ปัญหาของงานสีที่พบเจอเสมอๆแทบทุกบ้านและอาคารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเขต กทม.-ปริมณฑล, เขตที่ราบลุ่มภาคกลาง และบริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำ คือ ปัญหาฟิล์มสีหลุดล่อนบริเวณผนังส่วนที่ติดดิน โดยจะไม่เกิดทันที / ทันใดเมื่อก่อสร้างเสร็จใหม่ๆ มักจะเกิดภายหลังการทาสีไปแล้วประมาณ 6-12 เดือน ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะเพ่งเล็งไปที่ "ยี่ห้อสี" เป็นประการแรก และมักทำการซ่อมแซมทาสีใหม่ชนิดขอไปที ตามที่เจ้าของโครงการหรือผู้รับเหมารับผิดชอบการรับประกันงานก่อสร้างอยู่ โดยก็ทิ้งสาเหตุและปัญหาที่จะตามมาเช่นเดิมให้กับเจ้าของบ้านในอีก 6-12 เดือนภายภาคหน้า
ตอนนี้ชาวสมาชิก pantip หลายๆคนที่เป็นเจ้าของบ้าน / อาคาร ประเภท ทาวน์เฮ้าส์ / ทาวน์โฮม ที่ก่อสร้างเป็นอาคาร Lowrise Residence จะพบกันอย่างถ้วนหน้า มาก / น้อยแล้วแต่กรณี คราวนี้ก็แนะนำให้สังเกตุบ้าน / อาคารข้างเคียง จะพบว่ามีผู้คนมากมายที่ร่วมประสบปัญหาชะตากรรมเดียวกัน และบางคนก็คิดว่าตนไม่น่าจะพบเจอสิ่งเหล่านี้เลย >> เพราะอุตส่าห์ควบคุมการก่อสร้างเป็นอย่างดีและเลือกใช้สีที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว
สาเหตุของความเสียหายของงานสีบริเวณดังกล่าว เกิดจากความชื้นใต้ดิน (
ซึ่งก็คิดว่าหลายคนก็พอทราบกันอยู่) และคงคิดว่าไม่สามารถป้องกัน และแก้ไขได้
ปัญหาดังกล่าว นอกจากเกิดจากลักษณะน้ำใต้ดินที่ในเขต กทม.-ปริมณฑล ซึ่งจะมีลักษณะของดินแข็งลึกลงไปเพียง 1-1.5 เมตรเท่านั้น
(ในบางฤดู / บางช่วงเวลาอาจจะลึกเพียง 0.5-1 เมตรเท่านั้น) โดยช่วงที่ลึกต่ำลงไปจะเป็นลักษณะดินโคลน >> ลึกลงไปถึงระดับประมาณ 20-25 เมตร จึงจะถึงชั้นดินดาน (
ใกล้เคียงหิน) และลักษณะดังกล่าวเริ่มทวีขึ้น เพราะการทรุดตัวของชั้นดินในเขตที่ราบลุ่ม (
ใน กทม. ก็จะมากในพื้นที่ทิศตะวันออก > ลาดพร้าว บางกะป บางนา) โดยรุนแรงมากช่วงที่ยังไม่ได้จำกัดเขตการขุดน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ ซึ่งหลังจากเริ่มใช้มาตรการนี้การทรุดตัวก็ชลอตัวลงมาก
"ปัญหาการควบคุมและป้องกันความชื้นสำหรับอาคาร" >>
http://pioneer.chula.ac.th/~yongyudh/lecture/dampness/dampness.html
การก่อสร้างบ้าน / อาคารโดยยกโครงสร้างสูงลอยพ้นระดับดิน จะเป็นการป้องกันปัญหาได้เป็นอย่างดี แต่ก็จะทำให้ค่าก่อสร้างสูงขึ้นมาก จึงยากที่จะหลีกพ้นปัญหาดังกล่าวได้โดยง่ายในระบบการก่อสร้างทั่วๆไป >> คานคอดินคอนกรีตและโดยเฉพาะประเภทผนังที่ใช้จะเป็นวัสดุที่จะดูดซับความชื้นขึ้นมาได้มากน้อยต่างกัน กล่าวคือ
