การเมาแล้วขับ มันไม่ใช่พยายามฆ่า บ้าไปแล้ว

อย่าเอาอารมณ์ ความสะใจเป็นที่ตั้ง

เจตนาฆ่าคือเล็งเห็นผล ลงมือกระทำแล้ว(ต้องการ)ให้เกิดผล 100% เมาแล้วขับ คืออาจเกิดอุบัติเหตุ 0.5-1% อุบัติเหตุที่เกิดอาจเล็กแค่เฉี่ยวชนไปจนถึงใหญ่โต

พยายามฆ่ามันคือความอำมหิตผิดมนุษย์ กระทำโดยรู้สำนึก ปรารถนาผลแห่งความตาย ต้องการฆ่าปลิดชีวิตผู้อื่น ไร้ซึ่งศีลธรรมและจริยธรรมของความเป็นมนุษย์

มันต้องมีความเป็นธรรมในกฏหมาย มีปรัชญาแห่งการลงโทษ
มันคือข้อเท็จจริงตามหลักการ ต้องให้ความยุติธรรมกับความผิด มันไม่ใช่พยายามฆ่า ให้ผู้เมาแล้วขับ เป็นเจตนาฆ่า รับผิดเกินเลยต่อเหตุแห่งความผิด ซึ่งตกเป็นเหยื่อแห่งความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ตั้งข้อหาตามอำเภอใจ มันคือการใช้อารมณ์ ความสะใจ ความสาสม มันคือนโยบายลดการตายในช่วงเทศกาลของภาครัฐ หรืออาจด้วยผู้ตายเป็นตำรวจ หรือคนใหญ่คนโต ก็แล้วแต่

ผมกลับมองว่า การที่ตำรวจตั้งข้อหา เมาแล้วขับ เป็น เจตนาฆ่า แสดงให้เห็นว่า ในทางกลับกัน ถ้าตำรวจตั้งใจจะยัดข้อหา หรือพยายามทำให้โทษหนัก หรืออ่อน ก็สามารถกระทำกันได้

ถามว่าในทางกลับกันถ้าคนเมาแล้วขับเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับบิ๊ก! เหล่าพนักงานสอบสวนตำรวจด้วยกันก็ไม่แจ้งข้อหาพยายามฆ่าหรอก?

ถ้าเอาตรรกะแบบนี้มาเป็นบรรทัดฐานแห่งความผิดของมนุษย์

- การขับรถฝ่าไฟแดง
- การขับรถย้อนศร
- การเห็นรถสปอร์ตซิ่งแข่งปาดแซงไปมาบนท้องถนน
- แม้กระทั่งการแชทระหว่างขับรถ มันก็คือเจตนาฆ่า ด้วยเหตุผลเหมือนกัน ไม่ต่างในบริบทรวมเลย ถ้ามองว่าเมาแล้วขับ คือเจตนาฆ่า ฉนั้น ผู้ปล่อยให้คนเมาแล้วขับแต่ไม่ยับยั่งห้ามปราม ก็ถือว่าสมรู้ร่วมคิดต่อการเจตนาฆ่าด้วยเช่นกัน ไม่นับเฉพาะผู้ที่นั่งมาด้วยกัน แต่ผู้ที่ร่วมดื่มและรู้ว่าเพื่อนจะกลับโดยขับเอง ซึ่งตามหลักแก่นแท้แห่งการโทษต้องหนักกว่าคนเมาแล้วขับด้วยซ้ำ เพราะคนเมาขาดสติ จึงเกิดการด้อยสติในการยับยั่งชั่งใจ แต่คุณมีสติ แต่ไม่ห้ามปราบ รู้ว่าเขาจะไปเจตนาฆ่า แต่เพิกเฉย

มันคือความประมาทครับ มันคือความเห้ แต่ไม่ใช่ความชั่วจากจิตวิญญาณของมนุษย์ การขโมยสิ่งของๆผู้อื่น เจตนาทำร้ายผู้อื่นจนบาดเจ็บสาหัส ยังชั่วมากกว่าในแง่ของบาป มนุษย์ทุกคนมันมีพลาด แม้ความผิดพลาดนั้น ทำใจยากที่จะให้อภัย 

แต่ในโลกมนุษย์ การตัดสินความผิดมนุษย์ ต้องตามหลักการแห่งความเป็นจริงของมนุษยธรรม ไม่ใช่พิจารณาตามห้วงภาวะที่ถูกครอบงำ หรือด้วยการชี้นำของเป้าหมาย (ลดอัตราการตายในช่วงเทศกาล)

สังคมมันชอบเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
ศาลท่านทำถูกแล้ว กระบวนการยุติธรรม มันตามกระบวนการพิจารณา มันมีดุลยพินิจบนหลักการ แห่งเหตุและผล ไม่ใช่เอาอารมณ์ชี้นำ หรือกระแสสังคมเบี่ยงเบนในการตัดสิน

สังคมจะต้องให้ความสำคัญและตระหนักอย่างใหญ่หลวงว่าการเมาแล้วขับรถคือสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด และควรเพิ่มโทษให้หนัก เพิกถอนใบขับขี่ ห้ามให้ประกันตัว ติดคุก ไม่รอลงอาญา รับผิดชอบต่อญาติผู้เสียหายตลอดชีวิต แต่จะให้พยายามฆ่าซึ่งนั่นคือโทษสุดไปถึงประหารชีวิต หรือติดคุกตลอดชีวิต ออกจะเลอะเทอะ

และสำคัญตรงการบังคับใช้กฏหมายที่มีอยู่ทุกวันนี้ยังทำกันไม่ได้เลย การเพิ่มข้อหาเป็นพยายามฆ่าเป็นการเอาใจประชาชน ยิ่งเป็นช่องทางให้รับศีลบนหนักๆ

ขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและญาติอย่างซาบซึ้ง ผู้กระทำผิดต้องได้รับการลงโทษอย่างสาสม แต่มิใช่พยายามฆ่าครับ

ด้วยความสัจจริง ผู้เขียนไม่รู้จักผู้ก่อเหตุ และเป็นคนไม่ดื่มหล้า

ปล.ผมเชื่อว่า โลกอนาคต จะต้องมีกฏหมายผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก ร่วมกันพัฒนารถยนต์ให้มีระบบคอมพิวเตอร์ เซนเซอร์ตรวจวัดแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ก่อนสตาร์ทรถ ถ้าค่าขึ้นเกินมาตราฐานรถจะสตาร์ทไม่ติด หรือติดแล้ว รถจะจำกัดความเร็วสัมพันธ์กับตัวจับวัดค่าระดับแฮอกอฮอ ด้วยทรัพยากรและเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันมันสามารถทำได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่