สวัสดีค่ะ สมายนะคะ กลับมาเขียนอีกครั้งหลังจากหายไปสักพักสืบเนื่องเกี่ยวกับการเรียน
หวังว่าผู้อ่านทุกท่านสบายดี มีความสุข พักผ่อนกันมากพอที่จะมีแรงกลับมาทำงานหลังจากสงกรานต์กันนะคะ 😀☺️😊
ส่วนมายยังคงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแฟชั่นที่อิตาลี เมืองฟลอเรนซ์ โรงเรียน POLIMODA
และด้วยโอกาสอันดี เพื่อนรักมาเยี่ยมถึงอิตาลี เราเลยหาสถานที่สนุกๆ แถมได้รูปสวยๆประดับอินสตาแกรมอีก จะเป็นที่ไหนไม้ได้ ก็คือ มิวเซียมค่าาาา 5555555
แต่มิวเซียมนี้ไม่ธรรมดา มายขายของมากกกก คือมายตั้งใจเขียนเพราะรู้สึกว่า มิวเซียมแบบนี้ที่เมืองไทยยังไม่มี
มันคือการถ่ายทอดเรื่องราวผลงานของศิลปินด้วยการใช้ แสง และ เสียงด้วยกัน
"When the art and music are immersed"
ซึ่งการแชร์ครั้งนี้ มายจะพาทุกท่านไปเจอ Vincent Van Gogh ค่าาาา
ใช่ค่ะ ไปเจอในที่นี้คือ ตามชื่อ นิทรรศการเลย
Van Gogh Alive The Experience in Florence
ซึ่งตอนนี้ นิทรรศการประเภทนี้ที่ใช้แสงเป็นตัวแทนผลงานของศิลปิน พร้อมการใช้ดนตรีประกอบให้คนเข้าถึงงานได้ง่ายขึ้นกำลังเป็นที่นิยมอยู่พอสมควร คนไปถ่ายรูปต่อคิวเยอะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ญี่ปุ่น กรุงโตเกียวด้วย Teamlab หรือ Atelier des Lumières ที่ กรุงปารีส ร่วมถึงทั้งที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีด้วยค่าาาาาา
ความพี้คที่บอกว่าไม่ธรรมดาเพราะว่า ในงานนิทรรศการนี้ ไม่มีงานศิลปะตัวจริงของศิลปินชื่อดังที่เค้าร่วมงานกันมาให้คนดูสักชิ้น!!!! 55555 ฉะนั้นสำหรับมายคนที่ชอบเสพงานอาร์ตม๊ากกมากกก แบบอยากจะดูทุกลายเส้นพู่กันของศิลปินคนนั้นคนนี้ หรือใครรัก Van Gogh มากกก นิทรรศการประเภทนี้อาจไม่ได้ทำให้ฟินตอบโจทย์มากเท่าไหร่
แต่ด้วยโลกและการเสพศิลปะของคนเปลี่ยนไป ธุรกิจศิลปะจึงจำเป็นต้องหาวิธีคิดการเล่าเรื่องของผลงานศิลปินใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ให้เยอะขึ้น ซึ่งมายก็เป็นหนึ่งในนั้นนะคะ 55555 และมายอยากจะบอกว่ามันดีมากกกก ได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเสพศิลปะนี้ยิ่งชอบบบบบ
ไม่รอช้า ขอแชร์ประสบการณ์ดีๆ เหมือนได้พาทุกท่านไปเที่ยวกับมายด้วยเลย อิอิ
สถานที่ที่ใช้ในการจัดแสดงศิลปะของ Vincent Van Gogh ในเมืองฟลอเรนซ์ คือ โบสถ์ค่ะ
นั้นนนน ไม่ธรรมดาจริงๆ ยิ่งบิ้วอารมณ์ไปอี๊กกกกกก
เมื่อเข้าไปในงานแล้ว โบสถ์ถูกเปลี่ยนให้เป็นเหมือนหน้าจอ โปรเจคเตอร์แสดงรูปงานศิลปะด้วยเทคนิคการออกแบบกราฟฟิคที่ล้ำสมัยมาก
ไม่ใช่จะมาโชว์ รูปเป็นสไลด์เหมือนแสดงพรีเซ้นพาวเวอร์พ้อยท์อะไรแบบนั้น จะทำแบบนั้นไม่ได้ๆๆๆๆๆเด็ดขาดดดดด !!!!
