงานพิธีเช้าที่บ้าน ทำบุญเลี้ยงพระอะไรทำนองนี้ที่เราเข้าใจ
แต่ไม่ใช่ แม่ต้องการพิธีครบ รดน้ำสังข์ แห่ขันหมากอีก จนเราปรึกษากับสามีแล้วว่า สงสัยจะที่บ้านไม่ได้แล้วล่ะ
เพราะด้วยเนื้อที่ และแขกที่แม่จะเชิญ แล้วเราต้องมาทำอะไรเองทุกอย่างอีก คงไม่ได้ ตัวเราอยู่ ตปท. จะให้จัดงานเองทุกอย่าง
คงเป็นไปได้ยาก
ที่นี้เราก็เริ่มมองหาสถานที่ละ (จากจะไม่จัดงาน เหอๆ) จนมาเจอเรือนไทย มีแพ๊คเกจจัดงานพร้อมทุกอย่าง
ตั้งแต่พิธีสงฆ์ยัน ขบวนกลองยาว มีนักดนตรี โต๊ะจีน 10โต๊ะ ถ่ายพรีฯ สามารถนอนค้างคืนก่อนงานแต่งได้ที่เรือนไทย
ไม่จำกัดจำนวนผู้เข้าพัก ในกรณีที่ญาติบ่าวสาวต้องเดินทาง คุยความต้องการต่างๆจากเซล ก็ดูไม่มีปัญหา
ตัวสามีเข้าไปดูสถานที่ก็ว่าโอเค จนตกลงทำสัญญา มัดจำ 10%
พอได้สถานที่ กำหนดวันเองอะไรเองละ ก็เริ่มคิดทำการ์ด โดยให้เพื่อนสามีช่วยออกแบบ แต่พอเอาเข้าจริงๆ
พอจะไปสั่งพิมพ์ ดั๊นนรู้สึกว่า มันดูเยอะเกินไป เลยเปลี่ยนแบบ แล้วมานั่งทำเอง เพราะไม่กล้าไปรบกวนเพื่อนสามีแล้ว
กว่าจะเป็นงานแต่งงานหนึ่งงาน มักไม่ง่าย เพราะอยู่ๆ เรือนไทยที่เรามัดจำเอาไว้ เป็นข่าว มีประเด็นปัญหาเกิดขึ้น เป็นเรื่องเป็นราวออกรายการ โหนกระแส ทีนี้เราเลยไปนั่งค้นหารูปแบบ การจัดงานต่างๆของทางเรือนไทยมาดูอย่างจริงจังอีกครั้ง และก็ได้ปรึกษาสามีว่าจะเอาไงดี การ์ดก็สั่งพิมพ์ไปแล้ว (ญาติสามีพิมพ์ให้ฟรี) แต่เรากลับไม่ค่อยถูกใจสไตล์การทำงานของทางเรือนไทย เพราะไม่ว่าเราจะรีเควสอะไรไป เขาตกลง บอกได้ทุกอย่าง แต่ไม่เคยคุยกันอย่างละเอียดจริงๆสักครั้ง จนเราจะกลับไปไทยไปเตรียมงาน เรายังต้องเป็นฝ่ายตาม ขอนัด ถามรายละเอียดต่างๆเอง จนเราคิดว่า เราไม่ขอเสี่ยงดีกว่า
สามีก็โอเค ที่จะหาสถานที่ใหม่ ยอมปล่อยไป แต่ก่อนจะบอกทางเรือนไทย เรานัดไปชิมอาหาร อาหารทางเรือนไทยรสชาติดีมาก ปริมาณอาหารก็ให้เยอะ
เราแอบเสียดาย อาหาร แต่เขายังไม่ตอบโจทย์ความเป็นมืออาชีพ ในการออแกไนซ์ หรือจัดตกแต่งงาน
เราเลยขอให้สามีไปดูอีกสถานที่นึง (จริงๆเราขอใบเสนอราคามาหลายที่มากๆ) ที่ซึ่งเราเคยไปนวดสปา แต่สถานที่เขาสวย เราเคยไปยืนดูแล้วพูดกับพี่เราว่า “น่าจัดงานแต่งงานจัง” ณเวลานั้นๆ คือสามปีก่อน ที่เราจะรู้จักสามีเรา พี่เราได้แต่บอกเราว่า “หาแฟนก่อนเถอะ”
พอเสนอสถานที่นี้กับสามีไป สามีก็ไปดู และขอใบเสนอราคา สรุปวา พอสู้ราคาได้ เราดีใจมากกกกก เพราะ มันคือสถานที่ ที่เราเคยพูดเอาไว้ว่า “น่าจัดงานแต่ง”
