WIKIPEDIA PD
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นรู้จักการนำสารเคมีมาใช้เป็นอาวุธในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามแบบจริงจังก็ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งอาวุธเคมีนั้นมีข้อดีอยู่ตรงที่สามารถโจมตีได้คราวละมากๆ ในพื้นที่ที่กำหนด
แถมยังสามารถซอกซอนเข้าไปได้ในทุกมุมที่อากาศเข้าไปถึงจึงทำให้เป็นอาวุธที่ค่อนข้างจะ “ขี้โกง” ไปหน่อยสำหรับการรบ จึงทำให้ในปี 1993 องค์การสหประชาชาติจึงได้ออกกฎอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมีออกมาเพื่อห้ามไม่ให้มีการนำมาใช้สงคราม
แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้นอาวุธเคมีถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายสมรภูมิรบ วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับหนึ่งอาวุธเคมีที่สร้างปัญหาให้กับประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้แม้ว่ามันจะถูกใช้งานไปกว่า 40 ปีที่แล้วก็ตาม อาวุธชนิดนั้นมีชื่อว่า “ฝนเหลือง”
ต้นกำเนิดของ “ฝนเหลือง”
มาจากสารเคมีที่ถูกผลิตออกมาเพื่อใช้ในการเกษตร โดยนำมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองของเกษตรกรชาวอเมริกา นอกจากนี้ยังสามารถใช้กำจัดวัชพืชเพื่อให้ใบร่วงจนหมดและค่อยๆ เหี่ยวแห้งตาย และยังสามารถทำอันตรายต่อมนุษย์โดยการซึมเข้าทางผิวหนัง
ด้วยสเปกขนาดนี้มันจึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการเป็นอาวุธเคมีได้เป็นอย่างดี โดยทางกองทัพสหรัฐได้นำไปวิจัยต่อและส่งมันลงไปโจมตีในสงครามเวียดนาม
ทำไมอเมริกาต้องใช้อาวุธเคมี
สิ่งหนึ่งที่คอยก่อกวนกองทัพอเมริกันในสงครามครั้งนี้ก็คือความสามารถในการหลบซ่อนตัวของทหารเวียดกงที่ใช้ความได้เปรียบในภูมิประเทศที่เป็นป่าทึบและการขุดโพรงใต้ดิน ทำให้การโจมตีทางอากาศเป็นไปได้ยากเพราะต้นไม้นั้นบดบังทัศนวิสัย อาวุธต่างๆ เช่น ระเบิดนาปาล์ม ระเบิดฟอสฟอรัสจึงถูกนำมาใช้เพื่อการโจมตีแบบซอกซอนรวมไปถึงฝนเหลือง
อเมริกาถือว่าเป็นประเทศที่มีคติที่ว่า “ถ้าเพื่อทำลายเป้าหมาย ต่อให้เผาป่าไล่หนูตัวเดียวก็สามารถทำได้” ฝนเหลืองจึงถูกนำมาใช้ในการนี้ กองทัพอเมริกาจึงนำเข้า “ฝนเหลือง” เข้ามาใช้กับเวียดนามกว่า 77 ล้านลิตร โดยมีเป้าหมายในการทำให้ป่าทึบๆ สามารถที่จะมองลงมาผ่านอากาศยานได้
ปฏิบัติการ “Operation Ranch Hand”
การโปรยฝนเหลืองของทหารอเมริกันมีชื่อเรียกว่าปฏิบัติการ “Operation Ranch Hand” โดยทหารอเมริกันใช้ทั้งเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินลำเลียงโปรยลงบนพื้นที่กว่า 12,500,000 ไร่ ซึ่งมันก็ได้ผลบริเวณป่าที่ถูกฝนเหลืองโปรยลงไปใบไม้ต่างร่วงลงสู่พื้นจนกลายเป็นต้นไม้โกร๋นๆ หมดแทบทั้งป่า
WIKIPEDIA PD
แต่ผลที่ได้นั้นมากกว่าที่คิดไว้จนกลายเป็นความอัปยศ ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างได้รับผลกระทบจากฝนเหลืองที่สามารถซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ หากมนุษย์ได้รับเข้าไปจะส่งผลทำให้ปวดแสบปวดร้อนผิวหนังพุพองเหมือนถูกไฟไหม้ ยิ่งถ้าได้รับเกินกว่าร่างกายจะทนไหวก็จะทำให้เกิดอาการชักกระตุกไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และอาจจะทำให้เป็นอัมพาตหรือสมองพิการได้ในทันที
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของอเมริกา ฝนเหลืองที่โปรยไปแล้วนั้นยังไม่หมดฤทธิ์ของมัน สารพิษที่อยู่ในฝนเหลืองนั้นยังตกค้างอยู่ในดิน ในน้ำและในตัวของผู้คนที่ได้สัมผัสมัน เด็กๆ จำนวนมากที่เกิดมาหลังจากสงครามเวียดนามมีร่างกายที่พิกลพิการเนื่องจากแม่ของพวกเขาเคยถูกฝนเหลืองยังไม่รวมหญิงที่ตั้งครรภ์ที่เกิดการแท้งลูก ทารกตายอยู่ท้อง ซึ่งจำนวนของผู้ที่ได้รับผลกระทบของพิษจากฝนเหลืองนั้นมีมากกว่าล้านคน
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตราบาปแห่งประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามเวียดนามที่ยังคงตามหลอกหลอนอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้
เรียบเรียง : SpokeDark.TV
wtfintheworld.com
