จะแต่งงาน แต่ทางบ้านเรียกสินสอดมากกว่าเงินที่มีและไม่ให้สินสอดคืนจะทำอย่างไรดีคะ

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกเลยนะคะ ผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยค่ะ

สวัสดีค่ะ เราเป็นฝ่ายหญิงนะคะ อายุ27ปี ฝ่ายชายอายุเท่ากันค่ะ เราคบกันมาเกือบ10ปีแล้วค่ะ ทางบ้านของทั้ง2ฝ่ายก็ไม่ถึงขนาดสนิทกัน แต่ก็ดูเข้ากันได้ดีค่ะ ตอนนี้เราทั้งคู่ทำงานในกทม. ฝ่ายชายทำงานมาได้3ปีกว่าๆ เงินเดือนประมาน 30,000-40,000 บาท เ ไม่มีทรัพย์สินอะไรที่ได้จากทางบ้าน ตอนนี้มีรถ1คัน กำลังผ่อนอยู่ค่ะ เราเองทำงานมาได้2ปี เงินเดือนประมาณ 40,000-80,000 บาท ยังไม่มีทรัพย์สินค่ะ 

ตอนนี้เราสองคนเก็บเงินได้รวมกันประมาน 8 แสน คิดว่าจะแต่งงานกันแพลนว่าอาจจะเป็นปีหน้า เลยลองเปรยๆถามแม่ดูว่าจะเรียกสินสอดประมาณเท่าไหร่ ตอนแรกแม่จะเรียกประมาณ5 แสน (เมื่อประมาน1-2 ปีที่แล้ว)แต่พอมาถามอีกในปีนี้ ก็อยากจะเพิ่มเป็น1ล้าน ชอบบอกว่าในหมู่บ้านคนขายผักที่ตลาดเพิ่งแต่งงานสินสอด5-6แสนเลยนะ จะพูดเรื่องแบบนี้เรื่อยๆ เหมือนเป็นการกดดันเรา และจากที่ฟังมาคาดว่าแม่น่าจะเก็บเงินสินสอดไว้เอง ไม่ได้คืนให้ค่ะ (แม่เราเป็นคนที่ค่อนข้างกลัวว่าคนจะนินทา บ้านในต่างจังหวัดจะค่อนข้างรู้เรื่องกันหมด ใครจะแต่งงาน ใครได้สินสอดเท่าไหร่ ใครเลิกกัน ) เงินสินสอดแม่บอกว่าเราห้ามช่วยฝ่ายชายจ่าย เป็นหน้าที่เค้าต้องเป็นคนหาเอง  แต่เราก็ช่วยกันเก็บแต่ไม่ได้บอกแม่ค่ะ แม่เราน่าจะอยากให้เราได้คนรวยๆจะได้สบายๆ จะพูดให้ฟังบ่อยๆว่าลูกคนนั้นคนนี้ได้แฟนรวย สบายไปทั้งชาติ แต่เราก็ได้พูดถึงข้อดีของแฟนเราว่าเป็นคนดี ดูแลเราอย่างดีตลอดมา มีหน้าที่การงานที่ดี และแม่ก็ได้เห็นและยอมรับว่าแฟนเราเป็นคนดี 

ตอนนี้แพลนกันว่าจะแต่งงาน ซื้อบ้านในปีหน้า แต่เงินเก็บก็ยังมีไม่เยอะ จะซื้อบ้านก็คงต้องมีเงินเก็บสักหน่อย และถ้าแต่งงานอีก เงินเก็บทั้งหมดก็จะต้องใช้เป็นเงินสินสอดและค่าจัดงาน เลยเหมือนว่าจะต้องเริ่มเก็บเงินใหม่  ซึ่งตลอดที่ผ่านมาเงินเก็บทั้งหมดเค้าก็ให้เป็นชื่อเรา  เราก็เห็นใจทางฝ่ายชายที่จะต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดมาเป็นค่าสินสอดเรา

เราควรทำอย่างไรดีคะ หรือจะมีวิธีพูดคุยกับแม่อย่างไรดีคะ ช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3



