หลายคนคงเห็นกระทู้เกี่ยวโรคทางอารมณ์มาหลายกระทู้ แต่กระทู้นี้เราอยากเล่าจากคนอ่อนแอเคยฆ่าตัวตาย สู่การกลับมาสู้เพื่อยืนหยัดการมีชีวิตต่อ
เรามีอาการนอนไม่หลับเลย หรือหลับได้ 1 ชั่วโมงตื่น หลับก็หลับไม่สนิท เป็นอย่างนี้มา 4 เดือนกว่า ความคิดแล่น มีโปรเจคในหัวมากมาย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตัวเองไร้ค่า ด้อยคุณค่า ไม่มีอะไรดีเลย ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเราเพิ่งลดน้ำหนักได้สำเร็จ ด้วยการออกกำลังกายและคุมอาหาร แต่เนื่องจากงานที่กดดันอย่างมาก ซึ่งเราคิดเอาเองว่าน่าจะเพราะเรื่องงาน และเราเป็นคนไม่มีเพื่อน หรือแม้แต่คนให้ปรึกษา ปรึกษาครอบครัวก็ยิ่งไปกันใหญ่เพราะกลัวและไม่ไว้ใจ
เราเลยตัดสินไปหาหมอ เล่าให้หมอฟัง หมอที่ว่าเป็นหมอโรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัด เจอหมอทุกวันพุธในช่วง 2 สัปดาห์แรก อาการเราไม่ดีขึ้นเลย ต่อมาคุณหมอเลยให้พบนักจิตเวชด้วย ซึ่งครั้งแรกก็พบนั่นแหละค่ะแต่ไม่ได้พบนานแบบจิตบำบัด จะบอกว่าการมา รพ แต่ละทีใช้เวลานานมาก แต่เราก็เข้าใจค่ะ รพ รัฐ เมื่อเราพบนักจิตวิทยา เธอก็ค่อย ๆ เปิดอ่านจิตใจเราไปทีละหน้าด้วยคำถามง่าย ๆ อย่างสัปดาห์ที่แล้วทำอะไรมาก ชอบทำอะไรบ้าง กลัวอะไรบ้าง เราก็เล่าให้ฟังว่าหลังจากเรากินยา เรามีการตื่นตระหนกกับเสียงดัง หูแว่ว และขยะแขยงความสกปรกในห้องน้ำตัวเอง และเหมือนน้ำท่อแตก เราให้ฟังว่าเราเคยถูกข่มขืนตอนอายุ 15 ปี โดยพี่ชายต่างแม่ และไม่กล้าบอกใครจนเราอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เมื่อบอกพ่อ พ่อไม่เชื่อคิดว่าเราสมยอม พอบอกแม่ แม่ก็ทำอะไรไม่ได้และโกรธมันที่ทำร้ายเรา แต่เรา3 คน พ่อ แม่ ลูก ก็เก็บมันไว้ใต้พรม เราเป็นพี่คนโตค่ะ ทุกความคาดหวังมันมาลงที่เราหมด เราไม่เคยเล่าความทุกข์ใจให้ทางบ้านฟัง
หลังจากที่เราพบนักจิตวิทยา ทางนักจิตก็ทำนัดขอพูดคุยกับคุณแม่ค่ะ หลังจากคุย แม่เราก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป พยายามไม่ด่าเรามาก ใจเย็นกับเรา แต่ยังไงบอกตรง ๆ ว่าเราก็ไม่ไว้ใจค่ะ ในใจเรากลัวว่าแม่จะแค่แกล้งทำ
เรารักษาที่ รพ นี้มา 2 ปี อาการทรง ๆ ทรุด ๆ หลัง ๆ ได้พบหมอ 6 เดือนครั้ง และครั้งสุดท้ายคือเว้นมา 1 ปี น้ำหนักเราเพิ่มขึ้น เบื่อ และฆ่าตัวตายในที่สุด เคยทำงาน (ที่ใหม่) จนสลบในที่ทำงาน แล้วไปอาละวาดที่ รพ อำเภอ โดนฉีด แวเลี่ยม และเคยชักที่ รพ รัฐที่เรารักษาอยู่
