กลับมารีวิวกระทู้ท่องเที่ยวสไตล์ตะลุยเดี่ยวเที่ยวดะตามแบบฉบับของผมกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายการเขียนกระทู้ไปนาน ทั้งที่จริง ๆ ก็มี Story อีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าประสบการณ์ให้เพื่อน ๆ ฟังทั้งทริปในประเทศและทริปต่างประเทศ โดยกระทู้ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะอีสานใต้ต่อกัมพูชาตอนเหนือจะเป็นแนวการบอกเล่าประสบการณ์ที่ผมไปพบเจอและไปเที่ยวชมในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เสียเป็นส่วนใหญ่ตามสไตล์ที่ผมชอบนะครับ รอบนี้ผมเน้นไปชมปราสาทหินในถิ่นอีสานใต้และฝั่งกัมพูชาตอนเหนือเป็นเป้าหมายหลัก จำนวน 13 วัน เหตุผลที่อยากเขียนกระทู้เล่าประสบการณ์ในทริปนี้เพราะผมเห็นว่าสถานที่หลายแห่งยังมีนักท่องเที่ยวคนไทยไปชมกันไม่มากนักและข้อมูลของสถานที่ดังกล่าวและการเดินทางก็ยังไม่เป็นปัจจุบันพอนะครับ เผื่อใครสนใจอยากไปชมปราสาทหินบางแห่งที่ผมเดินทางไปชมบ้างก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประกอบการจัดทริปของตัวเองได้นะครับ อันนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ
สำหรับกระทู้ตอนแรกจะเป็นการเล่าประสบการณ์การเดินทางในวันที่ 1 – 2 ของผม โดยผมได้แบ่งทริปการเดินทางของผมครั้งนี้เป็นดังนี้
วันที่ 1 : เดินทางจากกรุงเทพฯ – บุรีรัมย์ เที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์
วันที่ 2 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอละหานทราย โนนดินแดง และปะคำ และชมการแสดงแสงสีเสียงใน
งานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง
วันที่ 3 : เที่ยวปราสาทหินในเขตบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และร่วมชมขบวนแห่ประเพณีขึ้น
เขาพนมรุ้ง
วันที่ 4 : เที่ยวปราสาทหินในเขตอำเภอปราสาท สังขะ และบัวเชดของจังหวัดสุรินทร์
วันที่ 5 : เดินทางจากสุรินทร์ไปจังหวัดสระแก้ว และเที่ยวปราสาทหินในจังหวัดสระแก้ว
วันที่ 6 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสระแก้ว (ต่อ)
วันที่ 7 : เดินทางไปเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา และเที่ยวปราสาทหินในเมืองเสียมเรียบ
วันที่ 8 : เที่ยวปราสาทหินกลุ่มหริหราลัย และปราสาทหินรายทางระหว่างทางจากเสียมเรียบไปกำปงธม
วันที่ 9 : เที่ยวกลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุกที่เมืองกำปงธม
วันที่ 10 : เดินทางไปเมืองพระตะบอง และเที่ยวปราสาทหินในเมืองพระตะบอง
วันที่ 11 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองพระตะบอง
วันที่ 12 : เที่ยวกลุ่มปราสาทหินบันทายฉมาร์ที่เมืองบันเตียเมียนเจย
วันที่ 13 : เที่ยวเก็บตกในเมืองพระตะบอง และเดินทางกลับบ้าน
วันที่ 1 : เดินทางจากกรุงเทพฯ – บุรีรัมย์ เที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์
รอบนี้เดินทางจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรไปลงที่จังหวัดบุรีรัมย์ก่อนด้วยการนั่งเครื่องบินไปลงที่นั่น ใช้เวลาเพียง 45 นาทีแป๊บเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว
