พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวว่า การแสดงออกของ ผู้บังคับบัญชา ในความพยายามปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีของหน่วยงาน หรือองค์กร
และบุคลากรหน่วยงาน จากการถูกให้ร้ายด้วยรูปแบบต่างในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นวิถีทางธรรมชาติสากลตามคุณลักษณะของผู้นำ
ส่วนเรื่องการสร้างโหวต ล่ารายชื่อถอดถอน ผบ.ทบ. นั้น เป็นเพียงเทคนิคเก่าที่หลังๆ ถูกนำมาใช้เพื่อการเมือง อาจหวังให้มีผลในแง่จิตวิทยา
ซึ่งคนส่วนใหญ่คงรู้ทันและมองออก ไม่สามารถชี้วัดอะไรได้จริง
“วิธีนี้เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งของการเมือง ที่หวังผลให้เกิดความแตกแยกทางอ้อม ตั้งมาเป็นประเด็นลอยๆ ไม่ระบุรายละเอียด
ที่สำคัญผลนั้นก็ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้จริง ลักษณะนี้จึงเป็นเพียงโหวตเทียมเพื่อการเมือง หรือก็แค่พยายามใช้เป็น
กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงความเกลียดชังไม่พอใจกันแบบซ่อนรูปมา
เพราะการที่จะอ้างหยิบยกว่ามีเหตุมาจากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของผบ.ทบ. ซึ่งเมื่อดูแล้วก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลเข้าไปใหญ่
เพราะเนื้อหาโดยรวมที่พอสรุปมาได้มีอยู่ 7 ประเด็น ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่จะส่งผลไม่ดีต่อสังคมหรือ ประเทศชาติเลย
1. การยืนยันว่าทหารไม่ได้ทำงานการเมืองแต่พร้อมทำงานเพื่อพิทักษ์ รักษาปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และจะอยู่เคียงข้างประชาชนอย่างแท้จริง
2. ยืนยันประเทศเพื่อนบ้านเข้าใจสถานการณ์การเมืองในประเทศพร้อมให้ความร่วมมือ
3. ยอมรับว่าปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดียเป็นสื่อที่ทรงพลัง จึงทำให้เกิดปัญหาพวกข่าวปลอมทางโซเชียลมีเดียจนเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
4. ขอให้ทุกฝ่ายยอมรับในกฎกติกา และพยายามอย่านำวาทกรรมที่ทำให้เกิดความแตกแยกมาตอกย้ำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ
5. หากใครทำผิดควรยอมรับ และเข้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
6. ขอให้รักกันเถิด ฝากถึงคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะผู้ที่ไปศึกษาจากต่างประเทศมา ควรทำความเข้าใจการปกครองแบบไทยที่เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมุ่งหวังให้คนไทยมารักสามัคคีกัน
7. ยืนยันไม่ว่าพรรคการเมืองใด ขั้วการเมืองฝ่ายใดได้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมยอมรับกติกา เพราะกองทัพเป็นกองทัพของ ประชาชน
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ดีกับส่วนรวมและประเทศชาติได้อย่างไร จึงทำให้เชื่อว่า กิจกรรมล่ารายชื่อถอดถอนนี้ จึงน่าจะเป็นเรื่องของการเมืองเป็นหลัก
โฆษกทบ.ชี้ บิ๊กแดงมีความเป็น “ผู้นำ” ออกมาปกป้อง เกียรติยศศักดิ์ศรีของกองทัพ และกำลังพล จากการถูกให้ร้าย
และบุคลากรหน่วยงาน จากการถูกให้ร้ายด้วยรูปแบบต่างในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นวิถีทางธรรมชาติสากลตามคุณลักษณะของผู้นำ
ส่วนเรื่องการสร้างโหวต ล่ารายชื่อถอดถอน ผบ.ทบ. นั้น เป็นเพียงเทคนิคเก่าที่หลังๆ ถูกนำมาใช้เพื่อการเมือง อาจหวังให้มีผลในแง่จิตวิทยา
ซึ่งคนส่วนใหญ่คงรู้ทันและมองออก ไม่สามารถชี้วัดอะไรได้จริง
“วิธีนี้เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งของการเมือง ที่หวังผลให้เกิดความแตกแยกทางอ้อม ตั้งมาเป็นประเด็นลอยๆ ไม่ระบุรายละเอียด
ที่สำคัญผลนั้นก็ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้จริง ลักษณะนี้จึงเป็นเพียงโหวตเทียมเพื่อการเมือง หรือก็แค่พยายามใช้เป็น
กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงความเกลียดชังไม่พอใจกันแบบซ่อนรูปมา
เพราะการที่จะอ้างหยิบยกว่ามีเหตุมาจากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของผบ.ทบ. ซึ่งเมื่อดูแล้วก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลเข้าไปใหญ่
เพราะเนื้อหาโดยรวมที่พอสรุปมาได้มีอยู่ 7 ประเด็น ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วก็จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่จะส่งผลไม่ดีต่อสังคมหรือ ประเทศชาติเลย
1. การยืนยันว่าทหารไม่ได้ทำงานการเมืองแต่พร้อมทำงานเพื่อพิทักษ์ รักษาปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และจะอยู่เคียงข้างประชาชนอย่างแท้จริง
2. ยืนยันประเทศเพื่อนบ้านเข้าใจสถานการณ์การเมืองในประเทศพร้อมให้ความร่วมมือ
3. ยอมรับว่าปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดียเป็นสื่อที่ทรงพลัง จึงทำให้เกิดปัญหาพวกข่าวปลอมทางโซเชียลมีเดียจนเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
4. ขอให้ทุกฝ่ายยอมรับในกฎกติกา และพยายามอย่านำวาทกรรมที่ทำให้เกิดความแตกแยกมาตอกย้ำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ
5. หากใครทำผิดควรยอมรับ และเข้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
6. ขอให้รักกันเถิด ฝากถึงคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะผู้ที่ไปศึกษาจากต่างประเทศมา ควรทำความเข้าใจการปกครองแบบไทยที่เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมุ่งหวังให้คนไทยมารักสามัคคีกัน
7. ยืนยันไม่ว่าพรรคการเมืองใด ขั้วการเมืองฝ่ายใดได้จัดตั้งรัฐบาล พร้อมยอมรับกติกา เพราะกองทัพเป็นกองทัพของ ประชาชน
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ดีกับส่วนรวมและประเทศชาติได้อย่างไร จึงทำให้เชื่อว่า กิจกรรมล่ารายชื่อถอดถอนนี้ จึงน่าจะเป็นเรื่องของการเมืองเป็นหลัก