อ่ะ ความอลังของงานคือการใช้แสงเป็นตัวหลักในการเล่าเรื่องของภาพ พร้อมทั้งการออกแบบการเล่าเรื่องด้วยการเรียบเรียงชิ้นงานของ Van Gogh เป็น ตีม
ผลลงานหลักของเค้า The Sunflowers งานกราฟฟิคก็เน้นดอกทานตะวันท่วมโบสถ์กันไปเลยทีเดียว และยังคงแสดงผลงานรูปที่เค้าวาดพร้อมๆไปกับกราฟฟิคด้วยThe Starry Nights ก็ปังมากกกก คือรูปนี้ที่มายเข้าใจมันเกิดจากความฝันร้ายของเค้า ซึ่งก่อนที่จะเข้าไปสู่รูปภาพชุดนี้ คนออกแบบได้พาเราเข้าไปเหมือนอยู่ในจักรวลาก่อน แล้วภาพทั้งโบสถ์ก็จะดำมืดๆๆๆ มีดาววิ่งระยิบระยับเล็กน้อย และค่อยพาเราไปเจอรูปผลงานชิ้นเอกของเค้า
บางเซตคือ Portraits ที่ Van Gogh ใช้ลายเส้นที่ชัดมาก และแปลกจากคนอื่นจริงๆ คนออกแบบกราฟฟิคก็เล่าด้วยการเน้นสีเป็นหลัก คือ วาดหน้าคนมันก็เหมือนๆกัน ในที่นี้คือเน้นที่หน้า แต่หน้าคนที่สามารถบ่งบอกถึงอาชีพ การแต่งตัว หรืออารมณ์ของคนที่เป็นแบบให้วาดในสมัยนั้น ก็สามารถแบ่งเป็นเซตเป็นตีมได้
ด้วยความที่เค้าใช้ทั้งโบสถ์เป็นจอให้เราดู เราก็จะเอนจอยกับการที่เห็นว่า การใช้พื้นที่กับแสงยังไง เค้าใช้โดม ใช้หน้าต่าง หรือสถานที่ในโบสถ์ที่เอาไว้ตั้งเครื่องบูชา แต่ต้องถูกแปลงมาเป็นเหมือนกระดาษ ก็สนุกไปอีกแบบนะคะ
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ !!!! เค้ายังสร้างห้องเล็กๆขึ้นมาในโบสถ์ เพื่อเป็นห้องให้คนได้ถ่ายรูปโดยเฉพาะ !!!! คือมายเชื่อแบบนั้นนะคะ 555555
เพราะว่ามันควรจะเป็นแบบนั้นอ่าาาา คือสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับคนพร้อมตอบโจทย์ไลฟไสตล์ของคนที่เข้ามาเสพงานศิลป์ด้วย คือการถ่ายรูปปปป มีรูปสวยๆๆ ประดับไอจี เฟสบุ๊คเอิงเอยว่าไป
ตัวมายเองก็ตกใจว่าห้องเล็กๆนี้คืออะไร พอเข้าไปก็ถึงบางอ้อนี้ละคะ
มายกับเพื่อนสนุกมากกก ถ่ายรูปไม่หยุดดดดด
เอารูปมาฝากบางส่วนตามข้างบนเลยค่ะ อิอิ
มายเอาวิดีโอมาฝากนะคะ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการจินตนาการตามไปเที่ยวกับมายจริงๆ
สุดท้าย มายขออธิบาย Virtual Reality นะคะ มันคือการใช้สายตาอย่างเดียว ในโลกที่เราเห็นนั้นเป็นเหมือน สามมิติเลยค่ะ มันดีมากกกกกกกกก คืออย่างเช่นในงานนี้ มายเหมือนได้เข้าไปอยู่ในผลงานศิลปะนั้นจริงๆ อย่างเช่นรูป The Starry Nights มายเห็นรูปผลงานเหมือนมายบินอยู่บนท้องฟ้าประหนึ่งเป็นปีเตอร์แพน และเห็นทุกอย่าง สามร้อยหกสิบองศา เงยหน้า ก้มลง มองซ้ายขวาคือเป็นรูปนั้นๆที่เราอยู่ และเค้าก็จะเปลี่ยนฉากได้เนียนเหมือนเรากำลังเดินในบ้าน Van Gogh เลย คือเจ๋งมากกกกก