ซึ่งในแพ๊คเกจของที่นี่ จะมีครบ ตั้งแต่นิมนต์พระ นักร้อง ช่างภาพนิ่ง หรือ วีดีโอ(ให้เลือก) อาหารเช้าค๊อกเทล อาหารเที่ยงแบบเป็นเซ๊ต
จนเราตกลงทำสัญญาอีกครั้ง และเข้าไปคุยรายละเอียด ทุกอย่างลงตัวถูกใจมาก ทางสถานที่จะมีทีมงาน เป็นส่วนๆไป ในส่วนของการตกแต่งงานนั้น ทางสถานที่ มี สองทีมตกแต่งมาให้เราเลือก ทั้งสองทีมได้เข้า มาพรีเซนแบล๊คดรอป และก็เสนอว่าในราคาแพ๊คเกจเนี่ย เขาจัดอะไรให้เราได้บ้าง
พอตกลงปลงใจว่าเราเลือกทีมไหนปุ๊ป เราก็ต้องจ่ายเงินอีก จำนวนหนึ่ง และได้นัดวันไปชิมอาหาร อะไรที่ไม่ถูกปากก็ขอเปลี่ยนเมนูได้
ณ ตอนนี้ งานแต่งงานของเรา กลายเป็น แต่งเข้าเลี้ยงเที่ยง บานปลายงบไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะ เราต้องสั่งพิมพ์การ์ดใหม่อีกครั้ง เนื่องจากเราเปลี่ยนสถานที่ ธีมงานของเรา คือสีชมพู ม่วง และแอบเพิ่มน้ำเงินไว้อีกสี แต่จริงๆ แขกจะใส่อะไรมาเราไม่ซีเรียสตรงนั้น (เราระบุลงไปในการ์ดด้วยว่าไม่ซีเรียส)
ทีนี้ พอได้การ์ดแล้วอะไรแล้วเราก็มานั่งหา ช่างหน้า ช่างผม ร้านเช่าชุด ชุดเพื่อนเจ้าสาว ของชำร่วยแม่สามีเราเย็บเอง เป็นกระเป๋าผ้าดิบธรรมดาๆ
ซึ่ง แม่เราแอบไปสั่งกระเป๋าลายดอกๆมาเพิ่มอีก เพราะเขากลัวจะไม่พอ มาถึงตรงนี้ จากแขกไม่เกินร้อยคน ตอนนี้ทะลุไป 120+ แล้วจ้า
ตอนแรกสามีบอกบ้านเขาคนไม่น่าจะเยอะ เพราะคุณพ่อของสามีเป็นลูกคนเดียว และท่านก็เสียไปแล้ว แต่ แม่สามีแอบเพื่อนเยอะ พอรู้ว่าเปลี่ยนสถานที่
แม่สามีเลย ชวนเพื่อนๆเพิ่ม ความบานปลายจึงเกิดเรื่อยๆ
ความบานปลายเกิดอีกเมื่อ ช่างแต่งหน้าที่เรามัดจำไว้ นัดมาลองแต่ง แล้วไม่ค่อยโอเค ด้วยความเกรงใจ เราเลยถามเขาก่อน เขาโอเคไหมที่จะแต่งหน้าให้เฉพาะญาติๆ ของเรา จากที่ตกลงว่าจะแต่งให้เราและญาติๆ อีกสามคน (แม่ พี่ และน้อง) ทางเขาไม่ขัดข้อง ทีนี้ เราก็หาช่างแต่งหน้าใหม่ ตอนนี้สามีแอบบ่นว่า ให้ดูให้ดี ก่อนตัดสินใจนะ เพราะเราเปลี่ยนนั่นนี่ๆ หลายครั้งแล้ว 555
แล้วเราก็ได้ช่างแต่งหน้าคนใหม่สมใจ พร้อมกับได้ร้านชุดแต่งงานที่ไม่คิดว่าจะได้เข้าไปใช้บริการ เนื่องจากว่าเราเริ่มเกรงใจสามี ที่ค่าใช้จ่ายบานปลาย
เราเลยมองหาร้านขุดแต่งงาน ที่งบไม่เกินสองหมื่น แต่ด้วย ตัวสามีเองเอาจริงๆ เป็นคนเยอะกว่าเรา แถมเคยเรียนแฟชั่นดีไซน์เนอร์ เขาเลยออกจะละเอียดเรื่องชุดมากก สองร้านแรกที่พาสามีไปดู สามีบอกว่า งานตะเข็บแบบนี้ ให้เช่าสองร้อย เขาก็ไม่จ่าย จ้าาา... เราเลยบอกว่างั้นเราควรหาร้านไหน เพราะเราก็ไม่กล้าเลือกร้านแพงๆ จนสามีบอกว่า เดี๋ยวพาไปร้านรุ่นพี่ที่เรียนมาด้วยกัน เราเลยถามว่า