>> ผนังที่ก่อด้วยอิฐมวลเบา ซึ่งมีลักษณะเนื้อพรุนมาก ก็จะดูดซับความชื้นจากใต้ดินได้ดี
>> ผนังที่ก่อด้วยอิฐมอญ / อิฐชลบุรี ซึ่งก็มีลักษณะเนื้อพรุนพอควร ก็จะดูดซับได้พอสมควร
>> ผนังที่สร้างด้วยคอนกรีตสำเร็จรูป (
Precast Concrete) ซึ่งมีลักษณะเนื้อแน่นมาก จะมีการดูดซับน้อยกว่าวัสดุอื่นๆ
จากอุปสรรคเรื่องค่าก่อสร้างที่สูงมากสำหรับการป้องกันความเสียหายจากความชื้นใต้ดินอย่างเต็มระบบ จึงไม่ค่อยพบเห็นเท่าไหร่นัก (
ยกเว้นอาคารสำคัญๆ) โดยทั่วไปก็เพียงนึกถึงการใช้ "น้ำยากันซึม" ผสมในคอนกรีตโครงสร้างเท่านั้น >> ซึ่งไม่สามารถป้องกันการดูดซับความชื้นลักษณะแบบนี้ได้
บางครั้ง พบว่าเจ้าของบ้าน / อาคาร ก็คิดวิธีแก้ไขปัญหา >> โดยใช้การปู / บุกระเบื้องผนังบริเวณดังกล่าวแทนการทาสี แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เสมอไป หากการติดตั้งนั้นไม่สูงพอ
ปัญหาสีหลุดล่อนบริเวณดังกล่าว จะมีมาก / น้อยนั้น นอกจากจะขึ้นกับปัญหาระดับน้ำใต้ดินแล้ว ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพสีบางส่วนด้วย . . . ซึ่งก็แปลก ! ? ! >> กลับเป็นว่า สีคุณภาพต่ำๆ / ราคาถูกๆ กับพบปัญหาน้อยกว่า / ช้ากว่า สีคุณภาพดีๆ / ราคาสูงๆ >>>> เพราะ สีคุณภาพต่ำๆจะมีฟิล์มสีที่ไม่แน่น มีรูพรุนในเนื้อฟิล์มสีมากกว่าสีคุณภาพสูงๆ จึงทำให้ทนความชื้น หรือให้ความชื้นพอคายผ่านฟิล์มสีออกมาได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตจำหน่ายสี ที่มีผลกระทบโดยตรงร่วมกับเจ้าของบ้านและอาคาร จึงได้พัฒนาสีคุณภาพสูงที่ทนทานกับความชื้นดังกล่าวขึ้นมา โดยจะใช้นวัตกรรมสีที่มี "
ฟิล์มสีหายใจได้" หรือ Breathable Film เพื่อที่ให้ความชื้นสามารถระบาย / คายออกมาได้บ้าง ปัญหาก็พอบรรเทาสำหรับบริเวณที่มีความชื้นใต้ดินไม่รุนแรงนัก แต่ก็ยังพบว่ายังมีอีกมากที่ยังใช้สู้กับปัญหาดังกล่าวไม่ได้ดีเท่าที่ควร
ปัจจุบันผู้ผลิต/จำหน่ายสี (โ
ดยเฉพาะของคนไทย / Local Brand) ได้ออกผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความชื้นในผนังปูนออกมาวางขายคู่กับสีทาอาคารกันแล้ว อาทิ TOA, Captain และ CIC เป็นต้น คือ "
น้ำยารองพื้นปูน ป้องกันความชื้น" โดยสำหรับบ้าน / อาคารใหม่ ก็ใช้ทาชุ่มๆบนผนังปูนบริเวณติดดินขึ้นมาประมาณ 1-1.5 เมตร ทิ้งในแห้งประมาณ 1 วัน (
ไม่ควรปล่อยทิ้งโดนแดด / โดนฝนนานหลายวัน) แล้วจึงเริ่มทาสีรองพื้นและสีทับหน้าต่อไป >> จากเดิมที่ฟิล์มสีจะสามารถทนทานต่อความชื้นในผนังได้ไม่เกิน 14% ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 35-70% (
แล้วแต่ละยี่ห้อ / แต่ละรุ่น)
แนะนำดูรายละเอียด >>>
