ภาพจำนวน 24 ภาพที่เผยแพร่เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีการสิ้นสุดสงครามเวียดนามนี้ นับเป็นข่าวคราวล่าสุดจากบรรดาผู้ที่เชื่อกันว่า เป็นเหยื่อของ "ฝนเหลือง" ที่สหรัฐโปรยลง โดยมีจุดมุ่งหมายทำลายใบไม้ในป่า มิให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้เป็นแหล่งหลบซ่อน และ ต่อมาโปรยลงท้องไร่ท้องนา เพื่อทำลายพืชผลต่างๆ โดยให้เหตุผลว่าเป็นการตัดเสบียงของฝ่ายเวียดกงกับเวียดนามเหนือ พิษภัยของสารพิษยังคงบั่นทอนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามนับล้านครัวเรือน จนกระทั่งในปัจจุบัน และ แม้จะผ่านไป 4 ทศวรรษ ก็ยังไม่สามารรถหาใครรับผิดชอบความหายนะที่เกิดขึ้นได้. -- Damir Sagolj/Reuters.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- สงครามเวียดนามผ่านไป 40 ปีที่แล้ว แต่ผู้ได้รับผลกระทบจำนวนนับล้าน ยังคงทนทุกข์อยู่กับสิ่งที่เกิดในอดีต และ ยังไม่สามารถหาตัวผู้รับผิดชอบต่อผู้เคราะห์ร้ายได้ การต่อสู้ทางศาลล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อาจจะเอาผิดใดๆ กับรัฐบาลสหรัฐได้ และ บรรดาผู้เกี่ยวข้องลอยนวล ไม่ได้มีแต่ชาวเวียดนามเท่านั้น ผู้ที่ล้มป่วย หรือ ทุภพลภาพโดยเชื่อว่า มีสาเหตุจากการได้รับหรือสัมผัสกับสารไดออกซิน จาก "ฝนเหลือง" ที่สหรัฐนำไปโปรยลงในเขตป่า ลำน้ำลำธาร รวมทั้งเทือกไร่นาสวนของชาวบ้านเมื่อครั้งสงคราม หากยังรวมทั้งทหารผ่านศึกอเมริกันจำนวนมากด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนนับพันคน ที่ไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการเยียวยาบำบัด
มีการศึกษาและมีงานเขียนมากมาย เกี่ยวกับการโปรยสารกำจัดใบไม้ ในช่วงสงครามเวียดนามโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างช่วงปี 2505-2514 สารชนิดนี้เรียกกันทั่วไปว่า Agent Orange หรือ "สารสีส้ม" เป็นการเรียกตามป้ายชื่อที่ที่ติดอยู่ข้างถังบรรจุขนาด 200 ลิตรซึ่งเป็นแถบสีส้ม เป็นส่วนประกอบในปริมาณเท่าๆ กันของสารพิษ 2 ชนิด ที่ผลิตจากเคมีภัณฑ์ การศึกษาวิจัยกับการทดลองหลังสงครามสิ้นสุดลง โดยผู้เชี่ยวชาญกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในสหรัฐ ได้พบว่าเป็นสารที่มีพิษภัยต่อมนุษย์อย่างร้ายแรง สามารถทำให้คนล้มป่วยมากมายหลายอาการ รวมทั้งมะเร็งในเม็ดเลือด สารพิษดังกล่าวยังสามารถส่งผลต่อคนรุ่นลูกหลาน ของผู้ที่ได้รับหรือได้สัมผัสอีกด้วย
ยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอนเกี่ยวกับปริมาณของ "เอเย่นต์ ออเร้นจ์" ที่โปรยลงในเวียดนาม เนื่องจากมีการนำไปใช้โดยไม่มีการบันทึกเป็นจำนวนมาก แต่ตัวเลขของกองทัพสหรัฐ ที่เปิดเผยในระยะหลังๆ พบว่า มีการนำขึ้นเครื่องบินกับเฮลิคอปเตอร์ ไปโปรยในเขตป่าเวียดนาม ทั้งในเขตป่าไม้เบญจพรรณสมบูรณ์และป่าโกงกางชาย
