การที่หลุมดำมีแรงดึงดูดมหาศาล จนสามารถทำให้เวลาโค้งงอได้ นั่นหมายความว่า เวลาสามารถเดินช้าลงเรื่อยๆจนหยุดนิ่งเมื่อถึงจุดๆหนึ่งของหลุมดำ เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งต่อไปนี้สามารถเกิดขึ้นได้
1. อวกาศไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่า แต่มันมีตัวตน เมื่อมีวัตถุที่มีขนาดใหญ่มากๆๆพอ จะทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง แรงดึงดูดระหว่างมวล ซึ่งไอที่ว่างที่มองไม่เห็นและคือบริเวณที่วัตถุดวงนั้นๆตั้งอยู่นี่แหละ มันจะต้องมีตัวตน ซึ่งปัจจุบันเราเรียกมันว่า dark matter และ dark energy
2. เมื่อหลุมดำสามารถทำให้มิติเวลาบิดเบี้ยว นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่า เวลาเป็นมิติพิเศษ ที่อยู่นอกเหนือการรับรู้3มิติของเรา และสามารถเชื่อมโยงไปได้ว่า มันมีโอกาสที่จักรวาลจะมีขอบเขตและมิติของเวลาจะใช้ได้แค่ในจักรวาลเท่านั้น นอกเหนือจากจักรวาลจะต้องเป็นพื้นที่ว่างมหาศาลที่เวลาไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่แห่งนั้น
3. จากข้อ1และ2 มิติเวลาและสสารมืด พลังงานมืด จะต้องมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทฤษฏี warp จึงมีความเป็นไปได้สูง เพราะเวลาก็สามารถบิดเบี้ยวได้ถ้ามีแรงโน้มถ่วงมากระทำมากพอ ตัวอวกาศ(ที่รู้ตอนนี้คือน่าจะเป็นdark matterและ Dark energy)ก็สามารถบิดเบี้ยวได้เช่นกัน ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะว่า บริเวณไหนมีดาวฤกษ์มวลมากๆ ยึ่งมีแรงดึงดูดระหว่างมวลมาก ดูดให้เข้ามาเป็นระบบสุริยะ ระบบสุริยะเองก็หมุนไปเรื่อยๆตามกาแลคซี่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าตัวกาลอวกาศว่างเปล่าจริงๆ ดาวฤกษ์จะต้องไม่มีแรงดึงดูดระหว่างมวล(ถ้าสมมติฐานผมถูก ถ้ามีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่นอกเหนือจักรวาลจริงๆ แล้วนำดาวฤกษ์ไปวางไว้ ณ ที่แห่งนั้น ดาวฤกษ์ดวงนั้นจะไม่มีแรงดึงดูดระหว่างมวล) และจะไม่วิ่งรอบกาแลคซี่ และกาแลคซี่แต่ละกาแลคซี่ก็จะไม่วิ่งรวมกันเป็นกลุ่มแบบ local group แสดงให้เห็นว่า อวกาศมีตัวตน สามารถบิดเบี้ยวและโค้งงอได้
4. เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะต้องไขความลับบางอย่างของอวกาศและพลังงานต่างๆนี้ให้ออก แล้วเราจะสามารถสร้างเทคโนโลยีการ warp ได้อย่างแน่นอน แต่วิธีการจะเป็นอย่างไร มันจะต้องใช้พลังงานมหาศาลในการบิดกาลอวกาศหรือไม่ หรือ มีวิธีการอื่นๆ นี่แหละเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
ป.ล. ธรรมชาติมีเหตุผลในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆเสมอๆ เมื่อคิดแบบนี้แล้ว มันยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีมนุษย์เราอยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาลและด้วยระยะห่างที่มหาศาลระหว่างดวงดาว มันก็ต้องมีเหตุผลด้วยเช่นกัน ที่ธรรมชาติ ต้องการปิดกั้นการไปมาหาสู่ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งมันอาจจะเป็นการคัดเลือกทางธรรมชาติก็ได้ ที่วัฒนธรรมใดรอดพ้นจากการทำลายตนเอง วัฒนธรรมใดที่ต้องการความรู้ที่บริสุทธิ์ วัฒนธรรมใดๆที่ร่วมมือกันทั้งดวงดาวเพื่อไขความลับของจักรวาล วัฒนธรรมนั้นจึงอาจจะสามารถเดินทางข้ามดวงดาวได้ ก็เป็นได้