เหมือนฟ้ามาโปรด เรายอมคุยกับแม่มากขึ้น เปิดใจ และเปลี่ยน รพ ค่ะ จาก รพ รัฐ เป็น รพ เอกชนใหญ่ในจังหวัด ได้เข้าพบหมอ และหมอต้องการประวัติการรักษาที่ รพ เดิม เราก็ไปขอ แต่ต้องขอจากหมอที่ทำการรักษา และเราก็ไม่เคยได้เจอหมอเลย แต่ในระหว่างนั้นเราเอายาที่เราเคยได้จากหมอ รพ รัฐ ให้หมอ รพ ใหม่ดู หมอวินิจฉัยว่าเราเป็นโรคไบโพลาร์ และให้กำลังใจว่าเราหายได้แน่นอน และรับปากว่าจะดีขึ้นใน 3 เดือน แต่เราต้องช่วยหมอด้วย
สิ่งที่เราต้องทำคือจดบันทึกอารมณ์ที่ไม่ปกติ อันนี้ไม่จำเป็น นอนให้เร็ว ตื่นเช้า ๆ ออกกำลังกาย นัดพบหมอเดือนละครั้ง มีการปรับยาหลายครั้งค่ะ ตามสภาพอารมณ์เราเลยในแต่ละเดือน บางเดือนก็ไม่ปรับ หมอจะถามว่าที่ผ่านมาทำอะไร อะไรที่เป็นปัญหา ปัญหานั้นเราแก้ยังไง ก็จะประมาณนี้ทุกครั้งจน 2 ครั้งล่าสุดคำตอบเราคือ ปล่อยให้มันเป็นไปตามความจริงค่ะ ไม่ต้องกังวลไปข้าง และไม่ต้องคิดมากเรื่องข้างหลัง และเราก็เปลี่ยนงาน งานปัจจุบันรายได้อาจไม่ดีเท่า แต่ก็อยู่เกณฑ์ดี จนทุกวันนี้เรายังมีอาการร้องไห้บ้าง แต่ก็เฉพาะเมื่อมีเรื่องมากระทบใจ มีการอาการความคิดแล่น พูดเร็วบ้าง หงุดหงิดบ้าง แต่ก็รู้ตัวเร็วและปรับอารมณ์ได้เร็วขึ้น
ยาตอนนี้ที่เรากินมี Serlift 25mg/ Lamictal 100mg/ Trilafon/ Prenarpil/ Trihexyphendyl และเนื่องจากช่วงนี้เรามีอาการปวดศรีษะเนื่องจากนอนไม่เพียงพอ ได้พบหมอระบบประสาทและสมอง หมอให้ยาเพิ่มมาตัวหนึ่งคือ clonazepam กิน 10 วัน ตอนนี้ก็ดีขึ้น นอนหลับเป็นปกติ
สำหรับการออกกำลังกายที่เราใช้ตอนนี้คือ วิ่งวันละ 5-10 กิโลเมตร และ crossfit ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เราได้เจอผู้คนมากขึ้น และตอนนี้เราก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่มีเพื่อน แต่เราโชคดีที่มีแม่ที่รักเรา และแฟนที่คอยเอาใจ ให้เราได้ระบายอารมณ์ใส่ แม้บ้างครั้งเขาจะน้อยใจเราบ้างก็ตาม
สุดท้ายนี้เป้าหมายเราคือลดน้ำหนักให้เหลือ 55 กิโลกรัม ซึ่งตอนนี้ 65 ค่ะ ไว้ถ้าสำเร็จผลเมื่อไหร่จะมาอวดนะคะ สำหรับคนที่เป็นอยู่อย่าท้อค่ะ คิดว่ามีชีวิตเพื่อให้รอดเพื่อให้พบวันพรุ่งนี้ วันนี้เหนื่อยมามากแล้วก็พักผ่อนค่ะ
นอกจากนี้แล้วเราไม่ควรไปโฟกัสที่ผลสุดท้าย แต่เราให้ความสนใจกับระหว่างทางว่าเราทำดีพอแล้วยัง เหนื่อยมากมั้ย ฟังเสียงร่างกายตัวเองค่ะ