https://bit.ly/2C63w2V และ >>>
https://bit.ly/2V7WwQK
หมายเหตุ : ขนาดบรรจุ 5 ลิตร ราคาขายประมาณ 800-1,000 บาท/แกลลอน >> บ้านเดี่ยวทั่วๆไปใช้เพียง 1 แกลลอน
แต่สำหรับบ้าน / อาคารเก่า จะค่อนข้างยุ่งยากกว่า เพราะจำเป็นต้องขัดล้างและขูดลอกฟิล์มสีที่เสียหาย และฟิล์มสีระดับ 1-1.5 เมตรทั้งหมดออกให้เกลี้ยง (
หรือก็อย่างน้อย 80-90%) เพื่อที่น้ำยาจะได้ซึมซับเข้าไปในเนื้อปูนได้ดี (
ไม่ได้ประโยชน์หากทาน้ำยาทับลงบนฟิล์มสี)
แนะนำดู
https://www.youtube.com/watch?v=p012wb6pi4Y
แล้วแนะนำให้ทาสีใหม่ โดยควรเลือกใช้คู่กับสีที่มีคุณสมบัติฟิล์มสีหายใจได้ (
Breathable Film) ที่มีประสิทธิภาพให้ความชื้นสามารถคายผ่านฟิล์มสีออกมาได้ โดยไม่ทำลายการยึดเกาะของฟิล์มสี อาทิ TOA : Extra Shield หรือ Captain : Repaint TriShield เป็นต้น โดยใช้สีรองพื้นตามที่ยี่ห้อนั้นๆกำหนดมา
แนะนำดู >>>
https://bit.ly/2PcIF66 และ >>>
https://bit.ly/2Va4SHi
หมายเหตุ : อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาแบบนี้จะต้านทานความชื้นในผนังได้ไม่เกิน 35-70% (
สีทั่วไป ได้ไม่เกิน 14%), หากความชื้นเกิน 70% คงไม่ใช่ปัญหาความชื้นใต้ดินอย่างเดียวแล้ว น่าจะมีปัญหาความชื้นจากสาเหตุอื่นมาร่วมด้วย อาทิ การรั่วซึมของระบบสุขาภิบาล เป็นต้น
สุดท้ายนี้ หวังว่าสมาชิกชาว pantip ที่กำลังจะปลูกสร้างบ้าน / อาคารใหม่กันอยู่ หรือที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าวในบ้าน / อาคารเก่า คงพอเข้าใจสาเหตุของปัญหา และวิธีแก้ไขกันอย่างถูกวิธี (
โดยเสีย คชจ.ไม่มาก) กันแล้วนะครับ
[SR] ปัญหาฟิล์มสีหลุดล่อน บริเวณชายล่างผนังชั้นล่าง
ตอนนี้ชาวสมาชิก pantip หลายๆคนที่เป็นเจ้าของบ้าน / อาคาร ประเภท ทาวน์เฮ้าส์ / ทาวน์โฮม ที่ก่อสร้างเป็นอาคาร Lowrise Residence จะพบกันอย่างถ้วนหน้า มาก / น้อยแล้วแต่กรณี คราวนี้ก็แนะนำให้สังเกตุบ้าน / อาคารข้างเคียง จะพบว่ามีผู้คนมากมายที่ร่วมประสบปัญหาชะตากรรมเดียวกัน และบางคนก็คิดว่าตนไม่น่าจะพบเจอสิ่งเหล่านี้เลย >> เพราะอุตส่าห์ควบคุมการก่อสร้างเป็นอย่างดีและเลือกใช้สีที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว
สาเหตุของความเสียหายของงานสีบริเวณดังกล่าว เกิดจากความชื้นใต้ดิน (ซึ่งก็คิดว่าหลายคนก็พอทราบกันอยู่) และคงคิดว่าไม่สามารถป้องกัน และแก้ไขได้
