ขึ้นเครื่อง..บิน
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (31 มีนา 62) ได้ตื่นแต่เช้าเพื่อไปขึ้นเครื่อง Air Bus 320-200 Thai Smile ที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลาบิน 7.15 น
ใช้เวลาเดินทางครึ่งชัวโมงจากบ้าน เมื่อไปถึงทำเช็คอินเสร็จก็มีเวลาเดินหาซื้ออาหารเช้าและรอครอบครัวลูกสามคนตามมาด้วย
อาหารในสนามบินที่ว่าแพงมันก็แพงจริงๆ แซนด์วิช 180 บาทนะคะ แต่ก็ไปซื้อ Corn Puff มาทานเท่านั้น เพราะบนเครื่องมีแจก Light meal เป็นแซนด์วิชกับน้ำดื่มขวดเล็ก และมีบริการเครื่องดื่มให้อีกด้วย
ความรู้สึกเหมือนจะเดินทางไปต่างประเทศด้วยบรรยากาศของสนามบินอันกว้างใหญ่ เมื่อเดินไปสู่ Gate B 8 ได้ขึ้นรถบัสเพราะเครื่องบินจอดไกล สงสัยว่าบินในประเทศจึงต้องจอดที่หลุมจอดห่างอาคาร นั่งรถบัสสักพักเพื่อไปขึ้นเครื่องแล้ว ก็ถึงเวลาออกเดินทาง นั่นคือเครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวเรียกว่า taxi on runway ปกติจะไม่รู้สึกว่านั่งเครื่องบินเหมือนนั่งรถ เพราะจะนั่งสักพักเดียวก็จะต้อง taxi speed on runway แล้วก็ take off แต่..ลำนี้ทำไมวิ่งนานมาก นานจนสงสัยว่า นี่มันจะวิ่งไปถึงอุบลหรือเปล่า?
ในที่สุดเครื่องก็ take off จนได้
และในเที่ยวกลับก็ Landing on runway ได้ดี ด้วยความเร็วยังไม่ทันชะลอตัวก็เบรคหัวทิ่ม ต้องเอามือยันพนักข้างหน้าเลย เพราะเบรคเพื่อเลี้ยวซ้ายเรียกว่ากระทันหันได้เลย ทำเอาตกใจหน่อยที่ช่วง runway สั้นเกินไปเมื่อถึงจุดเลี้ยว หรือว่า Landing late on runway?
เมื่อเดินทางด้วยสายการบินในประเทศปลอดภัยก็ขอบคุณพระเจ้าทุกครั้ง เพราะการบินทุกครั้งก็กลัวอุบัติเหตุทุกทีอยู่ในใจ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีประวัติระทึกกับการบินในประเทศ
หลายสิบปีก่อนสมัยยังไม่มีสนามบินเกาะสมุย (เปิดใช้เมื่อ 25 เมษา 2532) การไปสมุยต้องนั่งรถไฟไปสุราษฎร์และรีบขึ้นเรือเฟอรี่เที่ยวเช้าให้ทัน (คล้ายกับมีวันละเที่ยวเช้าขาไปและขากลับเท่านั้น)
ส่วนขากลับขึ้นเครื่องที่สุราษฎร์เพื่อไปภูเก็ตเที่ยวต่อ พวกเรากลุ่มใหญ่ น่าจะประมาณ 20 คน เมื่อขึ้นเครื่องบินลำเล็กมาก พวกเรานั่งกันเกือบเต็มลำ คิดว่ามีราว 30 ที่นั่ง มีแหม่มสองคนนั่งข้างหลัง น่าจะเป็นที่นั่งแถวละ 4 คน สองฝั่ง ความรู้สึกครั้งแรกที่นั่งเครื่องบินลำเล็กนี้ เหมือนแมลงปอบินว่อน ด้วยแรงลมพัด เพราะเครื่องเล็กน้ำหนักเบา ใจคอก็ไม่ค่อยดีเท่าไร สักพักก็รู้สึกสะดุ้งเมื่อเสียงร้องโอ๊ว อย่างดังจากด้านหลัง มองไปบนเพดานเครื่องบิน ควันสีขาวพุ่งออกมากระจาย เห็นแล้วตกใจมาก...