ที่มาอธิบาย เพราะอยากเชียร์ให้ทุกคนอดทนยืนต่อคิว แล้วแต่สถานที่และช่วงเวลาที่ไป เพราะมายว่ามันคุ้มากกกก มากกก มากกกกก
งานนี้ไม่มีเสียงประกอบแต่ความ สามร้อยหกสิบองศาทำให้เรารู้สึกกกก มากกว่าการได้ยินเสียงเลยค่ะ
ใครที่กำลังจะมาฟลอเรนซ์ หรือมีแผนไปเที่ยวตามเมืองหลวงที่มีนิทรรศาการประเภทนี้ ลองเพิ่มแผนเข้าไป รับรองว่าเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆในการเที่ยวและหวังว่าจะสนุกแน่นอนค่ะ
นิทรรศการครั้งนี้สมชื่อเลยค่ะ เหมือน Van Gogh มีชีวิตอีกครั้งจริงๆ
สถานที่นะคะ
Santa Stefano al Ponte, 5 , Florence ,50122
ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปเที่ยวพร้อมกับมายในครั้งนี้
หวังว่าจะสนุกเปิดโลกไปพร้อมๆกันค่ะ
SMILE - SMS
ถ้าใครชอบ มายฝากติดตามมายต่อได้ในหลายสื่อรูปแบบออนไลน์ค่ะ อิอิ งุงิ
Facebook:
https://www.facebook.com/Smile.Multi.Stories/
Instagram:
https://www.instagram.com/smile.multi.stories/
Youtube:
https://www.youtube.com/channel/UCfoSFw-jRTIlgbn11cpbdjA?view_as=subscriber
ไปดูไปเจอ Van Gogh กัน งานมิวเซียมสนุกๆต้องที่ฟลอเรนซ์อิตาลีเท่านั้น
หวังว่าผู้อ่านทุกท่านสบายดี มีความสุข พักผ่อนกันมากพอที่จะมีแรงกลับมาทำงานหลังจากสงกรานต์กันนะคะ 😀☺️😊
ส่วนมายยังคงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแฟชั่นที่อิตาลี เมืองฟลอเรนซ์ โรงเรียน POLIMODA
และด้วยโอกาสอันดี เพื่อนรักมาเยี่ยมถึงอิตาลี เราเลยหาสถานที่สนุกๆ แถมได้รูปสวยๆประดับอินสตาแกรมอีก จะเป็นที่ไหนไม้ได้ ก็คือ มิวเซียมค่าาาา 5555555
แต่มิวเซียมนี้ไม่ธรรมดา มายขายของมากกกก คือมายตั้งใจเขียนเพราะรู้สึกว่า มิวเซียมแบบนี้ที่เมืองไทยยังไม่มี
มันคือการถ่ายทอดเรื่องราวผลงานของศิลปินด้วยการใช้ แสง และ เสียงด้วยกัน
"When the art and music are immersed"
ซึ่งการแชร์ครั้งนี้ มายจะพาทุกท่านไปเจอ Vincent Van Gogh ค่าาาา
ใช่ค่ะ ไปเจอในที่นี้คือ ตามชื่อ นิทรรศการเลย Van Gogh Alive The Experience in Florence
ซึ่งตอนนี้ นิทรรศการประเภทนี้ที่ใช้แสงเป็นตัวแทนผลงานของศิลปิน พร้อมการใช้ดนตรีประกอบให้คนเข้าถึงงานได้ง่ายขึ้นกำลังเป็นที่นิยมอยู่พอสมควร คนไปถ่ายรูปต่อคิวเยอะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่ญี่ปุ่น กรุงโตเกียวด้วย Teamlab หรือ Atelier des Lumières ที่ กรุงปารีส ร่วมถึงทั้งที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลีด้วยค่าาาาาา
