สื่อญี่ปุ่นถอดรหัสขบวนการหลอกลวงทางโทรศัพท์ชาวญี่ปุ่นที่ถูกจับกุมที่พัทยา คาดว่าเป็นมืออาชีพมีการวางแผนอย่างดี บันทึกข้อมูลส่วนตัวของเหยื่ออย่างละเอียด มีคู่มือปฏิบัติงาน พร้อมวิเคราะห์ความผิดพลาดและตั้งเป้าหมายความสำเร็จเหมือนองค์กรธุรกิจ แถมไม่สะทกสะท้านต่อการจับกุม
กรณีที่ตำรวจไทยได้บุกเข้าจับกุมกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่โทรศัพท์หลอกลวงเหยื่อโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานก่อเหตุ เป็นข่าวใหญ่ทั่วแดนอาทิตย์อุทัย เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า ชาวญี่ปุ่น15 คน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 22 ถึง 54 ปีเหล่านี้เป็นสมาชิกขบวนการที่คาดว่าล่อลวงเหยื่อในญี่ปุ่นไปกว่า 100 คน คิดเป็นเงินอย่างน้อย 220 ล้านเยน หรือราว 62 ล้าน 8 แสนบาท
ผู้ชาย 15 คนนี้แทบจะไม่ออกจากบ้านไปไหนเลย พวกเขาสั่งอาหารผ่านบริการจัดส่งอาหาร ด้วยเหตุนี้ เพื่อนบ้านจึงแทบไม่เคยเห็นพวกเขา จนกระทั่งเจ้าของบ้านเช่าสังเหตุเห็นความผิดปกติที่มีการติดตั้งโทรศัพท์จำนวนมาก จึงได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ตำรวจไทยระบุว่า เบื้องต้นกลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีหมายจับระหว่างประเทศ ไม่มีประวัติอาชญากรรมในประเทศไทย จึงจับกุมในข้อหาทำงานอย่างผิดกฎหมายเท่านั้น และกำลังประสานขอข้อมูลจากทางตำรวจญี่ปุ่น
ขณะที่ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นประจำประเทศไทยตั้งข้อสังเกตว่า ชาวญี่ปุ่นกลุ่มนี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพราถึงแม้จะมีอายุน้อย แต่กลับดูนิ่งสงบอย่างน่าประหลาด และเมื่อถูกถามเป็นภาษาญี่ปุ่น กลับตอบเป็นภาษาไทยสำเนียงญี่ปุ่นว่า “ขอบคุณครับ”
แจกคู่มือปฏิบัติการ วิเคราะห์ความผิดพลาด ตั้งเป้าหมายเหมือนธุรกิจ
หลักฐานที่ตำรวจยึดได้นั้น นอกจากโทรศัพท์และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจำนวนมากแล้ว ยังมี “คู่มือปฏิบัติงาน” ซึ่งบันทึกข้อมูลของเหยื่อเป้าหมายเป็นรายบุคคล ทั้งชื่อ อายุ สุขภาพ สภาพการใช้ชีวิต รวมถึงแผนที่ซึ่งระบุข้อมูลเกี่ยวกับร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้บ้านของเหยื่อ เป็นต้น
บันทึกข้อความที่ยึดมาได้ชี้ให้เห็นว่า คนกลุ่มนี้ได้นำข้อมูลความล้มเหลวของการก่อเหตุมาวิเคราะห์ และหาวิธีที่เป็นไปได้ที่จะทำให้การทำงานสำเร็จ รวมทั้งตั้งเป้าหมายให้กับสมาชิกแต่ละคนว่าในแต่ละเดือนจะต้องล่อลวงเหยื่อให้ได้กี่คน
ในคู่มือปฏิบัติงานที่สมาชิกแต่ละคนได้รับนั้น ระบุว่าข้อความที่จะใช้ล่อลวงเหยื่อทางโทรศัพท์อย่างเป็นแบบแผน โดยมักอ้างว่าโทรมาจากเหยื่อได้กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน หรือมีคำสั่งศาลให้เหยื่อชดใช้เงินให้ พร้อมยังมีคำแนะนำว่าถ้าเหยื่อปฏิเสธที่จะโอนเงิน หรือตอบว่า “จำไม่ได้” ว่าเคยยืมเงินตามที่อ้างจะต้องโต้ตอบอย่างไร ในคู่มือยังบอกวิธีที่จะหว่านล้อมเพื่อล่อลวงเหยื่อให้ตายใจได้อย่างไรด้วย
เหตุที่ทำเช่นนี้ได้ เพราะมีการบันทึกข้อมูลของเหยื่อเป้าหมายทุกคนอย่างละเอียด เช่นระบุว่า “หูตึง” , อยู่คนเดียวหรือมีญาติอยู่ในละแวกใกล้เคียง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการทำแผนและวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละคน พร้อมเป้าหมายเหมือนที่องค์กรธุรกิจทำกัน
ไทยแลนด์แดนสวรรค์ของโจร ?
