หลาย ๆ คนคงเคยเจ็บป่วย เคยไม่สบาย แม้ว่าหลายครั้งความมหัศจรรย์ของร่างกายจะสามารถแก้ไขและรักษาตัวเองจากภาวะเจ็บป่วยเหล่านั้นได้ แต่คงมีอีกไม่น้อยที่จำเป็นต้องพึ่ง “ยา” ในการบำบัด บรรเทาหรือรักษาอาการเจ็บป่วยให้หายไป ยาถูกผลิตขึ้นด้วยเหตุนี้ ไว้บำบัดรักษา ยาก็เป็นสารเคมีที่สกัด หรือสร้างขึ้นและได้มีการศึกษาถึงสรรพคุณมาแล้ว ยาแต่ละชนิดไว้รักษาแต่ละโรคแตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของยา มียาอยู่กลุ่มหนึ่งที่ได้รับความนิยมให้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากในปัจจุบัน นั้นคือกลุ่ม “ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย” ซึ่งยากลุ่มนี้มีบุคคลากรทางการแพทย์และประชาชนจำนวนไม่น้อย มีความเข้าใจที่ยังไม่ถูกต้องและชอบที่จะเรียกยากลุ่มนี้ว่า “ยาแก้อักเสบ” ทำให้มีการสับสนในการนำยาปฏิชีวนะไปใช้ในการที่ไม่ถูกต้อง การนำยาปฏิชีวนะไปใช้ไม่ถูกต้อง ไม่มีข้อบ่งชี้อาจนำมาซึ่งผลเสียในหลาย ๆ ประการ ทั้งสูญเสียเงินทองซื้อยาโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังก่อให้เกิดการดื้อยาของเชื้อโรคต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น นำมาสู่ผลเสียต่อตนเองและคนในชุมชนที่มีโอกาสติดเชื้อดื้อยามากยิ่งขึ้น
การที่คนเราเจ็บป่วยนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ร่างกายติดเชื้อโรค ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ติดเชื้อในช่องคอ ที่ปอด เป็นต้น โดยการติดเชื้อนั้นอาจเป็นเชื้อ ไวรัส แบคทีเรียหรือพยาธิ ก็ได้ ทุกการติดเชื้อจะก่อการอักเสบขึ้นกับอวัยวะหรือตำแหน่งการติดเชื้อนั้น เนื่องด้วยกลไกของร่างกายเราที่พยายามต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวหรือปล่อยสารบางอย่างออกมาต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านั้น เราจึงเรียกมันว่าเกิดการอักเสบ ยาปฏิชีวนะนั้นเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงจะเห็นว่าเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้นที่จำต้องใช้ยาปฏิชีวนะ หากเป็นเชื้อไวรัสหรือพยาธิต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ เช่นหากเราเป็นไข้คออักเสบ เราอาจเป็นจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียก็ได้ จำเป็นต้องดูอาการอื่นหรือการตรวจร่างกายร่วมว่าสงสัยเชื้อชนิดใด หากเป็นแค่ไข้หวัดซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะให้เปลืองหรือเสี่ยงต่อการสร้างเชื้อที่ดื้อยา
มีการรวบรวมข้อมูลการใช้ยาปฏิชีวนะจากโครงการ Antibiotic smart use พบว่ามูลค้าการผลิตหรือนำเข้ายาปฏิชีวนะนี้มีสูงถึง 2 หมื่นล้านบาทหรือประมาณ 1 ใน 5 ของราคายาทั้งหมดที่สั่งใช้ในประเทศไทย ในคนไข้ต่างจัดหวัดที่เป็นหวัดซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสกลับได้รับการให้ยาปฏิชีวนะถึงร้อยละ 40-60 และในกทม. ได้รับถึง ร้อยละ 70-80 ทำให้พบว่าอัตราการเกิดเชื้อดื้อยาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25-50 ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุสมผล
ส่วนเรื่องของยาแก้อับเสบนั้นคือยาที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย ไม่ว่าจากกรณีใด ไม่ได้ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแต่อย่างใด โดยมากเป็นยารักษาตามอาการ เนื่องจากเวลาเกิดการอักเสบขึ้นเราจะมีอาการปวดหรือบางคนมีไข้เกิดขึ้นจากการอักเสบนั้น การที่เราได้ยาแก้อับเสบไปรับประทานจะช่วยลดการอักเสบ ทำให้อาการปวดดีขึ้น อาการไข้ดีขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ายาทั้งสองกลุ่มนี้ไม่เหมือนกันทั้งด้านการออกฤทธิ์และผลที่จะได้รับ
ฉะนั้นหากทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องยาแก้อักเสบและยาฆ่าเชื้อแล้ว ก็ควรทำการสื่อสารหรือว่าเรียกยาต่าง ๆ ให้ถูกต้องจะได้สร้างความเข้าใจที่ถูกให้กับทั้งตัวเองและญาติพีน้องนะครับ หยุดเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบ หยุดการคิดว่าเวลาอักเสบต้องกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าการอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและต้องการยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ หากเราเจ็บป่วยคงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไป ว่าจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อหรือไม่ ให้จำไว้เสมอว่ายาก็คือสารเคมี มีทั้งผลที่ดีและผลไม่ดี (ผลข้างเคียง) เราจึงควรรับเท่าที่จำเป็นต้องรับครับ อย่างไรก็ดีไม่อยากให้ทุกคนมองแต่เวลาป่วยต้องใช้ยา อยากให้กลับมาย้อนมองตั้งแต่ต้นว่าโรคหลาย ๆ โรคเราสามารถป้องกันได้ หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ, รู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นไปตรวจเช็คร่างกายเท่าที่จำเป็น และเตือนตนเองบ่อย ๆ ว่า “สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องสร้างเอง”ครับผม