ออกมาหน้าอาคารผู้โดยสารขาเข้าก็จะเจอกับเคาร์เตอร์รถตู้บริการเข้าเมืองบุรีรัมย์ กับไปจังหวัดสุรินทร์ของบริษัทนครโคราช ราคาค่าตั๋วก็คนละ 200 บาท ผมว่าแพงไปหน่อยนะครับเพราะระยะทางประมาณ 40 กว่า ก.ม. เอง นั่งรถประมาณ 45 นาทีก็ถึงตัวเมืองบุรีรัมย์แล้ว เราสามารถให้รถจอดที่จุดไหนในย่านตัวเมืองก็ได้นะครับ เค้าบริการส่งถึงที่
ส่วนผมลงที่ บขส. เพราะต้องการไปสำรวจดูรถที่จะวิ่งไปตลาดโรงเกลือว่ามีไหม และมีรอบเวลากี่โมงบ้าง พร้อมได้ติดต่อให้ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์นำรถที่เช่ามาส่งให้ผมที่นี่
หลังจากทำเรื่องเช่ารถเสร็จสรรพก็ถึงเวลาโบยบินแล้วครับ ขี่รถออกมานอกเมืองผ่านวงเวียนอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมุ่งตรงไปทางตอนใต้ของบุรีรัมย์ครับ
เป้าหมายแรกไปชม
ภูเขาไฟกระโดง สักหน่อย ไหน ๆ ก็เป็นทางผ่านจะไปนอนแถว ๆ ใกล้ปราสาทหินพนมรุ้งอยู่แล้ว โดยภูเขาไฟกระโดงอยู่ห่างจากตัวเมืองบุรีรัมย์แค่ 6 ก.ม. เท่านั้น ขี่รถแป๊บ ๆ ชมวิวไปเรื่อยก็ถึงแล้ว
การชมภูเขาไฟกระโดงสามารถทำได้ 2 ทาง คือ ทางแรกเดินขึ้นบันไดที่เห็นภาพนั่นแหละครับ 297 ขั้น เหมาะสำหรับคนชอบออกกำลังขา มีใจฮึดสู้
ส่วนผมเลือกทางที่ 2 ครับ ทางที่ 2 ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจะขับรถยนต์ก็ได้สามารถขี่ขึ้นเขาได้เลย ระยะทางแค่ 2 ก.ม. ด้านบนมีลานจอดรถเพียงพอไม่ต้องกลัวเรื่องที่จอดรถ
สำหรับจุดแวะชมบนภูเขาไฟกระโดงจะมี 2 จุด โดยจุดแรกเป็นจุดแวะชมปากปล่องภูเขาไฟ สังเกตจุดนี้ได้ง่ายเพราะจะมีนักท่องเที่ยวจอดรถแวะชมกันเยอะ บริเวณนี้จะมีสะพานแขวนที่สร้างปากปล่องภูเขาไฟให้เราเดินชมวิวเล่นสนุก ๆ และมีทางเดินเลียบปากปล่องให้เราเดินเล่นท่ามกลางความร่มรื่นของหมู่แมกไม้
ตามประวัติบอกว่า ภูเขาไฟกระโดงเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วหลาย ๆ ลูกของพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภูเขาไฟลูกนี้มีสัณฐานคล้ายโล่ เกิดขึ้นราว 3 – 9 แสนปีที่แล้ว หลักฐานที่บ่งชี้แน่ชัดก็คือ หินบะซอลต์ที่เกิดจากการเย็นตัวของลาวาภูเขาไฟในครั้งอดีตที่พบเป็นจำนวนมากบนยอดภูเขาแห่งนี้
จุดที่ 2 ขี่รถเลยจากจุดแรกไปจนสุดทางที่ยอดเขา จะเห็นพระพุทธรูประทับนั่งองค์ใหญ่สีทองตั้งเด่นสง่าอยู่บนยอดเขา ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดชมวิวที่มองลงมาจะเห็นวิวตัวเมืองบุรีรัมย์ได้ชัดเจน
พระพุทธรูปองค์ใหญ่สีทองนี้มีชื่อว่า “พระสุภัทรบพิตร” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหันหน้าออกไปยังตัวเมืองบุรีรัมย์
นอกจากนี้บริเวณยอดเขายังพบซากโบราณสถานขอม โดยปรากฏหินทรายที่สร้างเป็นปราสาทหินขนาดเล็กอยู่บนยอดเขา ปัจจุบันสภาพของปราสาทพังทลายลงเหลือเพียงกองหินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยชาวบ้านเรียกว่า
“กู่เขากระโดง”
เสร็จจากการเที่ยวชมภูเขาไฟกระโดงแล้ว ผมก็ขี่รถต่อไปชมสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่อยู่ใกล้ ๆ กัน นั่นก็คือ วัดป่าเขาน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปราว 3 ก.ม. เพราะเป็นทางที่ต้องผ่านไปยังที่พักคืนนี้อยู่แล้ว เลยถือโอกาสแวะสักหน่อย
วัดป่าเขาน้อยโดดเด่นของเจติยวิหารขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นตามรูปแบบปราสาทประธานของปราสาทเขาพนมรุ้ง ตัวเจติยวิหารทาสีชมพู เจดีย์องค์นี้มีชื่อว่า