ร้านชื่อไร พอรู้ชื่อร้านปุ๊บ เรากับพี่เราร้องหาาา นั่นพี่รู้จักเจ้าของร้านเหรออ สามีเราทำหน้างง ว่าทำไมต้องตื่นเต้น สามีเราเพิ่งพูดถึงร้าน ฟีนาเล่ เราถามย้ำอยู่หลายรอบ เพราะกลัวว่าจะมีหลายฟีนาเล่ สามีเราออกจากแวดวงดีไซน์เนอร์มาทำรับเหมานานมากกก เลยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าร้าน ฟีนาเล่ นี่มีชื่อเสียง
พอเข้าไปร้านชุดแต่งงาน ก็ได้ชุดสมใจ โดยได้ในราคารุ่นพี่รุ่นน้องมา แต่เราก็แอบช๊อกกับราคาอยู่ดี มาวันนี้งานแต่งงานผ่านไปแล้ว เราแอบเสียดายค่าเช่าชุดที่สุด เพราะงานแค่ไม่กี่ ชั่วโมงเอง แต่สามีบอกว่า ถ้าถูกใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียดาย
งานชุดจบ เราก็สั่งเค็กต่อ เป็นเค็กแต่งงานสองชั้น ป๊อปเค็ก มาการอง (อร่อยมาก ได้ชิมป๊อปเค็กไปคำนึง) และเพิ่ม ขนมอาลัว ที่เป็นกุหลาบ ถูกใจผู้ใหญ่เพื่อนๆ แม่สามีมาก จนมีมาขอเบอร์ร้านขนมไปหลังงานจบ งานเรามีแต่พิธีตอนเช้า คือตักบาตร ถวายอาหารกลับวัด และเลี้ยงอาหารเช้า พร้อมกับถวายสังฆทาน ส่วนเลี้ยงเที่ยง เราไม่มีเวที
ไม่มีพิธีการใดๆ ไม่มีการตัดเค็ก ใครอยากทานก็ไปตัดทานได้เลย ไม่แนะนำบ่าวสาว เราคิดแค่ว่า อยากทานข้าว อยากพูดคุยกับเพื่อนและถ่ายรูปกันเฉยๆ ก็พอ
และนี่คือรูปบางส่วนในงานแต่งงานของเรา
มุมแกลอรี่เล็กๆที่รีเควสไป เพราะไม่อยากได้แนวนิทรรศการ
กิจกรรมที่ผู้ใหญ่สนุกสนาน แต่เจ้าตัวเล็กไม่น่าจะสนุกด้วย เพราะร้อนนน 555
กว่าจะเป็นงานแต่งงาน 1 งาน เราเตรียมกันหลายเดือนมาก ถึงแม้แพ็คเกจงานแต่งสมัยนี้จะครอบคลุมหลายอย่าง
แต่ดีเทลเล็กๆน้อยๆ ก็มีอีกเยอะ มันดีตรงที่ไม่ว่าความต้องการของเราคืออะไร แบบไหนที่เราเลือก พอมาคุยกันแล้ว ความเห็นเราตรงกัน
ตั้งแต่ธีมสีงาน อาหาร และอื่นๆ มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ดีมากๆ เราไปเดินหาซื้อของทำสังฆทาน เรามาช่วยกันห่อ
เรามานั่งผูกโบว์ของรับไหว้ ไปตาก-แถวสำเพ็งหาซื้อผ้าทำของชำร่วย พาแม่ไปเลือกชุดที่ดิโอสยาม ไปเลือกแหวน แล้วก็ไปนั่งเถียงกัน
ถึงแม้งานแต่งงานจะเป็นเรื่องสิ้นเปลือง แต่การได้มีช่วงเวลาดีๆ ได้มีความทรงจำแบบนี้ด้วยกัน ได้เห็นพ่อแม่ มีความสุขยิ้มหน้าบาน
ได้เจอญาติผู้ใหญ่เพื่อนฝูงพร้อมหน้าพร้อมตา มันคือที่สุดในชีวิตจริงๆ สุดท้ายถึงแม้เรากับสามีจะรู้จักกันไม่ถึงปี ( คุยกันวันที่ 30เมษา18 แต่ง 21เมษา19)
แต่เราก็ดีใจที่ตัดสินใจแต่งงาน เราไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว เจอแล้ว ใช่แล้ว จะรออะไร..
