ค้ำประกันครูบำนาญ เมื่อครูเสียชีวิต คู่สมรสและทายาทไม่ใช้หนี้ ทั้งๆที่ มีเงินเกือบ 2 ล้าน

กระทู้คำถาม
ข้าพเจ้าได้ค้ำประกันเงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูให้ครูบำนาญ เมื่อครูเสียชีวิต คู่สมรสและทายาทได้เงินฌาปนกิจ รพ. และ ชพค. เกือบ 2 ล้าน เจ้าหน้าที่ รพ.ถามว่ามีเงินแล้วใช้หนี้ รพ. เลยไหม เขาตอบว่า ไม่ จะเอาไปใช้หนี้ให้สามี  เจ้าหน้าที่ ชพค.ที่จ่ายเงินให้ทายาท บอกว่าหากรู้ว่าทายาทไม่ใช้หนี้สหกรณ์เขาบอกเจ้าหน้าที่สหกรณ์ว่า เขาจะเป็นคนนำเงินนี้มาใช้หนี้ให้เอง ตอนที่คู่สมรสและทายาทได้เงินไม่ยอมใช้หนี้ผู้เสียชีวิตเลย กลับนำเงินไปออกรถกระบะ รถไถ่ รถมอไซร์ และให้ลูกเขยยืม ได้ยินว่าเอาไปออกรถขนรถเกี่ยว แล้วให็ผู้ค้ำ 2 คน จากผู้ค้ำ3 คน ถูกหักชำระหนี้แทนเรื่อยมา กว่าจะได้เงินคืนมา ถามเขามีเงินแล้วทำไมไม่ไปใช้หนี้สหกรณ์ล่ะ เขาตอบว่า ก็ไปแล้วเจ้าหน้าที่บอกจะหักจากคนค้ำ รอบที่ข้าพเจ้าถูกหักเกือบ 60,000 บ. ไปทวงเอากับเขา เขาบอกว่าตอนนี้ยังไม่มี จะมีตอนเกี่ยวข้าว ข้าพเจ้าเลยให้เขาทำสัญญาเงินกู้ให้เขาบอกว่าไม่ทำ เขาไม่ได้รับเงินสดจากข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าไปฟ้องเอากับศูนย์ดำรงธรรม บอกไปเลยว่าทายาทไม่จ่าย มีที่ไหนทายาทจะใช้หนี้แทน เขาบอกเขาปรึกษาทนายเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าเลยเดินเรื่องไปที่สหกรณ์ ถามเจ้าหน้าที่ทำไมผู้ตายเสียชีวิตไป 2 ปีแล้ว ไม่มีหนังสือแจ้งผู้ค้ำกับทายาทผู้ตายเลย เขาตอบว่า ทำแล้วแต่คงไม่ถึง ข้าพเจ้าเลยขอเลขหนังสือที่เขาว่าเคยส่งมาแล้วเพื่อที่จะไปเช็คที่ไปรษณีย์ เขาตอบว่าหาไม่เจอ ข้าพเจ้าเลยให้เขาออกหนังสือให้ใหม่เพื่อข้าพเจ้าจะไปเชิญทายาทและผู้ค้ำคนอื่นๆเอง เมื่อข้าพเจ้าปรึกษา ผจก. เขาแนะนำให้แบ่งหนี้เป็น 4 ส่วน ซึ่งข้าพเจ้าก็ยอมรับได้ แต่ประธานเงินกู้บอกว่าหากอีก 3 คนไม่มีให้หักก็จะหักจากข้าพเจ้าคนเดียว ข้าพเจ้าทำแบบนี้ได้ไงข้าพเจ้าจะมีอะไรให้หักเงินเดือนก็น้อย เขาบอกว่าจะจากการกู้ ข้าพเจ้าบอกว่าที่ข้าพเจ้ากู้เพราะข้าพเจ้าเดือดร้อนน่ะ ทำไมไม่ไปหักจากคู่สมรสและทายาทเขาบ้างเขาก็ได้เงินมาเยอะแยะ เขาบอกว่าเป็นสิทธิ์ของทายาทที่จะไม่จ่าย เมื่อถึงวันที่ต้องไปพูดคุยกันที่สหกรณ์ มีผู้ค้ำและตัวแทนผู้ค้ำ และญาติๆ ของผู้ค้ำมาร่วมฟัง แต่ทายาทมาเพียงคนเดียว ซึ่งทายาทให้คำตอบเพื่อแก้ไขปัญหาไม่ได้เลย ผจก.