“เจดีย์ศรีสุวจคุณานุสรณ์” มีลานรอบตัวเจติยวิหารที่สามารถเดินได้รอบ
ตามประวัติบอกว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พัฒนาขึ้นจากความมุ่งหมายของพระโพธิธรรมจารย์เถระ (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ) อดีตเจ้าอาวาส เป็นวัดที่มีบรรยากาศเงียบสงบแม้อยู่ใกล้ตัวเมือง เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นใครเข้าไปเที่ยวชมวัดนี้ก็ต้องสำรวมมารยาทไม่ส่งเสียงดังด้วยนะครับ
ภายในเจดีย์สามารถเข้าไปได้จัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ ของพระโพธิธรรมจารย์เถระและอัฐิธาตุของท่าน รวมทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ได้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล การมาชมวัดแห่งนี้ก็ใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็น่าจะเพียงพอนะครับเพราะจุดหลัก ๆ ที่ควรมาชมก็คือ เจติยวิหารองค์นี้ของวัด
ต่อมาผมขี่รถไปยังที่พักคืนนี้ วันนี้จองที่พักไว้ที่ ดอนงามรีสอร์ท ที่พักเรียบง่ายราคาสบายกระเป๋าคืนละ 400 บาท ที่พักสังเกตได้ง่ายอยู่ริมถนนทางโค้งฝั่งซ้ายเลยถ้าเราขี่รถจากตัวเมืองไปยังปราสาทเขาพนมรุ้งนะ ที่นี่ไม่มีบริการอาหารเช้านะ ส่วนอาหารการกินนั้นเราสามารถขี่รถไปแถววัดอัมภารามที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปราว 2 ก.ม. ได้จะมี 7 -11 และร้านขายอาหารหลายร้าน วันที่ผมไปบริเวณวัดก็มีตลาดนัดให้เราเลือกซื้อของได้ด้วย
ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะอีสานตอนใต้ต่อกัมพูชาตอนเหนือ ตอนที่ 1
กลับมารีวิวกระทู้ท่องเที่ยวสไตล์ตะลุยเดี่ยวเที่ยวดะตามแบบฉบับของผมกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายการเขียนกระทู้ไปนาน ทั้งที่จริง ๆ ก็มี Story อีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าประสบการณ์ให้เพื่อน ๆ ฟังทั้งทริปในประเทศและทริปต่างประเทศ โดยกระทู้ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะอีสานใต้ต่อกัมพูชาตอนเหนือจะเป็นแนวการบอกเล่าประสบการณ์ที่ผมไปพบเจอและไปเที่ยวชมในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เสียเป็นส่วนใหญ่ตามสไตล์ที่ผมชอบนะครับ รอบนี้ผมเน้นไปชมปราสาทหินในถิ่นอีสานใต้และฝั่งกัมพูชาตอนเหนือเป็นเป้าหมายหลัก จำนวน 13 วัน เหตุผลที่อยากเขียนกระทู้เล่าประสบการณ์ในทริปนี้เพราะผมเห็นว่าสถานที่หลายแห่งยังมีนักท่องเที่ยวคนไทยไปชมกันไม่มากนักและข้อมูลของสถานที่ดังกล่าวและการเดินทางก็ยังไม่เป็นปัจจุบันพอนะครับ เผื่อใครสนใจอยากไปชมปราสาทหินบางแห่งที่ผมเดินทางไปชมบ้างก็สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประกอบการจัดทริปของตัวเองได้นะครับ อันนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ
สำหรับกระทู้ตอนแรกจะเป็นการเล่าประสบการณ์การเดินทางในวันที่ 1 – 2 ของผม โดยผมได้แบ่งทริปการเดินทางของผมครั้งนี้เป็นดังนี้
วันที่ 1 : เดินทางจากกรุงเทพฯ – บุรีรัมย์ เที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์
วันที่ 2 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอละหานทราย โนนดินแดง และปะคำ และชมการแสดงแสงสีเสียงใน
งานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง
วันที่ 3 : เที่ยวปราสาทหินในเขตบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และร่วมชมขบวนแห่ประเพณีขึ้น
เขาพนมรุ้ง
วันที่ 4 : เที่ยวปราสาทหินในเขตอำเภอปราสาท สังขะ และบัวเชดของจังหวัดสุรินทร์
วันที่ 5 : เดินทางจากสุรินทร์ไปจังหวัดสระแก้ว และเที่ยวปราสาทหินในจังหวัดสระแก้ว
วันที่ 6 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสระแก้ว (ต่อ)
วันที่ 7 : เดินทางไปเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา และเที่ยวปราสาทหินในเมืองเสียมเรียบ
วันที่ 8 : เที่ยวปราสาทหินกลุ่มหริหราลัย และปราสาทหินรายทางระหว่างทางจากเสียมเรียบไปกำปงธม
วันที่ 9 : เที่ยวกลุ่มปราสาทสมโบร์ไพรกุกที่เมืองกำปงธม
วันที่ 10 : เดินทางไปเมืองพระตะบอง และเที่ยวปราสาทหินในเมืองพระตะบอง
วันที่ 11 : เที่ยวปราสาทหินและสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองพระตะบอง
วันที่ 12 : เที่ยวกลุ่มปราสาทหินบันทายฉมาร์ที่เมืองบันเตียเมียนเจย
วันที่ 13 : เที่ยวเก็บตกในเมืองพระตะบอง และเดินทางกลับบ้าน
วันที่ 1 : เดินทางจากกรุงเทพฯ – บุรีรัมย์ เที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตอำเภอเมืองบุรีรัมย์
รอบนี้เดินทางจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรไปลงที่จังหวัดบุรีรัมย์ก่อนด้วยการนั่งเครื่องบินไปลงที่นั่น ใช้เวลาเพียง 45 นาทีแป๊บเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว
ออกมาหน้าอาคารผู้โดยสารขาเข้าก็จะเจอกับเคาร์เตอร์รถตู้บริการเข้าเมืองบุรีรัมย์ กับไปจังหวัดสุรินทร์ของบริษัทนครโคราช ราคาค่าตั๋วก็คนละ 200 บาท ผมว่าแพงไปหน่อยนะครับเพราะระยะทางประมาณ 40 กว่า ก.ม. เอง นั่งรถประมาณ 45 นาทีก็ถึงตัวเมืองบุรีรัมย์แล้ว เราสามารถให้รถจอดที่จุดไหนในย่านตัวเมืองก็ได้นะครับ เค้าบริการส่งถึงที่
ส่วนผมลงที่ บขส. เพราะต้องการไปสำรวจดูรถที่จะวิ่งไปตลาดโรงเกลือว่ามีไหม และมีรอบเวลากี่โมงบ้าง พร้อมได้ติดต่อให้ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์นำรถที่เช่ามาส่งให้ผมที่นี่
หลังจากทำเรื่องเช่ารถเสร็จสรรพก็ถึงเวลาโบยบินแล้วครับ ขี่รถออกมานอกเมืองผ่านวงเวียนอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมุ่งตรงไปทางตอนใต้ของบุรีรัมย์ครับ
เป้าหมายแรกไปชม ภูเขาไฟกระโดง สักหน่อย ไหน ๆ ก็เป็นทางผ่านจะไปนอนแถว ๆ ใกล้ปราสาทหินพนมรุ้งอยู่แล้ว โดยภูเขาไฟกระโดงอยู่ห่างจากตัวเมืองบุรีรัมย์แค่ 6 ก.ม. เท่านั้น ขี่รถแป๊บ ๆ ชมวิวไปเรื่อยก็ถึงแล้ว
การชมภูเขาไฟกระโดงสามารถทำได้ 2 ทาง คือ ทางแรกเดินขึ้นบันไดที่เห็นภาพนั่นแหละครับ 297 ขั้น เหมาะสำหรับคนชอบออกกำลังขา มีใจฮึดสู้
ส่วนผมเลือกทางที่ 2 ครับ ทางที่ 2 ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจะขับรถยนต์ก็ได้สามารถขี่ขึ้นเขาได้เลย ระยะทางแค่ 2 ก.ม. ด้านบนมีลานจอดรถเพียงพอไม่ต้องกลัวเรื่องที่จอดรถ
สำหรับจุดแวะชมบนภูเขาไฟกระโดงจะมี 2 จุด โดยจุดแรกเป็นจุดแวะชมปากปล่องภูเขาไฟ สังเกตจุดนี้ได้ง่ายเพราะจะมีนักท่องเที่ยวจอดรถแวะชมกันเยอะ บริเวณนี้จะมีสะพานแขวนที่สร้างปากปล่องภูเขาไฟให้เราเดินชมวิวเล่นสนุก ๆ และมีทางเดินเลียบปากปล่องให้เราเดินเล่นท่ามกลางความร่มรื่นของหมู่แมกไม้