เล่าสู่กันฟังจากคนเป็น Bipolar และต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่
เรามีอาการนอนไม่หลับเลย หรือหลับได้ 1 ชั่วโมงตื่น หลับก็หลับไม่สนิท เป็นอย่างนี้มา 4 เดือนกว่า ความคิดแล่น มีโปรเจคในหัวมากมาย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตัวเองไร้ค่า ด้อยคุณค่า ไม่มีอะไรดีเลย ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเราเพิ่งลดน้ำหนักได้สำเร็จ ด้วยการออกกำลังกายและคุมอาหาร แต่เนื่องจากงานที่กดดันอย่างมาก ซึ่งเราคิดเอาเองว่าน่าจะเพราะเรื่องงาน และเราเป็นคนไม่มีเพื่อน หรือแม้แต่คนให้ปรึกษา ปรึกษาครอบครัวก็ยิ่งไปกันใหญ่เพราะกลัวและไม่ไว้ใจ
เราเลยตัดสินไปหาหมอ เล่าให้หมอฟัง หมอที่ว่าเป็นหมอโรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัด เจอหมอทุกวันพุธในช่วง 2 สัปดาห์แรก อาการเราไม่ดีขึ้นเลย ต่อมาคุณหมอเลยให้พบนักจิตเวชด้วย ซึ่งครั้งแรกก็พบนั่นแหละค่ะแต่ไม่ได้พบนานแบบจิตบำบัด จะบอกว่าการมา รพ แต่ละทีใช้เวลานานมาก แต่เราก็เข้าใจค่ะ รพ รัฐ เมื่อเราพบนักจิตวิทยา เธอก็ค่อย ๆ เปิดอ่านจิตใจเราไปทีละหน้าด้วยคำถามง่าย ๆ อย่างสัปดาห์ที่แล้วทำอะไรมาก ชอบทำอะไรบ้าง กลัวอะไรบ้าง เราก็เล่าให้ฟังว่าหลังจากเรากินยา เรามีการตื่นตระหนกกับเสียงดัง หูแว่ว และขยะแขยงความสกปรกในห้องน้ำตัวเอง และเหมือนน้ำท่อแตก เราให้ฟังว่าเราเคยถูกข่มขืนตอนอายุ 15 ปี โดยพี่ชายต่างแม่ และไม่กล้าบอกใครจนเราอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เมื่อบอกพ่อ พ่อไม่เชื่อคิดว่าเราสมยอม พอบอกแม่ แม่ก็ทำอะไรไม่ได้และโกรธมันที่ทำร้ายเรา แต่เรา3 คน พ่อ แม่ ลูก ก็เก็บมันไว้ใต้พรม เราเป็นพี่คนโตค่ะ ทุกความคาดหวังมันมาลงที่เราหมด เราไม่เคยเล่าความทุกข์ใจให้ทางบ้านฟัง
หลังจากที่เราพบนักจิตวิทยา ทางนักจิตก็ทำนัดขอพูดคุยกับคุณแม่ค่ะ หลังจากคุย แม่เราก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป พยายามไม่ด่าเรามาก ใจเย็นกับเรา แต่ยังไงบอกตรง ๆ ว่าเราก็ไม่ไว้ใจค่ะ ในใจเรากลัวว่าแม่จะแค่แกล้งทำ
เรารักษาที่ รพ นี้มา 2 ปี อาการทรง ๆ ทรุด ๆ หลัง ๆ ได้พบหมอ 6 เดือนครั้ง และครั้งสุดท้ายคือเว้นมา 1 ปี น้ำหนักเราเพิ่มขึ้น เบื่อ และฆ่าตัวตายในที่สุด เคยทำงาน (ที่ใหม่) จนสลบในที่ทำงาน แล้วไปอาละวาดที่ รพ อำเภอ โดนฉีด แวเลี่ยม และเคยชักที่ รพ รัฐที่เรารักษาอยู่
