ฟ้ามืดไร้ดาวประดับ ท่ามกลางแสงจันทราสาดส่องสู่ผืนธรณี ใครคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีบางสิ่งที่หมายพรากชีวิต จิตใจปั่นป่วนด้วยความหวาดกลัว สับสนเจือปนสิ้นหวัง เสียงสวบสาบของใบไม้แห้งเป็นตัวนำทางให้มันรับรู้จุดหมายที่ลอบเร้น
เขาซ่อนกายหลังต้นสนใหญ่ภายในป่าที่เต็มไปด้วยความลี้ลับ ขยับตัวแทบไม่ได้เพราะกลัวสิ่งที่ไล่ตามมาจะค้นหาจนเจอ เสียงลมพัดไหวของกิ่งไม้คล้ายเสียงกรีดร้องของปีศาจจากขุมนรก แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับเสียงกรีดร้องของสัมภเวสีที่หลอนโสตประสาทได้ทวีคูณยิ่งกว่า เขาต้องการหลุดพ้นจากมัน ปิศาจร้ายที่ตามรังควานทุกวิถีทางให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มันต้องการ
เช้าวันศุกร์อันแสนสดใสแต่ดูหดหู่ในเวลาเดียวกัน เขาปาดพราวเหงื่อที่หน้าผากทิ้งไปคล้ายกับรู้ดีว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ดวงตาสีถ่านกลิ้งกลอกตรวจสอบภยันตรายดั่งมรสุมฤดูฝนที่ใกล้ซัดโถมเข้ามา
ปรเมษฐ์นั่งอยู่บนเบาะฝั่งคนขับในรถยนต์ส่วนบุคคลคอยสังเกตความเคลื่อนไหวผ่านกระจกหน้ารถขณะที่มือกำชับพวงมาลัยแน่นไม่ต่างจากเท้าที่เหยียบเบรกจนมิด
เขาติดไฟแดงอยู่กลางสี่แยกรัชดาท่ามกลางรถราสัญจรไปมาคับคั่ง ปรเมษฐ์ยื่นมือไปหยิบวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนเบาะฝั่งคนนั่งซึ่งในตอนแรกเขาไม่เต็มใจนำมันขึ้นรถมาด้วยเท่าไหร่นัก แต่ผลสุดท้ายกลับต้องนำมันไว้ข้างกายเพื่อความสบายใจ เพราะหากสิ่งที่มันทำนายเป็นจริงขึ้นมาเขาคงต้องตกเป็นทาสรับใช้ของมันตราบนานเท่านาน
ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาหนที่สิบภายในหนึ่งนาทีที่ผ่านมา เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนใบหน้าเท่ากับจำนวนเข็มวินาทีที่เดินอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดความรู้สึกอึดอัดแผ่ซ่านครอบงำจิตใจก่อเกิดเป็นความวิตกกังวล แววตาจ้องเขม็งมองรถแต่ละคันโฉบผ่านไปมาคันแล้วคันเล่าที่ถูกปล่อยตามสัญญาณไฟเขียว ทั้งรถมอเตอร์ไซต์และรถยนต์ต่างขับขี่โดยคำนึงถึงความเร็วเป็นหลัก เพราะกรุงเทพฯขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ต้องทำเวลา ช้าเพียงเสี้ยวนาทีรถอาจติดเป็นชั่วโมง
8 นาฬิกา 17 นาทีสัญญาณไฟแดงฝั่งของปรเมษฐ์นับถอยหลัง เมื่อไฟเขียวปรากฏ เมษซึ่งจอดเป็นคันแรกขับนำหน้าออกไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ารถบรรทุกสิบล้อได้พุ่งเข้ามาที่ด้านข้างฝั่งคนขับในระยะกระชั้นชิด ประสาทสัมผัสของเขาช้าเกินไปจนไม่สามารถหักหลบได้ทัน โดนชนเข้ากลางลำจนรถพลิกหลายตลบ เศษกระจกแตกกระจายเป็นเสี่ยงบาดและฝังลึกเข้าผิวหนังของชายหนุ่มเต็มหลังแขนและใบหน้า ไหปลาร้าและกระดูกซี่โครงข้างขวาหักทิ่มทะลุท้องยื่นออกมารับลม แขนบิดงอผิดรูป ผลของการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยส่งผลให้ร่างของผู้โชคร้ายทะลุกระจกฝั่งซ้ายไถลครูดพื้นไปชนฟุตบาตฝั่งตรงข้าม คอหัก เสียชีวิตคาที่