ทะเล และตามชายฝั่งแม่น้ำโขงในภาคใต้ รวมอย่างน้อย 19 ล้านแกลลอน ใช้มากที่สุดในช่วงปี 2510-2511 จนกระทั่งปี 2514 ภายหลังการเซ็นสัญญาสันติภาพกรุงปารีส จึงได้เลิกใช้ หากคิดเป็นเที่ยวบิน ก็มีการนำสารกำจัดใบไม้มีพิษชนิดนี้ไปโปรยรวมจำนวน 20,000 เที่ยว รวมเป็นพื้นที่ราว 20,000 ตารางกิโลเมตร มีป่าไม้ถูกทำลาย ใบร่วงจนโกร๋นจำนวน 12,500,000 ล้านไร่ ทำลายพืชผลต่างๆ ของราษฎรอีก 1,250,000 ไร่
ยังมีการนำสารพิษชนิดนี้ไปโปรยในพื้นที่ต่างๆ โดยทหารราบ ซึ่งใช้ยานลำเลียงพลหุ้มเกราะบรรทุก อีกจำนวนมากมายหลายเที่ยว ซึ่งยังไม่มีใคร หรือหน่วยใด สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลตัวเลข เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ครบถ้วนทั้งหมด แม้กระทั่งการโปรยจากเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่มีการบันทึกเป็นจำนวนมาก
การศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเวียดนาม และ ด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมรัฐบาลสหรัฐในระยะหลังๆ รวมทั้งการศึกษาโดยหน่วยงานอิสระ และโดยองค์การระหว่างประเทศ ได้พบว่าในเวียดนามปัจจุบัน ยังมีสารไดออกซินตกค้างอยู่ในหลายพื้นที่ ทั้งในดิน ในลำน้ำลำธาร ลำห้วย รวมทั้งในผืนนาการศึกษาได้พบว่าสนามบินอย่างน้อย 6 แห่งที่เคยเป็นฐานทัพอากาศสหรัฐในช่วงสงคราม และ ใช้เป็นแหล่งจัดเก็บ หรือเป็นแหล่งแจกจ่ายสารพิษ ยังคงมีสารตกค้างมากมายจนเกินเลยขีดอันตรายปรกติ
ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐสภารวมทั้งสิ้น 32 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือคอมมิวนิสต์เวียดนาม จัดเก็บทำลาย หรือ "กักบริเวณ" สารพิษ ในพื้นที่ 3 แห่ง คือ สนามบินนครด่าหนัง สนามบินเบียนหว่า (จ.โด่งนาย) และ สนามบินฝูก๊าต (Phu Cat) เมืองกวีเญิน (Qui Nhan) จ.บี่งดิง (Binh Dinh) จนกระทั่งปี 2554 จึงสามารถดำเนินการที่ด่าหนังได้สำเร็จ เป็นแห่งแรก
ยังไม่มีผู้ใดหรือหน่วยงานใดทราบแน่ชัดอีกเช่นกันว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากสารพิษใน Agent Orange จำนวนทั้งหมดเท่าไรในเวียดนาม รวมทั้งในสหรัฐ แต่การศึกษาโดยทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก ประมาณการว่าเมื่อครั้งที่สหรัฐนำไปโปรยนั้น ตามรายทางที่โปรยลงไป มีชาวเวียดนามอาศัยอยู่ราว 4.8 ล้านคน และ มีทหารกองทัพรัฐบาลเวียดนามใต้ในอดีต เวียดกง และทหารเวียดนามเหนืออีกราว 1 ล้านคน ได้รับสารพิษโดยตรง ในขณะที่สภากาชาดแห่งชาติเวียดนามให้ตัวเลขว่า ปัจจุบันมีชาวเวียดนามราว 3 ล้านที่ได้รับผลกระทบ เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ ในนั้นยังรวมทั้งเด็กๆ อีกราว 150,000 คน ที่เกิดมาพิกลพิการ โดยเชื่อว่าเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากการได้รับสารไดออกซิน จากรุ่นพ่อและหรือรุ่นปู่ ตั้งแต่ครั้งสงคราม