สักพักจึงรู้ด้วยตนเองว่าเป็นควันไอเย็นของแอร์คอนดิชั่น และมีเสียงคนข้างหน้าบอกต่อๆกัน.. โอ..ตกใจบนเครื่องบินนี่มันช่างผิดกับตกใจบนพื้นแผ่นดินจริงๆ คงเป็นช็อคน้อยๆ
ขากลับจากภูเก็ตสู่กรุงเทพนั่ง Air Bus ลำใหญ่รู้สึกดีใจ พยายามจะลืมควันแอร์บนเพดาน และมองปีกเครื่องบินที่ถลาล่องลมจนใจหวิวนั้นเสีย
ส่วนการนั่งเครื่องบินระหว่างประเทศและเป็นครั้งแรกในชีวิตเริ่มเมื่อกลางปี 1972 (2515)
จากสนามบินดอนเมืองโดยสายการบินเบลเยี่ยม SABENA รุ่นDC-10ไปลงที่เนเธอร์แลนด์ Schiphol airport Amsterdam และบินจากเยอรมันไปอังกฤษ Heathrow สนามบินนี้ผ่าน 4-5 ครั้งแล้ว สุดท้ายปลายปี 2015
ครั้งที่ระทึกใจมากที่สุดคือบนสายการบิน BOAC ก่อนจะหยุดบินในประเทศไทยแล้ว เมื่ออยู่เหนือท้องฟ้า อยู่ๆก็เหมือนตกหลุมอากาศอย่างแรงแก้วน้ำที่แอร์โอสเตสกำลังให้บริการอยู่กระทบกันส่งเสียงดังเลย และเครื่องวูบลงไปหน่อย ผู้โดยสารมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รู้สึกใจหายและ กลัว สักพักเหมือนเครื่องจะทรงตัวได้ เสียงกัปตันบอกว่า ซอรี่ จะพยายามบินให้สูงขึ้น ฝนฟ้าก็ไม่ได้ตก เป็นเวลากลางคืนด้วย คงมีบางคนกุมมือร้องหาพระเจ้าแล้ว
เที่ยวนั้นแอร์โฮสเตสมีอายุมากแทบทุกคน เหมือนมีสจ๊วตด้วยคนหนึ่งที่ให้บริการ น่าจะไปลงที่ Frankfurt Flughafen
อีกครั้งหนึ่งที่กังวลใจตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องแล้วคือ ราวปี 1988 สายการบินไทยไปยุโรปน่าจะประเทศอังกฤษ ไปกันสี่คน เมื่อเริ่มเข้าไปรอขึ้นเครื่องก็มีพนักงานมาบอกว่าเครื่องจะ Delay คือเกิดไม่พร้อมที่จะบิน มีการแจ้งให้ทราบถึงสามหน ในหนสุดท้ายมีเครื่องดื่มมาแจกโดยผู้โดยสารนั่งกับพื้นพรมแล้ว เพราะที่นั่งไม่พอ สาเหตุไม่มีการแจ้งให้ทราบ เสียเวลาเกินชั่วโมงจำไม่ได้แน่ว่าเท่าใด รอจนเบื่อ และเมื่อได้อนุญาตให้ขึ้นเครื่องได้แล้ว เครื่องบินก็วิ่งไปบน Runway ตามปกติ หากแต่ว่าแอร์โฮสเตสที่ปิดประตูยังอยู่ที่ประตูอยู่เลย ต่อมาเครื่องบินก็เลี้ยวกลับสู่ทางเดิม
เสียงกัปตันบอกว่าประตูปิดไม่ได้ จำเป็นต้องกลับมา ทำเอาผู้โดยสารอ่อนใจในความยุ่งยาก แอร์โฮสเตสก็ยังใช้ความพยายามกับประตูอยู่
สักพักกัปตันบอกว่าประตูปิดได้แล้ว เรากำลังจะได้บินแล้ว และเครื่องบินก็หันหัวสู่ runway อีกครั้ง ในใจเรามีคำถามว่า..
แล้วประตูมันจะไปเปิดบนฟ้าหรือเปล่า? ในเมื่อมันไม่อยู่ในสภาพปกติ ที่ปิดอยู่เกิดไม่อยู่ขึ้นมา? ด้วยแรงดันบรรยากาศ..
คืนอันยาวนานเหนือท้องฟ้า 12 ชั่วโมง แทบไม่ได้นอนหลับ ด้วยความกังวลใจ และไม่ชินกับการนั่งหลับด้วย
ซึ่งระยะทาง11-12 ชั่วโมงก็ยังไม่ทารุณมากเท่าบินไปอเมริกา 17 ชั่วโมง การไม่ได้นอนเพราะไม่ชินกับการนั่งหลับ ง่วงแบบทรมานจนแทบจะขอนอนบนพื้นเครื่องบิน แต่ยังโชคดีที่ที่นั่งสามคน นั่งเพียงสองคน จึงได้เอนศีรษะไปตรงที่นั่งว่างตรงกลาง โดยยกพนักวางแขนขึ้นไปแนวพนักพิง จึงโทรมน้อยตอนลงจากเครื่องที่ LAX Airport ด้วยเครื่องบินเก่ามองได้ด้วยตาของ EVA Taiwan
ในหลายสิบปี อีกหนึ่งสายการบินสู่ยุโรปคือ Cathay Pacific ที่มาจากฮ่องกง มีสิ่งที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้พบคือ กลิ่นน้ำมันแนวแป๊ะฮวยอิ๊วคลุ้งทั้งลำยามเมื่อบินออกจากสนามบินดอนเมือง ทำเอาเหม็นจนไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน เป็นเวลากลางคืนแต่คนจีนก็เดินกันให้ว่อน แถมคุยเสียงดัง
โอ..นรกน้อยๆในความเหม็นกลิ่นที่ควบคุมไม่ได้ เหม็นก็คือเหม็นแบบคนเหม็นทุเรียนกระมัง ด้วยตนเองไม่ชินกับกลิ่นยาหอมยาดม พิมเสน
การบูร พวกนี้ จึงจำสภาวะนั้นไม่มีวันลืมเลย
ตนเองเป็นคนชอบท่องเที่ยวต่างประเทศซีกฝรั่ง บางประเทศก็ไปสองสามครั้ง แต่ไม่ได้นั่งเครื่องทุกครั้งที่อยู่ในยุโรป มีนั่งรถยนต์ รถไฟ นั่งเครื่องภายในประเทศนั้นๆบ้าง มิได้กลัวเครื่องบินหากแต่กลัวอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้านั่งบ่อย การไปต่างประเทศที่นับได้ 22 ประเทศก็ไม่ได้บินตรงไปทั้งหมด
ความกลัวหรือป้องกันเรียก Safty First นั่นเพื่อนเราก็เป็น ทุกครั้งที่ไปดูงานที่ยุโรป พี่น้องนั่งเครื่องบินคนละลำค่ะ เอาที่ไปถึงเวลาไม่ห่างกันมากนัก เขาเป็นเพื่อนสนิท รู้ว่าหลีกเลี่ยงเหตุอันไม่คาดฝันค่ะ
จบ
🌛🌜 ⚡️ขึ้นเครื่อง..บิน ⚡️🌛🌜