ปรเมษฐ์สะบัดหัวพยายามควบคุมสติ เขายังนั่งอยู่บนเบาะฝั่งคนขับเช่นเดิม นิมิตเมื่อสักครู่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ภาพของความทุกข์ทรมานและความตายช่างน่ากลัวกว่าที่คิด หายนะที่จะพรากชีวิตของเขาไปอยู่ในสถานที่ซึ่งพระเจ้าผู้ทรงเมตตาและโหดร้ายก็ไม่อาจเอื้อมถึงนั่นเป็นเพราะสิ่งที่เขานำติดตัวมาด้วยได้ทำนายวันตายของชายหนุ่มเอาไว้แล้ว
เขาจะต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนประสานงานในเวลา 8 นาฬิกา 17 นาทีของวันนี้
สัญญาณไฟแดงฝั่งของปรเมษฐ์นับถอยหลัง เมื่อไฟเขียวปรากฏ เขาเหยียบเบรกจมเท้าเพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอทะเล่อทะล่าเหยียบคันเร่งออกไปกลางสี่แยก เขาจะลองเชื่อคำทำนายบ้าบอของมันดูสักครั้ง แต่ถ้าหากเกิดขึ้นจริงนี่จะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุดในชีวิตที่เขาเคยพานพบ
“เร็วสิวะ”ปรเมษฐ์รบเร้าท่ามกลางเสียงแตรรถไล่หลังจนรถตู้คันที่ต่อท้ายชายหนุ่มอดใจรอไม่ไหวเบี่ยงซ้ายเล็กน้อยแล้วขับนำหน้าขึ้นไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ารถบรรทุกสิบล้อได้พุ่งเข้ามาที่ด้านข้างฝั่งคนขับในระยะกระชั้นชิด รถตู้คันนั้นหักหลบไม่ทัน โดนชนเข้ากลางลำจนรถพลิกหลายตลบ
ชายหนุ่มตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแทบเสียสติ เนื้อกายสั่นสะท้าน ระบบประสาทเย็นยะเยือก ความรู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกไปจนอวัยวะภายในกลวงโบ๋ ด้านชาจนไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ เพราะหากเขาไม่เชื่อคำทำนายของมัน ป่านนี้คงกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องตายสยองแทนที่รถคันหน้าไปแล้ว เมื่อหันกลับไปตรวจสอบวัตถุบนเบาะฝั่งคนนั่ง คล้ายกับว่าเสี้ยววินาทีนั้นมันฉีกยิ้มให้ปรเมษฐ์ด้วยความพึงพอใจ
หนึ่งวันก่อนเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
หากพูดถึงชีวิตแสนหฤหรรษ์ คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของปรเมษฐ์เป็นแน่ เพราะเขาขึ้นชื่อได้ว่าเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันกลับโชคร้ายที่สุดอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกัน เริ่มแรกเขาเคยมีชีวิตสุดแสนธรรมดาเฉกเช่นผู้อื่น ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนหลายครั้งเพื่อนร่วมงานก็ลืมถึงการมีตัวตนของเขาไปเสียสนิท
นอกเหนือจาก
ปราง ผู้หญิงที่เขาแอบชอบและเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เขามี ชายหนุ่มก็ถูกหลงลืมจากคนรอบข้างอยู่เสมอจนรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คนเดียวท่ามกลางความเปลี่ยวร้าง คล้ายเป็นเพียงจุลีนทรีย์เล็กๆที่มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมที่หลากหลายในทุกสภาพแวดล้อม เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างเป็นปกติสุข