รัฐบาลสหรัฐได้ปัดปฏิเสธตัวเลขเหล่านี้โดยระบุว่า "ห่างไกลจากความจริง" ทั้งยังปฏิเสธที่จะให้การเยียวยาแก่บุคคลเหล่านี้ โดยระบุว่ายังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่สามารถชี้ชัดได้ว่า สารไดออกซินใน "ฝนเหลือง" นั้น มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการล้มป่วย และ การเกิดมาอย่างผิดปรกติของทารกกว่าแสนคนในเวียดนาม
ส่วนในสหรัฐนั้น กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก ให้ตัวเลขประมาณการว่า ทหารอเมริกันจำนวน 2.8 ล้านคน ที่เคยไปปฏิบัติการ หรือ "ได้เหยียบพื้นดิน" เวียดนาม ระหว่างปี 2505-2518 ล้วนมีโอกาสได้สัมผัสกับสารที่ใช้ในการกำจัดใบไม้ กระทรวงฯ ได้ระบุอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการได้รับผลกระทบเอาไว้จำนวนหนึ่ง และ ถ้าหากทหารผ่านศึกคนใด มีอาการต่างๆ เหล่านั้น ก็จะสามารถขอรับการรักษาพยาบาลเป็นสวัสดิการจากรัฐได้ ซึ่งจำนวนผู้ที่เข้าขอรับการช่วยเหลือมีเพิ่มขึ้นทุกปี
[img]http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000004970502.JPEG[/img]
อ่านต่อที่
http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9580000048680
ตราบาป 40 ปีสงครามเวียดนาม "เหยื่อฝนเหลือง"
ภาพจำนวน 24 ภาพที่เผยแพร่เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีการสิ้นสุดสงครามเวียดนามนี้ นับเป็นข่าวคราวล่าสุดจากบรรดาผู้ที่เชื่อกันว่า เป็นเหยื่อของ "ฝนเหลือง" ที่สหรัฐโปรยลง โดยมีจุดมุ่งหมายทำลายใบไม้ในป่า มิให้อีกฝ่ายหนึ่งใช้เป็นแหล่งหลบซ่อน และ ต่อมาโปรยลงท้องไร่ท้องนา เพื่อทำลายพืชผลต่างๆ โดยให้เหตุผลว่าเป็นการตัดเสบียงของฝ่ายเวียดกงกับเวียดนามเหนือ พิษภัยของสารพิษยังคงบั่นทอนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเวียดนามนับล้านครัวเรือน จนกระทั่งในปัจจุบัน และ แม้จะผ่านไป 4 ทศวรรษ ก็ยังไม่สามารรถหาใครรับผิดชอบความหายนะที่เกิดขึ้นได้. -- Damir Sagolj/Reuters.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- สงครามเวียดนามผ่านไป 40 ปีที่แล้ว แต่ผู้ได้รับผลกระทบจำนวนนับล้าน ยังคงทนทุกข์อยู่กับสิ่งที่เกิดในอดีต และ ยังไม่สามารถหาตัวผู้รับผิดชอบต่อผู้เคราะห์ร้ายได้ การต่อสู้ทางศาลล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อาจจะเอาผิดใดๆ กับรัฐบาลสหรัฐได้ และ บรรดาผู้เกี่ยวข้องลอยนวล ไม่ได้มีแต่ชาวเวียดนามเท่านั้น ผู้ที่ล้มป่วย หรือ ทุภพลภาพโดยเชื่อว่า มีสาเหตุจากการได้รับหรือสัมผัสกับสารไดออกซิน จาก "ฝนเหลือง" ที่สหรัฐนำไปโปรยลงในเขตป่า ลำน้ำลำธาร รวมทั้งเทือกไร่นาสวนของชาวบ้านเมื่อครั้งสงคราม หากยังรวมทั้งทหารผ่านศึกอเมริกันจำนวนมากด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนนับพันคน ที่ไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการเยียวยาบำบัด
มีการศึกษาและมีงานเขียนมากมาย เกี่ยวกับการโปรยสารกำจัดใบไม้ ในช่วงสงครามเวียดนามโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างช่วงปี 2505-2514 สารชนิดนี้เรียกกันทั่วไปว่า Agent Orange หรือ "สารสีส้ม" เป็นการเรียกตามป้ายชื่อที่ที่ติดอยู่ข้างถังบรรจุขนาด 200 ลิตรซึ่งเป็นแถบสีส้ม เป็นส่วนประกอบในปริมาณเท่าๆ กันของสารพิษ 2 ชนิด ที่ผลิตจากเคมีภัณฑ์ การศึกษาวิจัยกับการทดลองหลังสงครามสิ้นสุดลง โดยผู้เชี่ยวชาญกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในสหรัฐ ได้พบว่าเป็นสารที่มีพิษภัยต่อมนุษย์อย่างร้ายแรง สามารถทำให้คนล้มป่วยมากมายหลายอาการ รวมทั้งมะเร็งในเม็ดเลือด สารพิษดังกล่าวยังสามารถส่งผลต่อคนรุ่นลูกหลาน ของผู้ที่ได้รับหรือได้สัมผัสอีกด้วย
ยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอนเกี่ยวกับปริมาณของ "เอเย่นต์ ออเร้นจ์" ที่โปรยลงในเวียดนาม เนื่องจากมีการนำไปใช้โดยไม่มีการบันทึกเป็นจำนวนมาก แต่ตัวเลขของกองทัพสหรัฐ ที่เปิดเผยในระยะหลังๆ พบว่า มีการนำขึ้นเครื่องบินกับเฮลิคอปเตอร์ ไปโปรยในเขตป่าเวียดนาม ทั้งในเขตป่าไม้เบญจพรรณสมบูรณ์และป่าโกงกางชาย
ทะเล และตามชายฝั่งแม่น้ำโขงในภาคใต้ รวมอย่างน้อย 19 ล้านแกลลอน ใช้มากที่สุดในช่วงปี 2510-2511 จนกระทั่งปี 2514 ภายหลังการเซ็นสัญญาสันติภาพกรุงปารีส จึงได้เลิกใช้ หากคิดเป็นเที่ยวบิน ก็มีการนำสารกำจัดใบไม้มีพิษชนิดนี้ไปโปรยรวมจำนวน 20,000 เที่ยว รวมเป็นพื้นที่ราว 20,000 ตารางกิโลเมตร มีป่าไม้ถูกทำลาย ใบร่วงจนโกร๋นจำนวน 12,500,000 ล้านไร่ ทำลายพืชผลต่างๆ ของราษฎรอีก 1,250,000 ไร่
ยังมีการนำสารพิษชนิดนี้ไปโปรยในพื้นที่ต่างๆ โดยทหารราบ ซึ่งใช้ยานลำเลียงพลหุ้มเกราะบรรทุก อีกจำนวนมากมายหลายเที่ยว ซึ่งยังไม่มีใคร หรือหน่วยใด สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลตัวเลข เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ครบถ้วนทั้งหมด แม้กระทั่งการโปรยจากเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่มีการบันทึกเป็นจำนวนมาก
การศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเวียดนาม และ ด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมรัฐบาลสหรัฐในระยะหลังๆ รวมทั้งการศึกษาโดยหน่วยงานอิสระ และโดยองค์การระหว่างประเทศ ได้พบว่าในเวียดนามปัจจุบัน ยังมีสารไดออกซินตกค้างอยู่ในหลายพื้นที่ ทั้งในดิน ในลำน้ำลำธาร ลำห้วย รวมทั้งในผืนนาการศึกษาได้พบว่าสนามบินอย่างน้อย 6 แห่งที่เคยเป็นฐานทัพอากาศสหรัฐในช่วงสงคราม และ ใช้เป็นแหล่งจัดเก็บ หรือเป็นแหล่งแจกจ่ายสารพิษ ยังคงมีสารตกค้างมากมายจนเกินเลยขีดอันตรายปรกติ
ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐได้รับอนุมัติงบประมาณจากรัฐสภารวมทั้งสิ้น 32 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือคอมมิวนิสต์เวียดนาม จัดเก็บทำลาย หรือ "กักบริเวณ" สารพิษ ในพื้นที่ 3 แห่ง คือ สนามบินนครด่าหนัง สนามบินเบียนหว่า (จ.โด่งนาย) และ สนามบินฝูก๊าต (Phu Cat) เมืองกวีเญิน (Qui Nhan) จ.บี่งดิง (Binh Dinh) จนกระทั่งปี 2554 จึงสามารถดำเนินการที่ด่าหนังได้สำเร็จ เป็นแห่งแรก
ยังไม่มีผู้ใดหรือหน่วยงานใดทราบแน่ชัดอีกเช่นกันว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากสารพิษใน Agent Orange จำนวนทั้งหมดเท่าไรในเวียดนาม รวมทั้งในสหรัฐ แต่การศึกษาโดยทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก ประมาณการว่าเมื่อครั้งที่สหรัฐนำไปโปรยนั้น ตามรายทางที่โปรยลงไป มีชาวเวียดนามอาศัยอยู่ราว 4.8 ล้านคน และ มีทหารกองทัพรัฐบาลเวียดนามใต้ในอดีต เวียดกง และทหารเวียดนามเหนืออีกราว 1 ล้านคน ได้รับสารพิษโดยตรง ในขณะที่สภากาชาดแห่งชาติเวียดนามให้ตัวเลขว่า ปัจจุบันมีชาวเวียดนามราว 3 ล้านที่ได้รับผลกระทบ เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพ ในนั้นยังรวมทั้งเด็กๆ อีกราว 150,000 คน ที่เกิดมาพิกลพิการ โดยเชื่อว่าเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากการได้รับสารไดออกซิน จากรุ่นพ่อและหรือรุ่นปู่ ตั้งแต่ครั้งสงคราม
รัฐบาลสหรัฐได้ปัดปฏิเสธตัวเลขเหล่านี้โดยระบุว่า "ห่างไกลจากความจริง" ทั้งยังปฏิเสธที่จะให้การเยียวยาแก่บุคคลเหล่านี้ โดยระบุว่ายังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่สามารถชี้ชัดได้ว่า สารไดออกซินใน "ฝนเหลือง" นั้น มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการล้มป่วย และ การเกิดมาอย่างผิดปรกติของทารกกว่าแสนคนในเวียดนาม
ส่วนในสหรัฐนั้น กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก ให้ตัวเลขประมาณการว่า ทหารอเมริกันจำนวน 2.8 ล้านคน ที่เคยไปปฏิบัติการ หรือ "ได้เหยียบพื้นดิน" เวียดนาม ระหว่างปี 2505-2518 ล้วนมีโอกาสได้สัมผัสกับสารที่ใช้ในการกำจัดใบไม้ กระทรวงฯ ได้ระบุอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการได้รับผลกระทบเอาไว้จำนวนหนึ่ง และ ถ้าหากทหารผ่านศึกคนใด มีอาการต่างๆ เหล่านั้น ก็จะสามารถขอรับการรักษาพยาบาลเป็นสวัสดิการจากรัฐได้ ซึ่งจำนวนผู้ที่เข้าขอรับการช่วยเหลือมีเพิ่มขึ้นทุกปี
[img]http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000004970502.JPEG[/img]
อ่านต่อที่
http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9580000048680