เลยให้ทายาทโทรตามคู่สมรสและทายาทคนอื่นๆมา เมื่อคู่สมรสมาถึงก่อน คู่สมรสไม่ยอมทำหนังสือ เซนต์ชื่อใดๆ ลงในหนังสือใดๆเลย บอกเพียงแต่ว่าหากลูกเขยรู้ว่าเซนต์ชื่อ ลูกเขยจะไม่ยอมใช้หนี้แม้แต่บาทเดียว พอลูกเขยเขามาถึงเขาบอกใช้รับผิดชอบหนี้ทั้งหมดไม่ทำให้คนค้ำเดือดร้อน และจะชดใช้เงินคืนให้ผู้ค้ำ ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบข้อมูล พบว่าทางทายาทยังไม่ได้รับเงินสงเคราะห์ศพ 200,000 บ. ผู้ค้ำและทายาทตกลงให้ทางสหกรณ์นำเงินนี้มาหักชำระหนี้เลย และให้เจ้าหน้าที่คำนวณเงินที่ทายาทต้องใช้เป็นเดือน ปี ต่อไป แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมก่อน เพราะผ่านมา 2 ปีแล้ว ไม่รู้จะได้รึเปล่า เมื่อพี่ของข้าพเจ้าพาทายาทไปติดต่อที่สหกรณ์อีกมีเจ้าที่พูดว่าไม่ต้องมาแล้วทั้งทายาทและผู้ค้ำ เดี๋ยวเขาจะจัดการเอง เลยเดินทางกลับบ้าน หลังจากนั้น ทายาทบอกกับพี่ข้าพเจ้าว่ามีเจ้าหน้าที่ไลน์นัดเชิญทายาทไปกินข้าวด้วย แต่ไม่ได้ไป วันต่อมาข้าพเจ้าพาทายาทไปอีกครั้ง ถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมมีคนนัดทายาทไปกินข้าวเขาตอบว่าไม่มีๆ ข้าพเจ้าเลยรอให้เจ้าหน้าที่หักชำระหนี้จากเงินสงเคราะห์ศพจนได้ใบเสร็จมา และพาทายาทเข้าพบประธาน เพื่อให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ทายาท ประธานพูดกับข้าพเจ้าว่าหนี้เหลือแค่นี้เองเธอก็กู้มาจ่ายสิ ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าจะเอาที่ไหนมาจ่าย เมื่อเจ้าหน้าที่คำนวณให้ทายาทจ่ายเดือนละ 2,200 บ. เขาตอบว่าไม่ไหว คำนวณใหม่เป็นเดือนละ 2,000 บ. ก็ไม่ไหวคำนวณเป็นปี ก็ไม่แน่ใจ พอเจ้าหน้าที่ถามประธานค่ะ ตกลงทายาทจะจ่ายเดือนละเท่าไหร่คะ ประธานก็ตะคอกใส่เจ้าที่ก็เขาไม่มีจ่าย ประธานกลับให้เงินทายาทไป 1,000 บ. และพูดว่าลุงกับพ่อ(ผู้ตาย) เป็นเพื่อนกัน ทายาทเลยขอตัวกลับบ้านไปปรึกษาคนที่บ้าน และบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะกลับมาใหม่ เขาได้คืนเงืเงินให้ข้าพเจ้าคืนหลังจากที่เก็บเงินจากที่สามีของทารับจ้างเกี่ยวข้าว และผ่านปีกว่าแล้ว ก็ไม่เคยกลับไปที่สหกรณ์เลย หนี้ที่เหลือก็ยังไม่จ่ายแม้แต่บาทเดียว ถามแม่เขาทำไมสิ้นปี 60 ไม่ไปจ่าย เขาตอบว่าเขาขายข้าวได้ 300,00 บ. แต่เขาไม่ได้ไปจ่าย เขายังพูดต่อไปก็ตอนนั้นสหกรณ์ได้เยอะแล้ว ทั้งที่เขาหักจากเงินสงเคราะห์ศพ บอกสิ้นปี 61 จะไปจ่ายแต่ก็ไม่จ่ายเห็นทายาทโพสเงินเป็นฟ้อนๆ ถามไปได้ไปจ่ายหนี้สหกรณ์บ้าง เขาตอบว่าเดี๋ยวจะจัดการให้ ไปตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ เขาตอบว่าทายาทยังไม่มาจ่ายแม้แต่บาทเดียว มีเพียงยอดชำระจากเงินสงเคราะห์ศพคราวนั้น และที่หักจากคนค้ำ หนังสือรับสภาพหนี้ก็ไม่มาเซนต์ พอสิ้นปี 61 ถามว่ามีเงินแล้วทำไมไม่ไปใช้หนี้ไปเซนต์รับสภาพหนี้ล่ะ เขาตอบว่า ไม่มีรถไป ไปถามอีกครั้ง เขาตอบว่า ไม่มีกระจิตกระใจไป ข้าพเจ้าเลยเดินเรื่องไปที่ศูนย์ดำรงธรรม แต่เขาไม่ยอมเซนต์หนังสือที่ทางเจ้าหน้าที่ออกให้เลย พูดแต่เพียงว่า ไม่ใช่หนี้เขาเป็นหนี้พ่อเขา จึงฝากเรื่องราวนี้ให้เพื่อนๆได้อ่านได้ระวังตัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่