จวบกระทั่งเมษได้พบเข้ากับหน้ากากโบราณที่แผงขายของเก่าริมถนนก่อนถึงบ้านตัวเองไม่กี่ร้อยเมตร มันถูกจัดวางให้เลือกสรรคละเคล้ากันไปบนพื้นที่ปูด้วยเสื่อน้ำมัน แต่ท่ามกลางผู้คนสัญจรไปมามากมายบริเวณตลาดนัดขายของเก่าช่วงหัวค่ำนั้นกลับไม่มีใครมีท่าทีว่าจะหยุดชมสินค้าที่แผงลอยแห่งนี้แม้แต่คนเดียว อาจเป็นเพราะสินค้าที่วางโชว์ไม่งดงามพอดึงดูดใจใครให้หยุดเชยชมได้ เพราะแต่ละชิ้นเต็มไปด้วยความแปลกพิสดารชวนขนพองสยองกล้าเสียมากกว่า
โดยเฉพาะหน้ากากวิจิตรพิสดารที่ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นเป็นต้องเบือนหน้าหนี ด้วยลักษณะแตกต่างไปจากหน้ากากแฟนซีทั่วไปตามท้องตลาด คล้ายกับเป็นวัตถุที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชนเผ่าใดเผ่าหนึ่งแถบแอฟริกัน วัสดุทำจากไม้กะลาแกะสลักเป็นรูปใบหน้ามนุษย์ ประดับเปลือกหอยรอบคิ้ว ดวงตา และซี่ฟัน
โดยเจาะช่องตา จมูก ปาก และใบหูหากมองผิวเผินมันอาจเป็นหน้ากากประหลาดใบหนึ่งที่ดูไม่มีพิษสงค์ร้ายใดๆ ค่อนข้างมีความขบขันปะปนอยู่ด้วยซ้ำจากรอยยิ้มธรรมดาที่แฝงนัยยะบางอย่างบนใบหน้าของมัน ทว่ายิ่งมองกลับรู้สึกนิ่งเยือกราวกับมีอำนาจลึกลับบางอย่างสิงสถิตอยู่ภายใน ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินผ่านไม่กล้าหยุดมองมายังวัตถุโบราณที่ชวนขนหัวลุกชิ้นนี้เลยสักคน
แต่ไม่ใช่กับปรเมษฐ์ผู้ซึ่งชื่นชอบในการสะสมของแปลกประหลาดและคลั่งไคล้ไสยศาสตร์เป็นต้นทุน ช่วงวินาทีแรกที่เขาเห็น หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ร้องเรียกอยากจะครอบครองไปประดับผนังบ้านให้จงได้ และด้วยแรงเสน่หาอันโดดเด่นเป็นสง่า จึงทำให้ชายหนุ่มเร่งสอบถามถึงราคาของมัน
“อยากได้เหรอพ่อหนุ่ม” เสียงแหบพร่าเอ่ยผ่านใบหน้าเกรียมแดด แววตาไร้ชีวิตจดจ้องปรเมษฐ์ไม่หลบเลี่ยง เพียงต้องการคำตอบจากปากของผู้ที่ต้องการครอบครองมันด้วยใจจริง
“ครับลุง”เขาสารภาพ
“หน้ากากชิ้นนั้นไม่ต้องจ่ายด้วยเงินหรอก ลุงให้ฟรี” ชายสูงอายุเร่งเร้าราวกับต้องการเขี่ยมันทิ้งไปจากชีวิต หรือไม่ก็ต้องการหาผู้สืบทอดรับช่วงต่อ ความโศกาอาดูรเผยขึ้นให้เห็นบนใบหน้าเมื่อพบว่ามีคนนิยมชมชอบมันถึงเพียงนี้
“อ้าว ทำไมล่ะลุง” ชายหนุ่มฉงนใจ รออีกฝ่ายไขปริศนา
“ลุงบังเอิญเจอมันตกอยู่ข้างถนนเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แรกๆลุงก็ชอบมันหรอกนะ ดูลึกลับซับซ้อน แต่พักหลังลุงชักจะเบื่อมันซะแล้วสิ ตอนนี้ก็เจอคนที่เหมาะสมกับมันพอดี อยากจะรับไว้มั้ยล่ะพ่อหนุ่ม” ชายวัยกลางคนพูดขณะม้วนหนวดให้เป็นเกลียว เขายื่นข้อเสนอแก่ปรเมษฐ์โดยรู้ล่วงหน้าว่าชายหนุ่มจะรับไว้โดยไม่มีทางปฏิเสธ แววตาอีกฝ่ายเปล่งประกายเป็นคำตอบ
คำว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีคงต้องจบสิ้นลงเสียแล้วตั้งแต่วันนี้
“รับครับลุง” เขาไหว้ขอบคุณอยู่พักใหญ่ สำหรับคนอื่นแล้วมันอาจเป็นเพียงของกะโหลกกะลาไร้สาระ แต่สำหรับปรเมษฐ์มันมีคุณค่าทางใจอย่างหาสิ่งใดเปรียบได้ รสนิยมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปรเมษฐ์ไม่ใช่คนบ้า เขาเพียงแค่ชอบในสิ่งที่หลายๆคนไม่พึงปรารถนาเท่านั้นเอง