ปัญหาดังกล่าว นอกจากเกิดจากลักษณะน้ำใต้ดินที่ในเขต กทม.-ปริมณฑล ซึ่งจะมีลักษณะของดินแข็งลึกลงไปเพียง 1-1.5 เมตรเท่านั้น (ในบางฤดู / บางช่วงเวลาอาจจะลึกเพียง 0.5-1 เมตรเท่านั้น) โดยช่วงที่ลึกต่ำลงไปจะเป็นลักษณะดินโคลน >> ลึกลงไปถึงระดับประมาณ 20-25 เมตร จึงจะถึงชั้นดินดาน (ใกล้เคียงหิน) และลักษณะดังกล่าวเริ่มทวีขึ้น เพราะการทรุดตัวของชั้นดินในเขตที่ราบลุ่ม (ใน กทม. ก็จะมากในพื้นที่ทิศตะวันออก > ลาดพร้าว บางกะป บางนา) โดยรุนแรงมากช่วงที่ยังไม่ได้จำกัดเขตการขุดน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ ซึ่งหลังจากเริ่มใช้มาตรการนี้การทรุดตัวก็ชลอตัวลงมาก
"ปัญหาการควบคุมและป้องกันความชื้นสำหรับอาคาร" >> http://pioneer.chula.ac.th/~yongyudh/lecture/dampness/dampness.html
การก่อสร้างบ้าน / อาคารโดยยกโครงสร้างสูงลอยพ้นระดับดิน จะเป็นการป้องกันปัญหาได้เป็นอย่างดี แต่ก็จะทำให้ค่าก่อสร้างสูงขึ้นมาก จึงยากที่จะหลีกพ้นปัญหาดังกล่าวได้โดยง่ายในระบบการก่อสร้างทั่วๆไป >> คานคอดินคอนกรีตและโดยเฉพาะประเภทผนังที่ใช้จะเป็นวัสดุที่จะดูดซับความชื้นขึ้นมาได้มากน้อยต่างกัน กล่าวคือ
>> ผนังที่ก่อด้วยอิฐมวลเบา ซึ่งมีลักษณะเนื้อพรุนมาก ก็จะดูดซับความชื้นจากใต้ดินได้ดี
>> ผนังที่ก่อด้วยอิฐมอญ / อิฐชลบุรี ซึ่งก็มีลักษณะเนื้อพรุนพอควร ก็จะดูดซับได้พอสมควร
>> ผนังที่สร้างด้วยคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ซึ่งมีลักษณะเนื้อแน่นมาก จะมีการดูดซับน้อยกว่าวัสดุอื่นๆ
จากอุปสรรคเรื่องค่าก่อสร้างที่สูงมากสำหรับการป้องกันความเสียหายจากความชื้นใต้ดินอย่างเต็มระบบ จึงไม่ค่อยพบเห็นเท่าไหร่นัก (ยกเว้นอาคารสำคัญๆ) โดยทั่วไปก็เพียงนึกถึงการใช้ "น้ำยากันซึม" ผสมในคอนกรีตโครงสร้างเท่านั้น >> ซึ่งไม่สามารถป้องกันการดูดซับความชื้นลักษณะแบบนี้ได้
บางครั้ง พบว่าเจ้าของบ้าน / อาคาร ก็คิดวิธีแก้ไขปัญหา >> โดยใช้การปู / บุกระเบื้องผนังบริเวณดังกล่าวแทนการทาสี แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เสมอไป หากการติดตั้งนั้นไม่สูงพอ
ปัญหาสีหลุดล่อนบริเวณดังกล่าว จะมีมาก / น้อยนั้น นอกจากจะขึ้นกับปัญหาระดับน้ำใต้ดินแล้ว ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพสีบางส่วนด้วย . . . ซึ่งก็แปลก ! ? ! >> กลับเป็นว่า สีคุณภาพต่ำๆ / ราคาถูกๆ กับพบปัญหาน้อยกว่า / ช้ากว่า สีคุณภาพดีๆ / ราคาสูงๆ >>>> เพราะ สีคุณภาพต่ำๆจะมีฟิล์มสีที่ไม่แน่น มีรูพรุนในเนื้อฟิล์มสีมากกว่าสีคุณภาพสูงๆ จึงทำให้ทนความชื้น หรือให้ความชื้นพอคายผ่านฟิล์มสีออกมาได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตจำหน่ายสี ที่มีผลกระทบโดยตรงร่วมกับเจ้าของบ้านและอาคาร จึงได้พัฒนาสีคุณภาพสูงที่ทนทานกับความชื้นดังกล่าวขึ้นมา โดยจะใช้นวัตกรรมสีที่มี "ฟิล์มสีหายใจได้" หรือ Breathable Film เพื่อที่ให้ความชื้นสามารถระบาย / คายออกมาได้บ้าง ปัญหาก็พอบรรเทาสำหรับบริเวณที่มีความชื้นใต้ดินไม่รุนแรงนัก แต่ก็ยังพบว่ายังมีอีกมากที่ยังใช้สู้กับปัญหาดังกล่าวไม่ได้ดีเท่าที่ควร