จากที่คุณเล่ามา
ความเห็นผม อาจผิดประเพณีไปหน่อย บอกไว้ล่วงหน้าเลยนะครับ

1. คุณทั้ง 2 คนรักกันดี ไม่มีปัญหาเรื่องชีวิตคู่ ในส่วนตัว ใช่หรือไม่ครับ

2. คุณต่างก็ทำงานกันในกรุงเทพ ... แล้วมีโครงการ จะกลับไปอยู่หรือทำงานที่จังหวัดบ้านเกิดบ้างหรือไม่ครับ
    (เพราะเห็นมีการวางโครงการซื้อบ้าน)

3. ถ้า.... ไม่จัดงานแต่งงาน ... คุณทั้งคู่ ก็ใช้ชีวิตอยู่กินด้วยกันอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ครับ

4. ที่จะจัดงานแต่งงาน .. เพราะอะไรครับ  เกรงใจแม่ อยากทำตามประเพณี แค่นั้น
    จะล่มจม  / เงินไม่เหลือ / ชีวิตคู่พัง ... ก็ไม่สน ใช่หรือไม่ครับ

5. แค่จดทะเบียนสมรส เพียงพอหรือไม่ครับ

6. ครอบครัวทั้ง 2 ฝ่ายทราบแล้วว่า คุณอยู่กินด้วยกัน ใช่หรือไม่ครับ

7. ฝั่งตัวคุณ(ฝ่ายหญิง) เป็นลูกคนเดียวหรือลูกคนที่เท่าไร ครับ แล้วมีพี่น้องชายหญิงกี่คน

8. ตอนนี้ คุณแม่ .. มีใครดูแลบ้างครับ

9. หากคุณเก็บเงิน ค่าจัดงานแต่ง ค่าสินสอดทั้งหมด แล้วไม่รู้ไม่ชี้.... จดทะเบียนสมรสกันเอง (หากตกลงกันเอง ได้ว่า อยากจด)
    จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ครับ

    แล้วเอาเงินที่จะต้องจัดงาน ทั้งหมด ที่จะต้องเป็นสินสอดทั้งหมด สร้างเนื้อ สร้างตัว สร้างฐานะ สร้างทรัพย์สิน สร้างบ้าน ซื้อบ้าน
    แทนที่จะ เอาเงินไปถลุงกับการจัดงาน แล้ว มามีปัญหาครอบครัว(กับสามี) ในภายหลัง
    หรือมีปัญหาเรื่องการเงินในภายหลัง

    หากเมื่อฐานะดีมั่นคงแล้ว คุณอาจรับคุณแม่มาอยู่ด้วย (ขึ้นอยู่กับว่า มีพี่น้องกี่คนด้วย)
    หรือ กลับไปเยี่ยมบ้าน ไปหาแม่ ด้วยความภาคภูมิใจ ที่จะให้ทุกคนได้เกรงใจ ด้วยฐานะความเป็นอยู่คุณ
    มิใช่ด้วย ว่า คุณแม่คุณได้สินสอดกี่ล้าน / มิใช่ด้วยการจัดงานใหญ่โต จนเงินหมด




แน่นอนว่า ความเห็นผม ไปในทางชี้นำ ครับ
และ ผมแทบจะไม่กล่าวถึงฝ่ายชายเลย ว่า คุณต้องเกรงใจเขา หรือ จะใช้เงินเขาหรืออะไรอยา่งไร


เพราะสิ่งที่ผมแนะนำ ผมมองว่า คุณสองคน คือ คนเดียวกันคู่ชีวิตกัน คบกันมาเป็นสิบปีแล้ว
ย่อมต้องมีความคิดที่จูนหากันได้ ปรึกษาหารือกันได้ดี จึงได้ครองคู่กันมาได้นานขนาดนี้
ดังนั้น คุณย่อมต้องคิดด้วยตนเอง แทนฝ่ายชายได้เลย


ความคิดเห็นที่ 1
ดูท่าทางแม่คุณแล้ว ขายลูกกิน เน้นหน้าตาของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง และความรู้สึกของคุณเท่าไรเลยครับ อยากจะเด่น อยากจะมี เอาไปอวดร่ำอวดรวยคนอื่นได้ คุณกับแฟนจะยังไง เขาก็ไม่สนใจอะไร เหมือนมีลูกเป็นเครื่องประดับ ให้มีหน้ามีตาในสังคม

ดูแฟนคุณแล้ว ดีมากนะครับ ที่เชื่อใจคุณ โดยให้ทุกอย่างเป็นชื่อของคุณ แล้วก็ตั้งใจที่จะสร้างอนาคตกันจริงๆ แนะนำนะครับ อย่าให้แม่คุณมามีอิทธิพลกับคุณและแฟนมากมายครับ การแต่งงานให้เป็นหน้าเป็นตา ไม่ใช่การกตัญญูรู้คุณครับ