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐาน โทรศัพท์ข้ามแดนกลับไปหลอกลวงคนในบ้านเกิด มีมากขึ้นอย่างชัดเจน ข้อมูลจากตำรวจไทยระบุว่าตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2560 จนถึงเดือนมีนาคม ปีนี้ มีการจับกุม 511 กรณี ส่วนใหญ่เป็นขบวนการชาวจีน ไต่หวัน มาเลเซีย และกรณีนี้เป็นครั้งแรกที่มีการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น
สื่อมวลชนญี่ปุ่นวิเคราะห์สาเหตุที่เมืองไทยเป็นแดนสวรรค์สำหรับขบวนการอาชญากรรมต่างชาติว่าเป็นเพราะ
1.นักท่องเที่ยวไม่ต้องใช้วีซ่า ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยมากกว่า 38 ล้านคน หลายประเทศไม่ต้องใช้วีซ่าหรือได้วีซ่าอย่างง่ายดาย ในพื้นที่อย่างพัทยา มีชาวต่างชาติมากกว่าคนไทยด้วยซ้ำ การสวมรอยเป็นนักท่องเที่ยวเพื่อก่ออาชญากรรม จึงทำได้โดยไม่ผิดสังเกตแต่อย่างใด
2.สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ชาวต่างชาติสามารถเช่าบ้านได้อย่างสะดวก อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโทรศัพท์มือถือซื้อหาได้ง่ายดาย การดำรงชีวิตก็สะดวกสบาย และมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าในประเทศตัวเอง
3.ญี่ปุ่นเพิ่มความเข้มงวดในการกวาดล้างขบวนการหลอกลวง ทำให้ขบวนการเหล่านี้ต้องย้ายฐานไปต่างประเทศ โดยใช้โทรศัพท์ IP ซึ่งสามารถแสดงเลขหมายได้เหมือนกับโทรมาจากภายในประเทศญี่ปุ่น
การท่องเที่ยวเป็นรายได้สำคัญของประเทศไทย แต่การเปิดบ้านให้ชาวต่างชาติเข้ามาอย่างง่ายดายนั้น ในแง่หนึ่งก็คือการอำนวยความสะดวกในด้านการท่องเที่ยว แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็นช่องทาง “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” เช่นกัน ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้อาจมุ่งเป้าหมายที่เหยื่อในบ้านเกิดตัวเอง แต่ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งก็อาจหันมาหาเหยื่อในประเทศไทยด้วยเช่นกัน.
คู่มือปฏิบัติการล่อลวงเหยื่อ ระบุข้อความและวิธีการสนทนาอย่างละเอียด
แผนประเมินประสิทธิภาพและเป้าหมายการทำงานของแต่ละคน
ข่าวจาก : MGR Online
เจาะเบื้องหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ญี่ปุ่น ใช้ไทยเป็นฐานหลอกตุ๋นแบบมืออาชีพ
หลักฐานที่ตำรวจยึดได้นั้น นอกจากโทรศัพท์และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจำนวนมากแล้ว ยังมี “คู่มือปฏิบัติงาน” ซึ่งบันทึกข้อมูลของเหยื่อเป้าหมายเป็นรายบุคคล ทั้งชื่อ อายุ สุขภาพ สภาพการใช้ชีวิต รวมถึงแผนที่ซึ่งระบุข้อมูลเกี่ยวกับร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้บ้านของเหยื่อ เป็นต้น
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐาน โทรศัพท์ข้ามแดนกลับไปหลอกลวงคนในบ้านเกิด มีมากขึ้นอย่างชัดเจน ข้อมูลจากตำรวจไทยระบุว่าตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2560 จนถึงเดือนมีนาคม ปีนี้ มีการจับกุม 511 กรณี ส่วนใหญ่เป็นขบวนการชาวจีน ไต่หวัน มาเลเซีย และกรณีนี้เป็นครั้งแรกที่มีการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวญี่ปุ่น