เหมือนฟ้ามาโปรด เรายอมคุยกับแม่มากขึ้น เปิดใจ และเปลี่ยน รพ ค่ะ จาก รพ รัฐ เป็น รพ เอกชนใหญ่ในจังหวัด ได้เข้าพบหมอ และหมอต้องการประวัติการรักษาที่ รพ เดิม เราก็ไปขอ แต่ต้องขอจากหมอที่ทำการรักษา และเราก็ไม่เคยได้เจอหมอเลย แต่ในระหว่างนั้นเราเอายาที่เราเคยได้จากหมอ รพ รัฐ ให้หมอ รพ ใหม่ดู หมอวินิจฉัยว่าเราเป็นโรคไบโพลาร์ และให้กำลังใจว่าเราหายได้แน่นอน และรับปากว่าจะดีขึ้นใน 3 เดือน แต่เราต้องช่วยหมอด้วย
สิ่งที่เราต้องทำคือจดบันทึกอารมณ์ที่ไม่ปกติ อันนี้ไม่จำเป็น นอนให้เร็ว ตื่นเช้า ๆ ออกกำลังกาย นัดพบหมอเดือนละครั้ง มีการปรับยาหลายครั้งค่ะ ตามสภาพอารมณ์เราเลยในแต่ละเดือน บางเดือนก็ไม่ปรับ หมอจะถามว่าที่ผ่านมาทำอะไร อะไรที่เป็นปัญหา ปัญหานั้นเราแก้ยังไง ก็จะประมาณนี้ทุกครั้งจน 2 ครั้งล่าสุดคำตอบเราคือ ปล่อยให้มันเป็นไปตามความจริงค่ะ ไม่ต้องกังวลไปข้าง และไม่ต้องคิดมากเรื่องข้างหลัง และเราก็เปลี่ยนงาน งานปัจจุบันรายได้อาจไม่ดีเท่า แต่ก็อยู่เกณฑ์ดี จนทุกวันนี้เรายังมีอาการร้องไห้บ้าง แต่ก็เฉพาะเมื่อมีเรื่องมากระทบใจ มีการอาการความคิดแล่น พูดเร็วบ้าง หงุดหงิดบ้าง แต่ก็รู้ตัวเร็วและปรับอารมณ์ได้เร็วขึ้น
ยาตอนนี้ที่เรากินมี Serlift 25mg/ Lamictal 100mg/ Trilafon/ Prenarpil/ Trihexyphendyl และเนื่องจากช่วงนี้เรามีอาการปวดศรีษะเนื่องจากนอนไม่เพียงพอ ได้พบหมอระบบประสาทและสมอง หมอให้ยาเพิ่มมาตัวหนึ่งคือ clonazepam กิน 10 วัน ตอนนี้ก็ดีขึ้น นอนหลับเป็นปกติ
สำหรับการออกกำลังกายที่เราใช้ตอนนี้คือ วิ่งวันละ 5-10 กิโลเมตร และ crossfit ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เราได้เจอผู้คนมากขึ้น และตอนนี้เราก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่มีเพื่อน แต่เราโชคดีที่มีแม่ที่รักเรา และแฟนที่คอยเอาใจ ให้เราได้ระบายอารมณ์ใส่ แม้บ้างครั้งเขาจะน้อยใจเราบ้างก็ตาม
สุดท้ายนี้เป้าหมายเราคือลดน้ำหนักให้เหลือ 55 กิโลกรัม ซึ่งตอนนี้ 65 ค่ะ ไว้ถ้าสำเร็จผลเมื่อไหร่จะมาอวดนะคะ สำหรับคนที่เป็นอยู่อย่าท้อค่ะ คิดว่ามีชีวิตเพื่อให้รอดเพื่อให้พบวันพรุ่งนี้ วันนี้เหนื่อยมามากแล้วก็พักผ่อนค่ะ
นอกจากนี้แล้วเราไม่ควรไปโฟกัสที่ผลสุดท้าย แต่เราให้ความสนใจกับระหว่างทางว่าเราทำดีพอแล้วยัง เหนื่อยมากมั้ย ฟังเสียงร่างกายตัวเองค่ะ