รู้สักนิด ชีวิตดีขึ้น "ยาแก้อักเสบกับยาปฏิชีวนะเหมือนหรือแตกต่าง"
การที่คนเราเจ็บป่วยนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ร่างกายติดเชื้อโรค ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ติดเชื้อในช่องคอ ที่ปอด เป็นต้น โดยการติดเชื้อนั้นอาจเป็นเชื้อ ไวรัส แบคทีเรียหรือพยาธิ ก็ได้ ทุกการติดเชื้อจะก่อการอักเสบขึ้นกับอวัยวะหรือตำแหน่งการติดเชื้อนั้น เนื่องด้วยกลไกของร่างกายเราที่พยายามต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวหรือปล่อยสารบางอย่างออกมาต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านั้น เราจึงเรียกมันว่าเกิดการอักเสบ ยาปฏิชีวนะนั้นเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงจะเห็นว่าเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้นที่จำต้องใช้ยาปฏิชีวนะ หากเป็นเชื้อไวรัสหรือพยาธิต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ เช่นหากเราเป็นไข้คออักเสบ เราอาจเป็นจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียก็ได้ จำเป็นต้องดูอาการอื่นหรือการตรวจร่างกายร่วมว่าสงสัยเชื้อชนิดใด หากเป็นแค่ไข้หวัดซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะให้เปลืองหรือเสี่ยงต่อการสร้างเชื้อที่ดื้อยา
มีการรวบรวมข้อมูลการใช้ยาปฏิชีวนะจากโครงการ Antibiotic smart use พบว่ามูลค้าการผลิตหรือนำเข้ายาปฏิชีวนะนี้มีสูงถึง 2 หมื่นล้านบาทหรือประมาณ 1 ใน 5 ของราคายาทั้งหมดที่สั่งใช้ในประเทศไทย ในคนไข้ต่างจัดหวัดที่เป็นหวัดซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสกลับได้รับการให้ยาปฏิชีวนะถึงร้อยละ 40-60 และในกทม. ได้รับถึง ร้อยละ 70-80 ทำให้พบว่าอัตราการเกิดเชื้อดื้อยาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25-50 ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่สมเหตุสมผล
ส่วนเรื่องของยาแก้อับเสบนั้นคือยาที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย ไม่ว่าจากกรณีใด ไม่ได้ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแต่อย่างใด โดยมากเป็นยารักษาตามอาการ เนื่องจากเวลาเกิดการอักเสบขึ้นเราจะมีอาการปวดหรือบางคนมีไข้เกิดขึ้นจากการอักเสบนั้น การที่เราได้ยาแก้อับเสบไปรับประทานจะช่วยลดการอักเสบ ทำให้อาการปวดดีขึ้น อาการไข้ดีขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ายาทั้งสองกลุ่มนี้ไม่เหมือนกันทั้งด้านการออกฤทธิ์และผลที่จะได้รับ
ฉะนั้นหากทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องยาแก้อักเสบและยาฆ่าเชื้อแล้ว ก็ควรทำการสื่อสารหรือว่าเรียกยาต่าง ๆ ให้ถูกต้องจะได้สร้างความเข้าใจที่ถูกให้กับทั้งตัวเองและญาติพีน้องนะครับ หยุดเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบ หยุดการคิดว่าเวลาอักเสบต้องกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าการอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและต้องการยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ หากเราเจ็บป่วยคงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไป ว่าจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อหรือไม่ ให้จำไว้เสมอว่ายาก็คือสารเคมี มีทั้งผลที่ดีและผลไม่ดี (ผลข้างเคียง) เราจึงควรรับเท่าที่จำเป็นต้องรับครับ อย่างไรก็ดีไม่อยากให้ทุกคนมองแต่เวลาป่วยต้องใช้ยา อยากให้กลับมาย้อนมองตั้งแต่ต้นว่าโรคหลาย ๆ โรคเราสามารถป้องกันได้ หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ, รู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นไปตรวจเช็คร่างกายเท่าที่จำเป็น และเตือนตนเองบ่อย ๆ ว่า “สุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องสร้างเอง”ครับผม