ความพี้คที่บอกว่าไม่ธรรมดาเพราะว่า ในงานนิทรรศการนี้ ไม่มีงานศิลปะตัวจริงของศิลปินชื่อดังที่เค้าร่วมงานกันมาให้คนดูสักชิ้น!!!! 55555 ฉะนั้นสำหรับมายคนที่ชอบเสพงานอาร์ตม๊ากกมากกก แบบอยากจะดูทุกลายเส้นพู่กันของศิลปินคนนั้นคนนี้ หรือใครรัก Van Gogh มากกก นิทรรศการประเภทนี้อาจไม่ได้ทำให้ฟินตอบโจทย์มากเท่าไหร่
แต่ด้วยโลกและการเสพศิลปะของคนเปลี่ยนไป ธุรกิจศิลปะจึงจำเป็นต้องหาวิธีคิดการเล่าเรื่องของผลงานศิลปินใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ให้เยอะขึ้น ซึ่งมายก็เป็นหนึ่งในนั้นนะคะ 55555 และมายอยากจะบอกว่ามันดีมากกกก ได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเสพศิลปะนี้ยิ่งชอบบบบบ
ไม่รอช้า ขอแชร์ประสบการณ์ดีๆ เหมือนได้พาทุกท่านไปเที่ยวกับมายด้วยเลย อิอิ
สถานที่ที่ใช้ในการจัดแสดงศิลปะของ Vincent Van Gogh ในเมืองฟลอเรนซ์ คือ โบสถ์ค่ะ
นั้นนนน ไม่ธรรมดาจริงๆ ยิ่งบิ้วอารมณ์ไปอี๊กกกกกก
เมื่อเข้าไปในงานแล้ว โบสถ์ถูกเปลี่ยนให้เป็นเหมือนหน้าจอ โปรเจคเตอร์แสดงรูปงานศิลปะด้วยเทคนิคการออกแบบกราฟฟิคที่ล้ำสมัยมาก
ไม่ใช่จะมาโชว์ รูปเป็นสไลด์เหมือนแสดงพรีเซ้นพาวเวอร์พ้อยท์อะไรแบบนั้น จะทำแบบนั้นไม่ได้ๆๆๆๆๆเด็ดขาดดดดด !!!!
อ่ะ ความอลังของงานคือการใช้แสงเป็นตัวหลักในการเล่าเรื่องของภาพ พร้อมทั้งการออกแบบการเล่าเรื่องด้วยการเรียบเรียงชิ้นงานของ Van Gogh เป็น ตีม
ผลลงานหลักของเค้า The Sunflowers งานกราฟฟิคก็เน้นดอกทานตะวันท่วมโบสถ์กันไปเลยทีเดียว และยังคงแสดงผลงานรูปที่เค้าวาดพร้อมๆไปกับกราฟฟิคด้วยThe Starry Nights ก็ปังมากกกก คือรูปนี้ที่มายเข้าใจมันเกิดจากความฝันร้ายของเค้า ซึ่งก่อนที่จะเข้าไปสู่รูปภาพชุดนี้ คนออกแบบได้พาเราเข้าไปเหมือนอยู่ในจักรวลาก่อน แล้วภาพทั้งโบสถ์ก็จะดำมืดๆๆๆ มีดาววิ่งระยิบระยับเล็กน้อย และค่อยพาเราไปเจอรูปผลงานชิ้นเอกของเค้า
บางเซตคือ Portraits ที่ Van Gogh ใช้ลายเส้นที่ชัดมาก และแปลกจากคนอื่นจริงๆ คนออกแบบกราฟฟิคก็เล่าด้วยการเน้นสีเป็นหลัก คือ วาดหน้าคนมันก็เหมือนๆกัน ในที่นี้คือเน้นที่หน้า แต่หน้าคนที่สามารถบ่งบอกถึงอาชีพ การแต่งตัว หรืออารมณ์ของคนที่เป็นแบบให้วาดในสมัยนั้น ก็สามารถแบ่งเป็นเซตเป็นตีมได้
ด้วยความที่เค้าใช้ทั้งโบสถ์เป็นจอให้เราดู เราก็จะเอนจอยกับการที่เห็นว่า การใช้พื้นที่กับแสงยังไง เค้าใช้โดม ใช้หน้าต่าง หรือสถานที่ในโบสถ์ที่เอาไว้ตั้งเครื่องบูชา แต่ต้องถูกแปลงมาเป็นเหมือนกระดาษ ก็สนุกไปอีกแบบนะคะ