จากคิดว่าจะไม่จัดงานแต่งงาน จนกลายเป็นงานแต่งงาน
เราคุยกับสามีเรื่องแต่งงาน ตั้งแต่เริ่มคุยกันอาทิตย์แรกๆที่จีบกัน(ออนไลน์) ดูเหมือนบ้านะ
แอบรู้สึกแปลกตัวเองเหมือนกันว่า เรารีบด่วนสรุปไปหรือเปล่า ใครจะมาแต่งงานกับคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน
แต่ด้วยที่เราทั้งคู่อายุ 30+ ถึงจะเป็นการคุยกันทางออนไลน์ แต่เราก็มั่นใจว่าไม่ผิดแน่ เพราะเราคุยกันถูกคอไปสะทุกเรื่อง
ไม่ว่าจะเรื่องการท่องเที่ยวเดินทาง การมูดูดวงต่างๆ ความคิดที่ว่าไม่อยากจะจัดงานแต่ง แต่ขอแลกแหวน ไหว้ผู้ใหญ่ ชวนเพื่อนไม่กี่คนมาทานข้าว แล้วไปฮันนีมูนก็พอ
ไม่อยากเสียเงินจัดงาน วันแค่วันเดียวเอง รู้สึกสิ้นเปลือง ทุกอย่างมันทำให้เราคลิ๊กกันลงตัว
จวบจนคุยกันเดือนกว่าๆ สามีบินมาหาที่ยุโรป จากตอนแรกที่แอบลังเลคิดว่าเพ้อเจ้อคิดไกลไปเอง แต่ตอนนี้เริ่มมั่นใจว่าจะไม่โดนหลอกตอน30+
ถึงจะโดนก็ช่างเถอะ ลองดูละกัน พอเจอกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ได้ใช้เวลาด้วยกัน ก็ยิ่งแน่ใจละ ว่าคนนี้แหละ ต้องโดน!!
ก็เลยตัดสินใจบอกผู้ใหญ่ สามีก็ไปบอกแม่เขา เราก็มาบอกแม่เรา ทางแม่เขาไม่ขัดข้องใดๆ
ด้วยเพราะว่าสามีเราอายุปาไป 39 แล้ว เขาอยากจะเห็นลูกชายคนเล็กมีครอบครัวสักที
ส่วนแม่เราน่ะเหรอ “แกฝันไปเองหรือเปล่า ใครเขาจะมาแต่ง”
เอ๊าาาา สะอย่างนั้น แม่ไม่เชื่อจ้าว่าลูกสาวอายุ 31 จะมีผู้ชายมาคุยเรื่องแต่งงาน
จนเราพูดเล่าๆๆๆให้แม่ฟัง แม่ก็เปิดมาคำนึงว่า “ได้ สินสอดแม่ไม่เรียก แต่แม่ขอพิธีไทยครบ ที่เหลือพวกแกจะทำอะไรก็ตามใจ
แต่พิธีไทยต้องครบ”
จบ
ตอนนี้โจทย์ที่ว่าจะแค่แลกแหวน แล้วไปเที่ยว ก็กลายมาเป็น อยากจัดงานพิธีเช้าที่บ้าน ทำบุญเลี้ยงพระอะไรทำนองนี้ที่เราเข้าใจ
แต่ไม่ใช่ แม่ต้องการพิธีครบ รดน้ำสังข์ แห่ขันหมากอีก จนเราปรึกษากับสามีแล้วว่า สงสัยจะที่บ้านไม่ได้แล้วล่ะ
เพราะด้วยเนื้อที่ และแขกที่แม่จะเชิญ แล้วเราต้องมาทำอะไรเองทุกอย่างอีก คงไม่ได้ ตัวเราอยู่ ตปท. จะให้จัดงานเองทุกอย่าง
คงเป็นไปได้ยาก
ที่นี้เราก็เริ่มมองหาสถานที่ละ (จากจะไม่จัดงาน เหอๆ) จนมาเจอเรือนไทย มีแพ๊คเกจจัดงานพร้อมทุกอย่าง
ตั้งแต่พิธีสงฆ์ยัน ขบวนกลองยาว มีนักดนตรี โต๊ะจีน 10โต๊ะ ถ่ายพรีฯ สามารถนอนค้างคืนก่อนงานแต่งได้ที่เรือนไทย