เมื่อปรเมษฐ์เดินจากไปพร้อมกับหน้ากากชวนขนพองใบนั้นจนลับตา ลุงวัยชราก็พับเสื่อน้ำมันเก็บข้าวของคล้ายกับว่าเขาได้ทำในสิ่งที่ตนคาดหวังเอาไว้จนสำเร็จ รอยยิ้มเลศนัยเผยขึ้นมุมปากเป็นเชิงบ่งบอกถึงความรื่นรมย์ ก่อนเดินลับหายเข้าไปในความมืดทะมึนนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาดังเล็ดลอดผ่านสายลมออกมาให้ได้ยิน
“มันไม่ได้จ่ายด้วยเงินก็จริง แต่มันจ่ายด้วยชีวิตของแกต่างหากล่ะ”
ปรเมษฐ์กลับมานั่งทบทวนรูปพรรณของมันที่บ้าน ในห้องรับแขกที่เต็มไปด้วยกองข้าวของพะเนินรวมกันเป็นหย่อมๆ หยากไย่เกรอะกรังบ่งบอกถึงความมักง่ายของผู้อยู่อาศัยมีของโบราณนับชิ้นไม่ถ้วนประดับประดาอยู่บนผนังบ้านและตั้งโชว์อยู่บนชั้นหนังสือที่จับไปด้วยฝุ่นหนา คล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมและเป็นศูนย์รวมของความชั่วร้ายในคราวเดียวกัน
อาจเป็นเพราะปรเมษฐ์อยู่ในสถานที่แห่งนี้เพียงคนเดียวจึงไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกและสายตาของใครทั้งสิ้น เพราะหากตัวเองอยากเจอบุพการีก็แค่ขับรถกลับบ้านเกิดที่เพชรบุรีซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ญาติสนิทมิตรสหายที่รู้จักก็ไม่มีใครเคยแวะเวียนมาหาชายหนุ่มอยู่แล้วเป็นต้นทุน นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมปรเมษฐ์จึงหันมาคลั่งไคล้ในศาสตร์คุณไสยมนต์ดำ
ด้วยความที่ไม่มีเพื่อน งานอดิเรกที่จะทำร่วมกับใครจึงไม่มีเช่นกัน นอกเหนือจากเกมคอนโซลที่เล่นฆ่าเวลา หนังที่ดูเพื่อผ่อนคลายในยามหดหู่ หนังสือนิยายที่หยิบมาอ่านในยามเบื่อหน่าย ก็มีไสยศาสตร์อีกอย่างที่เขารักเข้ากระดูกดำ พยายามสืบค้นข้อมูลต่างๆตามห้องสมุดประชาชนและอินเตอร์เน็ตเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในศาสตร์หลายแขนงทั้ง ไสยขาว และ ไสยดำ จนแทรกซึมฝังรากลึกลงไปในจิตวิญญาณของตัวเอง
“แกมาจากไหนกันนะ”เมษฐ์ยิ้มขณะมือลูบไล้หน้ากาก พลิกดูไปมาตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนหันไปมองฝาผนังห้องในมุมต่างๆเพื่อเลือกจุดที่จะแขวนมันเอาไว้ประดับบ้าน
ท้ายที่สุดก็หยุดความคิดนั้นแล้วหันมาเปิดโน๊ตบุ๊คที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เข้าเว็บไซต์ Google แล้วพิมพ์ลักษณะของหน้ากากแปลกประหลาดที่เขาถืออยู่ในมือลงไปในช่องค้นหา อึดใจเดียวก็ปรากฏคำตอบออกมาในรูปแบบต่างๆขึ้นโชว์หราให้เลือกหามากมาย ทั้งหน้ากากที่เป็นสัญลักษณ์ของความตาย หน้ากากของชนเผ่ามายา ชนเผ่าอินเดียนแดง หน้ากากที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้า หน้ากากสวมประดับใบหน้าศพ ฯลฯ
หลังจากที่เมษเลื่อนหาได้สักพักก็เจอหน้ากากที่มีรูปพรรณเหมือนอันที่ตัวเองถืออยู่ในมือ เขาขยายรูปใหญ่ขึ้นเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดให้ถูกต้องตรงกัน “ต้องใช่แน่ๆ ทีนี้จะได้รู้สักทีว่าแกมาจากไหน”