ตามประวัติบอกว่า ภูเขาไฟกระโดงเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วหลาย ๆ ลูกของพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยภูเขาไฟลูกนี้มีสัณฐานคล้ายโล่ เกิดขึ้นราว 3 – 9 แสนปีที่แล้ว หลักฐานที่บ่งชี้แน่ชัดก็คือ หินบะซอลต์ที่เกิดจากการเย็นตัวของลาวาภูเขาไฟในครั้งอดีตที่พบเป็นจำนวนมากบนยอดภูเขาแห่งนี้
จุดที่ 2 ขี่รถเลยจากจุดแรกไปจนสุดทางที่ยอดเขา จะเห็นพระพุทธรูประทับนั่งองค์ใหญ่สีทองตั้งเด่นสง่าอยู่บนยอดเขา ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดชมวิวที่มองลงมาจะเห็นวิวตัวเมืองบุรีรัมย์ได้ชัดเจน
พระพุทธรูปองค์ใหญ่สีทองนี้มีชื่อว่า “พระสุภัทรบพิตร” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหันหน้าออกไปยังตัวเมืองบุรีรัมย์
นอกจากนี้บริเวณยอดเขายังพบซากโบราณสถานขอม โดยปรากฏหินทรายที่สร้างเป็นปราสาทหินขนาดเล็กอยู่บนยอดเขา ปัจจุบันสภาพของปราสาทพังทลายลงเหลือเพียงกองหินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยชาวบ้านเรียกว่า “กู่เขากระโดง”
เสร็จจากการเที่ยวชมภูเขาไฟกระโดงแล้ว ผมก็ขี่รถต่อไปชมสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่อยู่ใกล้ ๆ กัน นั่นก็คือ วัดป่าเขาน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปราว 3 ก.ม. เพราะเป็นทางที่ต้องผ่านไปยังที่พักคืนนี้อยู่แล้ว เลยถือโอกาสแวะสักหน่อย
วัดป่าเขาน้อยโดดเด่นของเจติยวิหารขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นตามรูปแบบปราสาทประธานของปราสาทเขาพนมรุ้ง ตัวเจติยวิหารทาสีชมพู เจดีย์องค์นี้มีชื่อว่า “เจดีย์ศรีสุวจคุณานุสรณ์” มีลานรอบตัวเจติยวิหารที่สามารถเดินได้รอบ
ตามประวัติบอกว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พัฒนาขึ้นจากความมุ่งหมายของพระโพธิธรรมจารย์เถระ (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ) อดีตเจ้าอาวาส เป็นวัดที่มีบรรยากาศเงียบสงบแม้อยู่ใกล้ตัวเมือง เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นใครเข้าไปเที่ยวชมวัดนี้ก็ต้องสำรวมมารยาทไม่ส่งเสียงดังด้วยนะครับ
ภายในเจดีย์สามารถเข้าไปได้จัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ ของพระโพธิธรรมจารย์เถระและอัฐิธาตุของท่าน รวมทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ได้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล การมาชมวัดแห่งนี้ก็ใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็น่าจะเพียงพอนะครับเพราะจุดหลัก ๆ ที่ควรมาชมก็คือ เจติยวิหารองค์นี้ของวัด
ต่อมาผมขี่รถไปยังที่พักคืนนี้ วันนี้จองที่พักไว้ที่ ดอนงามรีสอร์ท ที่พักเรียบง่ายราคาสบายกระเป๋าคืนละ 400 บาท ที่พักสังเกตได้ง่ายอยู่ริมถนนทางโค้งฝั่งซ้ายเลยถ้าเราขี่รถจากตัวเมืองไปยังปราสาทเขาพนมรุ้งนะ ที่นี่ไม่มีบริการอาหารเช้านะ ส่วนอาหารการกินนั้นเราสามารถขี่รถไปแถววัดอัมภารามที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปราว 2 ก.ม. ได้จะมี 7 -11 และร้านขายอาหารหลายร้าน วันที่ผมไปบริเวณวัดก็มีตลาดนัดให้เราเลือกซื้อของได้ด้วย