‘ฝนเหลือง’ อาวุธเคมีที่ไร้มนุษยธรรม ตราบาปแห่งสงครามเวียดนาม
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นรู้จักการนำสารเคมีมาใช้เป็นอาวุธในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามแบบจริงจังก็ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งอาวุธเคมีนั้นมีข้อดีอยู่ตรงที่สามารถโจมตีได้คราวละมากๆ ในพื้นที่ที่กำหนด
แถมยังสามารถซอกซอนเข้าไปได้ในทุกมุมที่อากาศเข้าไปถึงจึงทำให้เป็นอาวุธที่ค่อนข้างจะ “ขี้โกง” ไปหน่อยสำหรับการรบ จึงทำให้ในปี 1993 องค์การสหประชาชาติจึงได้ออกกฎอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมีออกมาเพื่อห้ามไม่ให้มีการนำมาใช้สงคราม
แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้นอาวุธเคมีถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายสมรภูมิรบ วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับหนึ่งอาวุธเคมีที่สร้างปัญหาให้กับประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้แม้ว่ามันจะถูกใช้งานไปกว่า 40 ปีที่แล้วก็ตาม อาวุธชนิดนั้นมีชื่อว่า “ฝนเหลือง”
ต้นกำเนิดของ “ฝนเหลือง”
มาจากสารเคมีที่ถูกผลิตออกมาเพื่อใช้ในการเกษตร โดยนำมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองของเกษตรกรชาวอเมริกา นอกจากนี้ยังสามารถใช้กำจัดวัชพืชเพื่อให้ใบร่วงจนหมดและค่อยๆ เหี่ยวแห้งตาย และยังสามารถทำอันตรายต่อมนุษย์โดยการซึมเข้าทางผิวหนัง
ด้วยสเปกขนาดนี้มันจึงเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการเป็นอาวุธเคมีได้เป็นอย่างดี โดยทางกองทัพสหรัฐได้นำไปวิจัยต่อและส่งมันลงไปโจมตีในสงครามเวียดนาม
ทำไมอเมริกาต้องใช้อาวุธเคมี
สิ่งหนึ่งที่คอยก่อกวนกองทัพอเมริกันในสงครามครั้งนี้ก็คือความสามารถในการหลบซ่อนตัวของทหารเวียดกงที่ใช้ความได้เปรียบในภูมิประเทศที่เป็นป่าทึบและการขุดโพรงใต้ดิน ทำให้การโจมตีทางอากาศเป็นไปได้ยากเพราะต้นไม้นั้นบดบังทัศนวิสัย อาวุธต่างๆ เช่น ระเบิดนาปาล์ม ระเบิดฟอสฟอรัสจึงถูกนำมาใช้เพื่อการโจมตีแบบซอกซอนรวมไปถึงฝนเหลือง
อเมริกาถือว่าเป็นประเทศที่มีคติที่ว่า “ถ้าเพื่อทำลายเป้าหมาย ต่อให้เผาป่าไล่หนูตัวเดียวก็สามารถทำได้” ฝนเหลืองจึงถูกนำมาใช้ในการนี้ กองทัพอเมริกาจึงนำเข้า “ฝนเหลือง” เข้ามาใช้กับเวียดนามกว่า 77 ล้านลิตร โดยมีเป้าหมายในการทำให้ป่าทึบๆ สามารถที่จะมองลงมาผ่านอากาศยานได้
ปฏิบัติการ “Operation Ranch Hand”
การโปรยฝนเหลืองของทหารอเมริกันมีชื่อเรียกว่าปฏิบัติการ “Operation Ranch Hand” โดยทหารอเมริกันใช้ทั้งเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินลำเลียงโปรยลงบนพื้นที่กว่า 12,500,000 ไร่ ซึ่งมันก็ได้ผลบริเวณป่าที่ถูกฝนเหลืองโปรยลงไปใบไม้ต่างร่วงลงสู่พื้นจนกลายเป็นต้นไม้โกร๋นๆ หมดแทบทั้งป่า
WIKIPEDIA PD
แต่ผลที่ได้นั้นมากกว่าที่คิดไว้จนกลายเป็นความอัปยศ ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างได้รับผลกระทบจากฝนเหลืองที่สามารถซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ หากมนุษย์ได้รับเข้าไปจะส่งผลทำให้ปวดแสบปวดร้อนผิวหนังพุพองเหมือนถูกไฟไหม้ ยิ่งถ้าได้รับเกินกว่าร่างกายจะทนไหวก็จะทำให้เกิดอาการชักกระตุกไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และอาจจะทำให้เป็นอัมพาตหรือสมองพิการได้ในทันที
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของอเมริกา ฝนเหลืองที่โปรยไปแล้วนั้นยังไม่หมดฤทธิ์ของมัน สารพิษที่อยู่ในฝนเหลืองนั้นยังตกค้างอยู่ในดิน ในน้ำและในตัวของผู้คนที่ได้สัมผัสมัน เด็กๆ จำนวนมากที่เกิดมาหลังจากสงครามเวียดนามมีร่างกายที่พิกลพิการเนื่องจากแม่ของพวกเขาเคยถูกฝนเหลืองยังไม่รวมหญิงที่ตั้งครรภ์ที่เกิดการแท้งลูก ทารกตายอยู่ท้อง ซึ่งจำนวนของผู้ที่ได้รับผลกระทบของพิษจากฝนเหลืองนั้นมีมากกว่าล้านคน
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตราบาปแห่งประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามเวียดนามที่ยังคงตามหลอกหลอนอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้
เรียบเรียง : SpokeDark.TV
wtfintheworld.com