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ !!!! เค้ายังสร้างห้องเล็กๆขึ้นมาในโบสถ์ เพื่อเป็นห้องให้คนได้ถ่ายรูปโดยเฉพาะ !!!! คือมายเชื่อแบบนั้นนะคะ 555555
เพราะว่ามันควรจะเป็นแบบนั้นอ่าาาา คือสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับคนพร้อมตอบโจทย์ไลฟไสตล์ของคนที่เข้ามาเสพงานศิลป์ด้วย คือการถ่ายรูปปปป มีรูปสวยๆๆ ประดับไอจี เฟสบุ๊คเอิงเอยว่าไป
ตัวมายเองก็ตกใจว่าห้องเล็กๆนี้คืออะไร พอเข้าไปก็ถึงบางอ้อนี้ละคะ
มายกับเพื่อนสนุกมากกก ถ่ายรูปไม่หยุดดดดด
เอารูปมาฝากบางส่วนตามข้างบนเลยค่ะ อิอิ
มายเอาวิดีโอมาฝากนะคะ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการจินตนาการตามไปเที่ยวกับมายจริงๆ
สุดท้าย มายขออธิบาย Virtual Reality นะคะ มันคือการใช้สายตาอย่างเดียว ในโลกที่เราเห็นนั้นเป็นเหมือน สามมิติเลยค่ะ มันดีมากกกกกกกกก คืออย่างเช่นในงานนี้ มายเหมือนได้เข้าไปอยู่ในผลงานศิลปะนั้นจริงๆ อย่างเช่นรูป The Starry Nights มายเห็นรูปผลงานเหมือนมายบินอยู่บนท้องฟ้าประหนึ่งเป็นปีเตอร์แพน และเห็นทุกอย่าง สามร้อยหกสิบองศา เงยหน้า ก้มลง มองซ้ายขวาคือเป็นรูปนั้นๆที่เราอยู่ และเค้าก็จะเปลี่ยนฉากได้เนียนเหมือนเรากำลังเดินในบ้าน Van Gogh เลย คือเจ๋งมากกกกก
ที่มาอธิบาย เพราะอยากเชียร์ให้ทุกคนอดทนยืนต่อคิว แล้วแต่สถานที่และช่วงเวลาที่ไป เพราะมายว่ามันคุ้มากกกก มากกก มากกกกก
งานนี้ไม่มีเสียงประกอบแต่ความ สามร้อยหกสิบองศาทำให้เรารู้สึกกกก มากกว่าการได้ยินเสียงเลยค่ะ
ใครที่กำลังจะมาฟลอเรนซ์ หรือมีแผนไปเที่ยวตามเมืองหลวงที่มีนิทรรศาการประเภทนี้ ลองเพิ่มแผนเข้าไป รับรองว่าเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆในการเที่ยวและหวังว่าจะสนุกแน่นอนค่ะ
นิทรรศการครั้งนี้สมชื่อเลยค่ะ เหมือน Van Gogh มีชีวิตอีกครั้งจริงๆ
สถานที่นะคะ
Santa Stefano al Ponte, 5 , Florence ,50122
ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปเที่ยวพร้อมกับมายในครั้งนี้
หวังว่าจะสนุกเปิดโลกไปพร้อมๆกันค่ะ
SMILE - SMS
ถ้าใครชอบ มายฝากติดตามมายต่อได้ในหลายสื่อรูปแบบออนไลน์ค่ะ อิอิ งุงิ
Facebook: https://www.facebook.com/Smile.Multi.Stories/
Instagram: https://www.instagram.com/smile.multi.stories/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCfoSFw-jRTIlgbn11cpbdjA?view_as=subscriber