ปัจจุบันผู้ผลิต/จำหน่ายสี (โดยเฉพาะของคนไทย / Local Brand) ได้ออกผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความชื้นในผนังปูนออกมาวางขายคู่กับสีทาอาคารกันแล้ว อาทิ TOA, Captain และ CIC เป็นต้น คือ "น้ำยารองพื้นปูน ป้องกันความชื้น" โดยสำหรับบ้าน / อาคารใหม่ ก็ใช้ทาชุ่มๆบนผนังปูนบริเวณติดดินขึ้นมาประมาณ 1-1.5 เมตร ทิ้งในแห้งประมาณ 1 วัน (ไม่ควรปล่อยทิ้งโดนแดด / โดนฝนนานหลายวัน) แล้วจึงเริ่มทาสีรองพื้นและสีทับหน้าต่อไป >> จากเดิมที่ฟิล์มสีจะสามารถทนทานต่อความชื้นในผนังได้ไม่เกิน 14% ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 35-70% (แล้วแต่ละยี่ห้อ / แต่ละรุ่น)
แนะนำดูรายละเอียด >>> https://bit.ly/2C63w2V และ >>> https://bit.ly/2V7WwQK
หมายเหตุ : ขนาดบรรจุ 5 ลิตร ราคาขายประมาณ 800-1,000 บาท/แกลลอน >> บ้านเดี่ยวทั่วๆไปใช้เพียง 1 แกลลอน
แต่สำหรับบ้าน / อาคารเก่า จะค่อนข้างยุ่งยากกว่า เพราะจำเป็นต้องขัดล้างและขูดลอกฟิล์มสีที่เสียหาย และฟิล์มสีระดับ 1-1.5 เมตรทั้งหมดออกให้เกลี้ยง (หรือก็อย่างน้อย 80-90%) เพื่อที่น้ำยาจะได้ซึมซับเข้าไปในเนื้อปูนได้ดี (ไม่ได้ประโยชน์หากทาน้ำยาทับลงบนฟิล์มสี)
แนะนำดู https://www.youtube.com/watch?v=p012wb6pi4Y
แล้วแนะนำให้ทาสีใหม่ โดยควรเลือกใช้คู่กับสีที่มีคุณสมบัติฟิล์มสีหายใจได้ (Breathable Film) ที่มีประสิทธิภาพให้ความชื้นสามารถคายผ่านฟิล์มสีออกมาได้ โดยไม่ทำลายการยึดเกาะของฟิล์มสี อาทิ TOA : Extra Shield หรือ Captain : Repaint TriShield เป็นต้น โดยใช้สีรองพื้นตามที่ยี่ห้อนั้นๆกำหนดมา
แนะนำดู >>> https://bit.ly/2PcIF66 และ >>> https://bit.ly/2Va4SHi
หมายเหตุ : อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาแบบนี้จะต้านทานความชื้นในผนังได้ไม่เกิน 35-70% (สีทั่วไป ได้ไม่เกิน 14%), หากความชื้นเกิน 70% คงไม่ใช่ปัญหาความชื้นใต้ดินอย่างเดียวแล้ว น่าจะมีปัญหาความชื้นจากสาเหตุอื่นมาร่วมด้วย อาทิ การรั่วซึมของระบบสุขาภิบาล เป็นต้น
สุดท้ายนี้ หวังว่าสมาชิกชาว pantip ที่กำลังจะปลูกสร้างบ้าน / อาคารใหม่กันอยู่ หรือที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าวในบ้าน / อาคารเก่า คงพอเข้าใจสาเหตุของปัญหา และวิธีแก้ไขกันอย่างถูกวิธี (โดยเสีย คชจ.ไม่มาก) กันแล้วนะครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้