เขากดคลิ๊กเข้าไปอ่านประวัติของหน้ากากใบนี้ด้วยความอยากรู้อันเป็นนิสัย มีเรื่องเล่าและวิธีการใช้เขียนเป็นบทความขนาดสั้นพอให้ชายหนุ่มจับใจความได้ว่า
วูดู (เรื่องสั้นลึกลับ/ระทึกขวัญ)
เขาซ่อนกายหลังต้นสนใหญ่ภายในป่าที่เต็มไปด้วยความลี้ลับ ขยับตัวแทบไม่ได้เพราะกลัวสิ่งที่ไล่ตามมาจะค้นหาจนเจอ เสียงลมพัดไหวของกิ่งไม้คล้ายเสียงกรีดร้องของปีศาจจากขุมนรก แต่ก็ยังไม่เทียบเท่ากับเสียงกรีดร้องของสัมภเวสีที่หลอนโสตประสาทได้ทวีคูณยิ่งกว่า เขาต้องการหลุดพ้นจากมัน ปิศาจร้ายที่ตามรังควานทุกวิถีทางให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มันต้องการ
เช้าวันศุกร์อันแสนสดใสแต่ดูหดหู่ในเวลาเดียวกัน เขาปาดพราวเหงื่อที่หน้าผากทิ้งไปคล้ายกับรู้ดีว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ดวงตาสีถ่านกลิ้งกลอกตรวจสอบภยันตรายดั่งมรสุมฤดูฝนที่ใกล้ซัดโถมเข้ามาปรเมษฐ์นั่งอยู่บนเบาะฝั่งคนขับในรถยนต์ส่วนบุคคลคอยสังเกตความเคลื่อนไหวผ่านกระจกหน้ารถขณะที่มือกำชับพวงมาลัยแน่นไม่ต่างจากเท้าที่เหยียบเบรกจนมิด
เขาติดไฟแดงอยู่กลางสี่แยกรัชดาท่ามกลางรถราสัญจรไปมาคับคั่ง ปรเมษฐ์ยื่นมือไปหยิบวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนเบาะฝั่งคนนั่งซึ่งในตอนแรกเขาไม่เต็มใจนำมันขึ้นรถมาด้วยเท่าไหร่นัก แต่ผลสุดท้ายกลับต้องนำมันไว้ข้างกายเพื่อความสบายใจ เพราะหากสิ่งที่มันทำนายเป็นจริงขึ้นมาเขาคงต้องตกเป็นทาสรับใช้ของมันตราบนานเท่านาน
ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาหนที่สิบภายในหนึ่งนาทีที่ผ่านมา เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนใบหน้าเท่ากับจำนวนเข็มวินาทีที่เดินอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดความรู้สึกอึดอัดแผ่ซ่านครอบงำจิตใจก่อเกิดเป็นความวิตกกังวล แววตาจ้องเขม็งมองรถแต่ละคันโฉบผ่านไปมาคันแล้วคันเล่าที่ถูกปล่อยตามสัญญาณไฟเขียว ทั้งรถมอเตอร์ไซต์และรถยนต์ต่างขับขี่โดยคำนึงถึงความเร็วเป็นหลัก เพราะกรุงเทพฯขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ต้องทำเวลา ช้าเพียงเสี้ยวนาทีรถอาจติดเป็นชั่วโมง
8 นาฬิกา 17 นาทีสัญญาณไฟแดงฝั่งของปรเมษฐ์นับถอยหลัง เมื่อไฟเขียวปรากฏ เมษซึ่งจอดเป็นคันแรกขับนำหน้าออกไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ารถบรรทุกสิบล้อได้พุ่งเข้ามาที่ด้านข้างฝั่งคนขับในระยะกระชั้นชิด ประสาทสัมผัสของเขาช้าเกินไปจนไม่สามารถหักหลบได้ทัน โดนชนเข้ากลางลำจนรถพลิกหลายตลบ เศษกระจกแตกกระจายเป็นเสี่ยงบาดและฝังลึกเข้าผิวหนังของชายหนุ่มเต็มหลังแขนและใบหน้า ไหปลาร้าและกระดูกซี่โครงข้างขวาหักทิ่มทะลุท้องยื่นออกมารับลม แขนบิดงอผิดรูป ผลของการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยส่งผลให้ร่างของผู้โชคร้ายทะลุกระจกฝั่งซ้ายไถลครูดพื้นไปชนฟุตบาตฝั่งตรงข้าม คอหัก เสียชีวิตคาที่