ไม่จำกัดจำนวนผู้เข้าพัก ในกรณีที่ญาติบ่าวสาวต้องเดินทาง คุยความต้องการต่างๆจากเซล ก็ดูไม่มีปัญหา
ตัวสามีเข้าไปดูสถานที่ก็ว่าโอเค จนตกลงทำสัญญา มัดจำ 10%
พอได้สถานที่ กำหนดวันเองอะไรเองละ ก็เริ่มคิดทำการ์ด โดยให้เพื่อนสามีช่วยออกแบบ แต่พอเอาเข้าจริงๆ
พอจะไปสั่งพิมพ์ ดั๊นนรู้สึกว่า มันดูเยอะเกินไป เลยเปลี่ยนแบบ แล้วมานั่งทำเอง เพราะไม่กล้าไปรบกวนเพื่อนสามีแล้ว
กว่าจะเป็นงานแต่งงานหนึ่งงาน มักไม่ง่าย เพราะอยู่ๆ เรือนไทยที่เรามัดจำเอาไว้ เป็นข่าว มีประเด็นปัญหาเกิดขึ้น เป็นเรื่องเป็นราวออกรายการ โหนกระแส ทีนี้เราเลยไปนั่งค้นหารูปแบบ การจัดงานต่างๆของทางเรือนไทยมาดูอย่างจริงจังอีกครั้ง และก็ได้ปรึกษาสามีว่าจะเอาไงดี การ์ดก็สั่งพิมพ์ไปแล้ว (ญาติสามีพิมพ์ให้ฟรี) แต่เรากลับไม่ค่อยถูกใจสไตล์การทำงานของทางเรือนไทย เพราะไม่ว่าเราจะรีเควสอะไรไป เขาตกลง บอกได้ทุกอย่าง แต่ไม่เคยคุยกันอย่างละเอียดจริงๆสักครั้ง จนเราจะกลับไปไทยไปเตรียมงาน เรายังต้องเป็นฝ่ายตาม ขอนัด ถามรายละเอียดต่างๆเอง จนเราคิดว่า เราไม่ขอเสี่ยงดีกว่า
สามีก็โอเค ที่จะหาสถานที่ใหม่ ยอมปล่อยไป แต่ก่อนจะบอกทางเรือนไทย เรานัดไปชิมอาหาร อาหารทางเรือนไทยรสชาติดีมาก ปริมาณอาหารก็ให้เยอะ
เราแอบเสียดาย อาหาร แต่เขายังไม่ตอบโจทย์ความเป็นมืออาชีพ ในการออแกไนซ์ หรือจัดตกแต่งงาน
เราเลยขอให้สามีไปดูอีกสถานที่นึง (จริงๆเราขอใบเสนอราคามาหลายที่มากๆ) ที่ซึ่งเราเคยไปนวดสปา แต่สถานที่เขาสวย เราเคยไปยืนดูแล้วพูดกับพี่เราว่า “น่าจัดงานแต่งงานจัง” ณเวลานั้นๆ คือสามปีก่อน ที่เราจะรู้จักสามีเรา พี่เราได้แต่บอกเราว่า “หาแฟนก่อนเถอะ”
พอเสนอสถานที่นี้กับสามีไป สามีก็ไปดู และขอใบเสนอราคา สรุปวา พอสู้ราคาได้ เราดีใจมากกกกก เพราะ มันคือสถานที่ ที่เราเคยพูดเอาไว้ว่า “น่าจัดงานแต่ง”
ซึ่งในแพ๊คเกจของที่นี่ จะมีครบ ตั้งแต่นิมนต์พระ นักร้อง ช่างภาพนิ่ง หรือ วีดีโอ(ให้เลือก) อาหารเช้าค๊อกเทล อาหารเที่ยงแบบเป็นเซ๊ต
จนเราตกลงทำสัญญาอีกครั้ง และเข้าไปคุยรายละเอียด ทุกอย่างลงตัวถูกใจมาก ทางสถานที่จะมีทีมงาน เป็นส่วนๆไป ในส่วนของการตกแต่งงานนั้น ทางสถานที่ มี สองทีมตกแต่งมาให้เราเลือก ทั้งสองทีมได้เข้า มาพรีเซนแบล๊คดรอป และก็เสนอว่าในราคาแพ๊คเกจเนี่ย เขาจัดอะไรให้เราได้บ้าง