ถ้าขืนทำตามใจแม่ทุกอย่าง ระวังคุณกับแฟนจะมีปัญหากันเสียเองครับ ถ้ามั่นใจในกันและกันแล้วจริงๆ จดทะเบียนกันก่อนก็ได้ครับ ซื้อบ้านกันก่อนก็ได้ สร้างอนาคตกันแบบถูกกฏหมายไปก่อน เรื่องพิธีค่อยว่ากัน

แล้วเรื่องสินสอดนะครับ ไม่เข้าใจจริงๆครับ ว่ามันคือค่าอะไร เก็บเงินสร้างอนาคตมาด้วยกันอย่างเหนื่อย จู่ๆคุณจะยกให้แม่คุณหมดงั้นหรอ เหนื่อยแทนเลยครับ แค่ส่งเงินให้แม่ทุกเดือนมันก็น่าเพียงพอแล้ว สรุปมันคือเงินที่สร้างอนาคตให้ครอบครัวคุณฝ่ายเดียวหรอครับ

ค่าสินสอด คืออะไร คือการให้เกียรติฝ่ายหญิง แล้วฝ่ายชายไม่มีเกียรติหรอครับ ถ้าบอกมันคือค่าน้ำนม แล้วผู้ชายโตมากับน้ำเปล่าหรอครับ ถ้าแม่คุณหวังแต่เงินแต่ทอง แต่หน้าตาตัวเอง โดยไม่สนความเป็นจริงขนาดนี้ ไม่ต้องแต่งให้เยอะวุ่นวายหรอกครับ

สงสารแฟนคุณนะครับ ทำงานเหนื่อยแทบตาย แต่ต้องเอาเงินไปให้แม่คุณทั้งหมด ทั้งๆที่ สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยลำแข็งตัวเอง ไม่ได้มีฐานะจากทางบ้านมาซัพพอต
ความคิดเห็นที่ 27
ขอเล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังได้มั้ยคะ

เพื่อนเราตอนแต่งงานฝั่งผู้หญิงก็มีปัญหาเรื่องสินสอด(แม่ฝ่ายหญิงเหมือนจขกท.เลย เรียกเงินโอเว่อร์)
ส่วนฝ่ายชายเป็นต่างชาติ

ตอนนั้นทั้งคู่อยู่ต่างประเทศ ตัดสินใจจะแต่งงานกัน คนรอบข้างรู้หมดแล้ว
พอมีปัญหานี้ฝ่ายหญิงตัดสินใจไม่กลับไทยเลย แต่งงานที่ตปท.เลย แล้วบอกครอบครัวว่าค่อยกลับไปจัดที่ไทยทีหลัง
ลำบากเพื่อนฝูงในการหาตั๋วไปงานแต่งมันมาก จนทุกวนนี้ 3-4 ปีแล้วมันยังไม่ได้แต่งงานที่ไทยเลยค่ะ
ชอบพูดกับเราเล่นๆว่ารอแม่มันเลิกเรียกเงินก่อนค่อยว่ากัน (ถ้าพูดแรงๆคือมันบอกว่ารอแม่มันตายก่อนมันค่อยกลับมาจัดที่ไทย)

กรณีเพื่อนเรามันค่อนข้างหัวแข็ง เรื่องแบบนี้คนนอกแนะนำไปก็เท่านั้นอ่ะค่ะ
เพราะคนตัดสินใจคือจขกท.
แต่ถ้าให้มองมุมคนนอกเราว่าถ้าไม่เคลียร์ตั้งแต่วันนี้อนาคตมีปัญหาแน่นอนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 14
ถ้า จขกท สู้แม่ไม่ได้ บอกเลยว่ายาก ผู้ชายอยู่ยาก อนาคตอาจจะต้องเลิกกันค่ะ
ความคิดเห็นที่ 2
ถ้ารักกันจริง จูงมือไปจดทะเบียนสมรสเลยค่ะ เงินนั้นเอามาดาวน์บ้านเป็นเรือนหอ อายุไม่น้อยแล้วหากเอาไปละลายอีกไม่รู้เมื่อไหร่จะหามาได้อีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่