ปรเมษฐ์สะบัดหัวพยายามควบคุมสติ เขายังนั่งอยู่บนเบาะฝั่งคนขับเช่นเดิม นิมิตเมื่อสักครู่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ภาพของความทุกข์ทรมานและความตายช่างน่ากลัวกว่าที่คิด หายนะที่จะพรากชีวิตของเขาไปอยู่ในสถานที่ซึ่งพระเจ้าผู้ทรงเมตตาและโหดร้ายก็ไม่อาจเอื้อมถึงนั่นเป็นเพราะสิ่งที่เขานำติดตัวมาด้วยได้ทำนายวันตายของชายหนุ่มเอาไว้แล้ว
เขาจะต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนประสานงานในเวลา 8 นาฬิกา 17 นาทีของวันนี้
สัญญาณไฟแดงฝั่งของปรเมษฐ์นับถอยหลัง เมื่อไฟเขียวปรากฏ เขาเหยียบเบรกจมเท้าเพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอทะเล่อทะล่าเหยียบคันเร่งออกไปกลางสี่แยก เขาจะลองเชื่อคำทำนายบ้าบอของมันดูสักครั้ง แต่ถ้าหากเกิดขึ้นจริงนี่จะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุดในชีวิตที่เขาเคยพานพบ
“เร็วสิวะ”ปรเมษฐ์รบเร้าท่ามกลางเสียงแตรรถไล่หลังจนรถตู้คันที่ต่อท้ายชายหนุ่มอดใจรอไม่ไหวเบี่ยงซ้ายเล็กน้อยแล้วขับนำหน้าขึ้นไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ารถบรรทุกสิบล้อได้พุ่งเข้ามาที่ด้านข้างฝั่งคนขับในระยะกระชั้นชิด รถตู้คันนั้นหักหลบไม่ทัน โดนชนเข้ากลางลำจนรถพลิกหลายตลบ
ชายหนุ่มตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแทบเสียสติ เนื้อกายสั่นสะท้าน ระบบประสาทเย็นยะเยือก ความรู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกไปจนอวัยวะภายในกลวงโบ๋ ด้านชาจนไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ เพราะหากเขาไม่เชื่อคำทำนายของมัน ป่านนี้คงกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องตายสยองแทนที่รถคันหน้าไปแล้ว เมื่อหันกลับไปตรวจสอบวัตถุบนเบาะฝั่งคนนั่ง คล้ายกับว่าเสี้ยววินาทีนั้นมันฉีกยิ้มให้ปรเมษฐ์ด้วยความพึงพอใจ
หนึ่งวันก่อนเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
หากพูดถึงชีวิตแสนหฤหรรษ์ คงหนีไม่พ้นเรื่องราวของปรเมษฐ์เป็นแน่ เพราะเขาขึ้นชื่อได้ว่าเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันกลับโชคร้ายที่สุดอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกัน เริ่มแรกเขาเคยมีชีวิตสุดแสนธรรมดาเฉกเช่นผู้อื่น ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนหลายครั้งเพื่อนร่วมงานก็ลืมถึงการมีตัวตนของเขาไปเสียสนิท
นอกเหนือจาก ปราง ผู้หญิงที่เขาแอบชอบและเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เขามี ชายหนุ่มก็ถูกหลงลืมจากคนรอบข้างอยู่เสมอจนรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คนเดียวท่ามกลางความเปลี่ยวร้าง คล้ายเป็นเพียงจุลีนทรีย์เล็กๆที่มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมที่หลากหลายในทุกสภาพแวดล้อม เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างเป็นปกติสุข