พอตกลงปลงใจว่าเราเลือกทีมไหนปุ๊ป เราก็ต้องจ่ายเงินอีก จำนวนหนึ่ง และได้นัดวันไปชิมอาหาร อะไรที่ไม่ถูกปากก็ขอเปลี่ยนเมนูได้
ณ ตอนนี้ งานแต่งงานของเรา กลายเป็น แต่งเข้าเลี้ยงเที่ยง บานปลายงบไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะ เราต้องสั่งพิมพ์การ์ดใหม่อีกครั้ง เนื่องจากเราเปลี่ยนสถานที่ ธีมงานของเรา คือสีชมพู ม่วง และแอบเพิ่มน้ำเงินไว้อีกสี แต่จริงๆ แขกจะใส่อะไรมาเราไม่ซีเรียสตรงนั้น (เราระบุลงไปในการ์ดด้วยว่าไม่ซีเรียส)
ทีนี้ พอได้การ์ดแล้วอะไรแล้วเราก็มานั่งหา ช่างหน้า ช่างผม ร้านเช่าชุด ชุดเพื่อนเจ้าสาว ของชำร่วยแม่สามีเราเย็บเอง เป็นกระเป๋าผ้าดิบธรรมดาๆ
ซึ่ง แม่เราแอบไปสั่งกระเป๋าลายดอกๆมาเพิ่มอีก เพราะเขากลัวจะไม่พอ มาถึงตรงนี้ จากแขกไม่เกินร้อยคน ตอนนี้ทะลุไป 120+ แล้วจ้า
ตอนแรกสามีบอกบ้านเขาคนไม่น่าจะเยอะ เพราะคุณพ่อของสามีเป็นลูกคนเดียว และท่านก็เสียไปแล้ว แต่ แม่สามีแอบเพื่อนเยอะ พอรู้ว่าเปลี่ยนสถานที่
แม่สามีเลย ชวนเพื่อนๆเพิ่ม ความบานปลายจึงเกิดเรื่อยๆ
ความบานปลายเกิดอีกเมื่อ ช่างแต่งหน้าที่เรามัดจำไว้ นัดมาลองแต่ง แล้วไม่ค่อยโอเค ด้วยความเกรงใจ เราเลยถามเขาก่อน เขาโอเคไหมที่จะแต่งหน้าให้เฉพาะญาติๆ ของเรา จากที่ตกลงว่าจะแต่งให้เราและญาติๆ อีกสามคน (แม่ พี่ และน้อง) ทางเขาไม่ขัดข้อง ทีนี้ เราก็หาช่างแต่งหน้าใหม่ ตอนนี้สามีแอบบ่นว่า ให้ดูให้ดี ก่อนตัดสินใจนะ เพราะเราเปลี่ยนนั่นนี่ๆ หลายครั้งแล้ว 555
แล้วเราก็ได้ช่างแต่งหน้าคนใหม่สมใจ พร้อมกับได้ร้านชุดแต่งงานที่ไม่คิดว่าจะได้เข้าไปใช้บริการ เนื่องจากว่าเราเริ่มเกรงใจสามี ที่ค่าใช้จ่ายบานปลาย
เราเลยมองหาร้านขุดแต่งงาน ที่งบไม่เกินสองหมื่น แต่ด้วย ตัวสามีเองเอาจริงๆ เป็นคนเยอะกว่าเรา แถมเคยเรียนแฟชั่นดีไซน์เนอร์ เขาเลยออกจะละเอียดเรื่องชุดมากก สองร้านแรกที่พาสามีไปดู สามีบอกว่า งานตะเข็บแบบนี้ ให้เช่าสองร้อย เขาก็ไม่จ่าย จ้าาา... เราเลยบอกว่างั้นเราควรหาร้านไหน เพราะเราก็ไม่กล้าเลือกร้านแพงๆ จนสามีบอกว่า เดี๋ยวพาไปร้านรุ่นพี่ที่เรียนมาด้วยกัน เราเลยถามว่า ร้านชื่อไร พอรู้ชื่อร้านปุ๊บ เรากับพี่เราร้องหาาา นั่นพี่รู้จักเจ้าของร้านเหรออ สามีเราทำหน้างง ว่าทำไมต้องตื่นเต้น สามีเราเพิ่งพูดถึงร้าน ฟีนาเล่ เราถามย้ำอยู่หลายรอบ เพราะกลัวว่าจะมีหลายฟีนาเล่ สามีเราออกจากแวดวงดีไซน์เนอร์มาทำรับเหมานานมากกก เลยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าร้าน ฟีนาเล่ นี่มีชื่อเสียง