** อาจจะดูเพ้อเจ้อไปบ้าง แต่ผมคิดว่า มันยิ่งย้ำชัดเจนเลยว่า อวกาศต้องมีความพิเศษบางอย่างที่เรายังไงไม่ได้ และเมื่อเราไขได้ เทคโนโลยีการเดินทางของเราจะพัฒนาก้าวหน้าไปไกลสุดขีดเลยครับ ผมเชื่อแบบนั้นนะ **
เมื่อเรารู้แน่ชัดแล้วว่าหลุมดำมีอยู่จริงและ space time สามารถโค้งงอ ดังนั้น การวาร์ปยิ่งเป็นไปได้ในความเป็นจริง
1. อวกาศไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่า แต่มันมีตัวตน เมื่อมีวัตถุที่มีขนาดใหญ่มากๆๆพอ จะทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง แรงดึงดูดระหว่างมวล ซึ่งไอที่ว่างที่มองไม่เห็นและคือบริเวณที่วัตถุดวงนั้นๆตั้งอยู่นี่แหละ มันจะต้องมีตัวตน ซึ่งปัจจุบันเราเรียกมันว่า dark matter และ dark energy
2. เมื่อหลุมดำสามารถทำให้มิติเวลาบิดเบี้ยว นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่า เวลาเป็นมิติพิเศษ ที่อยู่นอกเหนือการรับรู้3มิติของเรา และสามารถเชื่อมโยงไปได้ว่า มันมีโอกาสที่จักรวาลจะมีขอบเขตและมิติของเวลาจะใช้ได้แค่ในจักรวาลเท่านั้น นอกเหนือจากจักรวาลจะต้องเป็นพื้นที่ว่างมหาศาลที่เวลาไม่สามารถใช้ได้ในพื้นที่แห่งนั้น
3. จากข้อ1และ2 มิติเวลาและสสารมืด พลังงานมืด จะต้องมีความเกี่ยวข้องกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ทฤษฏี warp จึงมีความเป็นไปได้สูง เพราะเวลาก็สามารถบิดเบี้ยวได้ถ้ามีแรงโน้มถ่วงมากระทำมากพอ ตัวอวกาศ(ที่รู้ตอนนี้คือน่าจะเป็นdark matterและ Dark energy)ก็สามารถบิดเบี้ยวได้เช่นกัน ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะว่า บริเวณไหนมีดาวฤกษ์มวลมากๆ ยึ่งมีแรงดึงดูดระหว่างมวลมาก ดูดให้เข้ามาเป็นระบบสุริยะ ระบบสุริยะเองก็หมุนไปเรื่อยๆตามกาแลคซี่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าตัวกาลอวกาศว่างเปล่าจริงๆ ดาวฤกษ์จะต้องไม่มีแรงดึงดูดระหว่างมวล(ถ้าสมมติฐานผมถูก ถ้ามีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่นอกเหนือจักรวาลจริงๆ แล้วนำดาวฤกษ์ไปวางไว้ ณ ที่แห่งนั้น ดาวฤกษ์ดวงนั้นจะไม่มีแรงดึงดูดระหว่างมวล) และจะไม่วิ่งรอบกาแลคซี่ และกาแลคซี่แต่ละกาแลคซี่ก็จะไม่วิ่งรวมกันเป็นกลุ่มแบบ local group แสดงให้เห็นว่า อวกาศมีตัวตน สามารถบิดเบี้ยวและโค้งงอได้
4. เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะต้องไขความลับบางอย่างของอวกาศและพลังงานต่างๆนี้ให้ออก แล้วเราจะสามารถสร้างเทคโนโลยีการ warp ได้อย่างแน่นอน แต่วิธีการจะเป็นอย่างไร มันจะต้องใช้พลังงานมหาศาลในการบิดกาลอวกาศหรือไม่ หรือ มีวิธีการอื่นๆ นี่แหละเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
ป.ล. ธรรมชาติมีเหตุผลในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆเสมอๆ เมื่อคิดแบบนี้แล้ว มันยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีมนุษย์เราอยู่อย่างโดดเดี่ยวในจักรวาลและด้วยระยะห่างที่มหาศาลระหว่างดวงดาว มันก็ต้องมีเหตุผลด้วยเช่นกัน ที่ธรรมชาติ ต้องการปิดกั้นการไปมาหาสู่ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งมันอาจจะเป็นการคัดเลือกทางธรรมชาติก็ได้ ที่วัฒนธรรมใดรอดพ้นจากการทำลายตนเอง วัฒนธรรมใดที่ต้องการความรู้ที่บริสุทธิ์ วัฒนธรรมใดๆที่ร่วมมือกันทั้งดวงดาวเพื่อไขความลับของจักรวาล วัฒนธรรมนั้นจึงอาจจะสามารถเดินทางข้ามดวงดาวได้ ก็เป็นได้
** อาจจะดูเพ้อเจ้อไปบ้าง แต่ผมคิดว่า มันยิ่งย้ำชัดเจนเลยว่า อวกาศต้องมีความพิเศษบางอย่างที่เรายังไงไม่ได้ และเมื่อเราไขได้ เทคโนโลยีการเดินทางของเราจะพัฒนาก้าวหน้าไปไกลสุดขีดเลยครับ ผมเชื่อแบบนั้นนะ **