จวบกระทั่งเมษได้พบเข้ากับหน้ากากโบราณที่แผงขายของเก่าริมถนนก่อนถึงบ้านตัวเองไม่กี่ร้อยเมตร มันถูกจัดวางให้เลือกสรรคละเคล้ากันไปบนพื้นที่ปูด้วยเสื่อน้ำมัน แต่ท่ามกลางผู้คนสัญจรไปมามากมายบริเวณตลาดนัดขายของเก่าช่วงหัวค่ำนั้นกลับไม่มีใครมีท่าทีว่าจะหยุดชมสินค้าที่แผงลอยแห่งนี้แม้แต่คนเดียว อาจเป็นเพราะสินค้าที่วางโชว์ไม่งดงามพอดึงดูดใจใครให้หยุดเชยชมได้ เพราะแต่ละชิ้นเต็มไปด้วยความแปลกพิสดารชวนขนพองสยองกล้าเสียมากกว่า
โดยเฉพาะหน้ากากวิจิตรพิสดารที่ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นเป็นต้องเบือนหน้าหนี ด้วยลักษณะแตกต่างไปจากหน้ากากแฟนซีทั่วไปตามท้องตลาด คล้ายกับเป็นวัตถุที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชนเผ่าใดเผ่าหนึ่งแถบแอฟริกัน วัสดุทำจากไม้กะลาแกะสลักเป็นรูปใบหน้ามนุษย์ ประดับเปลือกหอยรอบคิ้ว ดวงตา และซี่ฟัน
โดยเจาะช่องตา จมูก ปาก และใบหูหากมองผิวเผินมันอาจเป็นหน้ากากประหลาดใบหนึ่งที่ดูไม่มีพิษสงค์ร้ายใดๆ ค่อนข้างมีความขบขันปะปนอยู่ด้วยซ้ำจากรอยยิ้มธรรมดาที่แฝงนัยยะบางอย่างบนใบหน้าของมัน ทว่ายิ่งมองกลับรู้สึกนิ่งเยือกราวกับมีอำนาจลึกลับบางอย่างสิงสถิตอยู่ภายใน ทำให้ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินผ่านไม่กล้าหยุดมองมายังวัตถุโบราณที่ชวนขนหัวลุกชิ้นนี้เลยสักคน
แต่ไม่ใช่กับปรเมษฐ์ผู้ซึ่งชื่นชอบในการสะสมของแปลกประหลาดและคลั่งไคล้ไสยศาสตร์เป็นต้นทุน ช่วงวินาทีแรกที่เขาเห็น หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ร้องเรียกอยากจะครอบครองไปประดับผนังบ้านให้จงได้ และด้วยแรงเสน่หาอันโดดเด่นเป็นสง่า จึงทำให้ชายหนุ่มเร่งสอบถามถึงราคาของมัน
“อยากได้เหรอพ่อหนุ่ม” เสียงแหบพร่าเอ่ยผ่านใบหน้าเกรียมแดด แววตาไร้ชีวิตจดจ้องปรเมษฐ์ไม่หลบเลี่ยง เพียงต้องการคำตอบจากปากของผู้ที่ต้องการครอบครองมันด้วยใจจริง
“ครับลุง”เขาสารภาพ
“หน้ากากชิ้นนั้นไม่ต้องจ่ายด้วยเงินหรอก ลุงให้ฟรี” ชายสูงอายุเร่งเร้าราวกับต้องการเขี่ยมันทิ้งไปจากชีวิต หรือไม่ก็ต้องการหาผู้สืบทอดรับช่วงต่อ ความโศกาอาดูรเผยขึ้นให้เห็นบนใบหน้าเมื่อพบว่ามีคนนิยมชมชอบมันถึงเพียงนี้
“อ้าว ทำไมล่ะลุง” ชายหนุ่มฉงนใจ รออีกฝ่ายไขปริศนา
“ลุงบังเอิญเจอมันตกอยู่ข้างถนนเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แรกๆลุงก็ชอบมันหรอกนะ ดูลึกลับซับซ้อน แต่พักหลังลุงชักจะเบื่อมันซะแล้วสิ ตอนนี้ก็เจอคนที่เหมาะสมกับมันพอดี อยากจะรับไว้มั้ยล่ะพ่อหนุ่ม” ชายวัยกลางคนพูดขณะม้วนหนวดให้เป็นเกลียว เขายื่นข้อเสนอแก่ปรเมษฐ์โดยรู้ล่วงหน้าว่าชายหนุ่มจะรับไว้โดยไม่มีทางปฏิเสธ แววตาอีกฝ่ายเปล่งประกายเป็นคำตอบ
คำว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีคงต้องจบสิ้นลงเสียแล้วตั้งแต่วันนี้
“รับครับลุง” เขาไหว้ขอบคุณอยู่พักใหญ่ สำหรับคนอื่นแล้วมันอาจเป็นเพียงของกะโหลกกะลาไร้สาระ แต่สำหรับปรเมษฐ์มันมีคุณค่าทางใจอย่างหาสิ่งใดเปรียบได้ รสนิยมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ปรเมษฐ์ไม่ใช่คนบ้า เขาเพียงแค่ชอบในสิ่งที่หลายๆคนไม่พึงปรารถนาเท่านั้นเอง