พอเข้าไปร้านชุดแต่งงาน ก็ได้ชุดสมใจ โดยได้ในราคารุ่นพี่รุ่นน้องมา แต่เราก็แอบช๊อกกับราคาอยู่ดี มาวันนี้งานแต่งงานผ่านไปแล้ว เราแอบเสียดายค่าเช่าชุดที่สุด เพราะงานแค่ไม่กี่ ชั่วโมงเอง แต่สามีบอกว่า ถ้าถูกใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียดาย
งานชุดจบ เราก็สั่งเค็กต่อ เป็นเค็กแต่งงานสองชั้น ป๊อปเค็ก มาการอง (อร่อยมาก ได้ชิมป๊อปเค็กไปคำนึง) และเพิ่ม ขนมอาลัว ที่เป็นกุหลาบ ถูกใจผู้ใหญ่เพื่อนๆ แม่สามีมาก จนมีมาขอเบอร์ร้านขนมไปหลังงานจบ งานเรามีแต่พิธีตอนเช้า คือตักบาตร ถวายอาหารกลับวัด และเลี้ยงอาหารเช้า พร้อมกับถวายสังฆทาน ส่วนเลี้ยงเที่ยง เราไม่มีเวที
ไม่มีพิธีการใดๆ ไม่มีการตัดเค็ก ใครอยากทานก็ไปตัดทานได้เลย ไม่แนะนำบ่าวสาว เราคิดแค่ว่า อยากทานข้าว อยากพูดคุยกับเพื่อนและถ่ายรูปกันเฉยๆ ก็พอ
และนี่คือรูปบางส่วนในงานแต่งงานของเรา
มุมแกลอรี่เล็กๆที่รีเควสไป เพราะไม่อยากได้แนวนิทรรศการ
กิจกรรมที่ผู้ใหญ่สนุกสนาน แต่เจ้าตัวเล็กไม่น่าจะสนุกด้วย เพราะร้อนนน 555
กว่าจะเป็นงานแต่งงาน 1 งาน เราเตรียมกันหลายเดือนมาก ถึงแม้แพ็คเกจงานแต่งสมัยนี้จะครอบคลุมหลายอย่าง
แต่ดีเทลเล็กๆน้อยๆ ก็มีอีกเยอะ มันดีตรงที่ไม่ว่าความต้องการของเราคืออะไร แบบไหนที่เราเลือก พอมาคุยกันแล้ว ความเห็นเราตรงกัน
ตั้งแต่ธีมสีงาน อาหาร และอื่นๆ มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตที่ดีมากๆ เราไปเดินหาซื้อของทำสังฆทาน เรามาช่วยกันห่อ
เรามานั่งผูกโบว์ของรับไหว้ ไปตาก-แถวสำเพ็งหาซื้อผ้าทำของชำร่วย พาแม่ไปเลือกชุดที่ดิโอสยาม ไปเลือกแหวน แล้วก็ไปนั่งเถียงกัน
ถึงแม้งานแต่งงานจะเป็นเรื่องสิ้นเปลือง แต่การได้มีช่วงเวลาดีๆ ได้มีความทรงจำแบบนี้ด้วยกัน ได้เห็นพ่อแม่ มีความสุขยิ้มหน้าบาน
ได้เจอญาติผู้ใหญ่เพื่อนฝูงพร้อมหน้าพร้อมตา มันคือที่สุดในชีวิตจริงๆ สุดท้ายถึงแม้เรากับสามีจะรู้จักกันไม่ถึงปี ( คุยกันวันที่ 30เมษา18 แต่ง 21เมษา19)
แต่เราก็ดีใจที่ตัดสินใจแต่งงาน เราไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว เจอแล้ว ใช่แล้ว จะรออะไร..