เมื่อปรเมษฐ์เดินจากไปพร้อมกับหน้ากากชวนขนพองใบนั้นจนลับตา ลุงวัยชราก็พับเสื่อน้ำมันเก็บข้าวของคล้ายกับว่าเขาได้ทำในสิ่งที่ตนคาดหวังเอาไว้จนสำเร็จ รอยยิ้มเลศนัยเผยขึ้นมุมปากเป็นเชิงบ่งบอกถึงความรื่นรมย์ ก่อนเดินลับหายเข้าไปในความมืดทะมึนนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาดังเล็ดลอดผ่านสายลมออกมาให้ได้ยิน
“มันไม่ได้จ่ายด้วยเงินก็จริง แต่มันจ่ายด้วยชีวิตของแกต่างหากล่ะ”
ปรเมษฐ์กลับมานั่งทบทวนรูปพรรณของมันที่บ้าน ในห้องรับแขกที่เต็มไปด้วยกองข้าวของพะเนินรวมกันเป็นหย่อมๆ หยากไย่เกรอะกรังบ่งบอกถึงความมักง่ายของผู้อยู่อาศัยมีของโบราณนับชิ้นไม่ถ้วนประดับประดาอยู่บนผนังบ้านและตั้งโชว์อยู่บนชั้นหนังสือที่จับไปด้วยฝุ่นหนา คล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมและเป็นศูนย์รวมของความชั่วร้ายในคราวเดียวกัน
อาจเป็นเพราะปรเมษฐ์อยู่ในสถานที่แห่งนี้เพียงคนเดียวจึงไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกและสายตาของใครทั้งสิ้น เพราะหากตัวเองอยากเจอบุพการีก็แค่ขับรถกลับบ้านเกิดที่เพชรบุรีซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ญาติสนิทมิตรสหายที่รู้จักก็ไม่มีใครเคยแวะเวียนมาหาชายหนุ่มอยู่แล้วเป็นต้นทุน นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมปรเมษฐ์จึงหันมาคลั่งไคล้ในศาสตร์คุณไสยมนต์ดำ
ด้วยความที่ไม่มีเพื่อน งานอดิเรกที่จะทำร่วมกับใครจึงไม่มีเช่นกัน นอกเหนือจากเกมคอนโซลที่เล่นฆ่าเวลา หนังที่ดูเพื่อผ่อนคลายในยามหดหู่ หนังสือนิยายที่หยิบมาอ่านในยามเบื่อหน่าย ก็มีไสยศาสตร์อีกอย่างที่เขารักเข้ากระดูกดำ พยายามสืบค้นข้อมูลต่างๆตามห้องสมุดประชาชนและอินเตอร์เน็ตเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในศาสตร์หลายแขนงทั้ง ไสยขาว และ ไสยดำ จนแทรกซึมฝังรากลึกลงไปในจิตวิญญาณของตัวเอง
“แกมาจากไหนกันนะ”เมษฐ์ยิ้มขณะมือลูบไล้หน้ากาก พลิกดูไปมาตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนหันไปมองฝาผนังห้องในมุมต่างๆเพื่อเลือกจุดที่จะแขวนมันเอาไว้ประดับบ้าน
ท้ายที่สุดก็หยุดความคิดนั้นแล้วหันมาเปิดโน๊ตบุ๊คที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เข้าเว็บไซต์ Google แล้วพิมพ์ลักษณะของหน้ากากแปลกประหลาดที่เขาถืออยู่ในมือลงไปในช่องค้นหา อึดใจเดียวก็ปรากฏคำตอบออกมาในรูปแบบต่างๆขึ้นโชว์หราให้เลือกหามากมาย ทั้งหน้ากากที่เป็นสัญลักษณ์ของความตาย หน้ากากของชนเผ่ามายา ชนเผ่าอินเดียนแดง หน้ากากที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้า หน้ากากสวมประดับใบหน้าศพ ฯลฯ
หลังจากที่เมษเลื่อนหาได้สักพักก็เจอหน้ากากที่มีรูปพรรณเหมือนอันที่ตัวเองถืออยู่ในมือ เขาขยายรูปใหญ่ขึ้นเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดให้ถูกต้องตรงกัน “ต้องใช่แน่ๆ ทีนี้จะได้รู้สักทีว่าแกมาจากไหน”
เขากดคลิ๊กเข้าไปอ่านประวัติของหน้ากากใบนี้ด้วยความอยากรู้อันเป็นนิสัย มีเรื่องเล่าและวิธีการใช้เขียนเป็นบทความขนาดสั้นพอให้ชายหนุ่มจับใจความได้ว่า