Minority Report (2002) หนังไซไฟแอ็คชั่นที่คลาสสิกและดีอีกเรื่องของนักแสดงรุ่นเดอะอย่าง ทอม ครูซ ซึ่งตอนนั้นแกก็ดังมานานระยะหนึ่งจากเรื่อง Top Gun, A Few Good Men, Jerry Maguire และกำลังมาแรงในฐานะดาราสายแอ็คชั่นจากผลงานก่อนที่ฮิตถล่มทลายอย่าง Mission Impossible สองภาคแรก และร่วมงานกับ ผกก.ฉายาพ่อมดแห่งฮฮลลี
วู้ด อย่าง สตีเว่น สปิลเบิร์ก ที่มีผลงานหนังดังๆและดีๆมากมาย เช่น หนังภาคต่ออย่าง Indiana Jones, E.T., Saving Privent Ryan, Jaws เป็นต้น เรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกผลงานที่คนพูดถึงเยอะ ถ้าพูดถึงผกก.คนนี้ หนังเรื่องนี้คงถูกใจคอหนังกันถ้วนหน้า
หนังเล่าเรื่องในโลกอนาคต (จำปีในหนังไม่ได้ขออภัย) ที่ปราศจากอาชญากร เพราะด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยในการไล่ล่าผู้ร้ายได้ไวขึ้นกว่าก่อน หน่วยพรีไคล์ม ที่ได้ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการได้สักพักหนึ่ง เป็นหน่วยสกัดอาชญากรรม โดยมี จอห์น (ครูซ) เป็นหัวหน้าชุดตำรวจออกปฏิบัติการและคอยควบคุมดูแผงที่จะระบุรูปแบบการก่ออาชญากรรมล่วงหน้า โดยมีผู้หยั่งรู้สามคนที่ถูกควบคุมไว้ในห้องพิเศษ เป็นบุคคลที่มีพลังวิเศษที่มีความสามารถในการวิเคราะห์รู้เหตุการอาชญากรรมล่วงหน้าภายในเวลาอันสั้น และจะส่งภาพนิมิตเหตุการณ์การก่ออาชญากรรม รวมถึงชื่อของผู้กระทำผิดรวมถึงเหยื่อมายังห้องที่จอห์นควบคุมแผง ทำให้หน่วยพรีไคล์มนั้นสกัดเหตุร้ายได้ทันเวลาอันชิวเฉียดตลอด เมื่อผู้หยั่งรู้หนึ่งในสามที่เป็นผู้หญิงได้เกิดนิมิตภาพประหลาดขึ้นมีภาพเหตุการณ์การฆาตกรรมผู้หญิงปริศนาขึ้นซ้ำๆหลายครั้ง และล่าสุดนางได้นิมิตภาพรวมถึงรายชื่อผู้ก่อเหตุฆาตกรรมคือ ตัวจอห์นเอง ในภาพนิมิตเขาได้เห็นตัวเองลั่นไกสังหารชายปริศนาที่เขาไม่รู้จัก จอห์นมีเวลาเพียงสี่วันเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และเขาต้องหนีจากการไล่ล่าจากลูกทีมหน่วยเขาเอง โดยเขาต้องสืบหาต้นตอที่แท้จริงว่าชายปริศนาที่เขาสังหารในสี่วันข้างหน้าคือใครตามที่ผู้หยั่งรู้นิมิตภาพขึ้นมา รวมถึงหน่วยพรีไคล์มกำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤตเมื่อมีจนท.จากทางวอชิงตัน ถูกส่งมาตรวจสอบการทำงานและหาข้อบกพร่องของระบบในหน่วยงานที่ดูเหมือนจะมีการปกปิดความลับอันดำมืดสุดอันตรายเอาไว้ ภายหลังจอห์นได้ปลอมตัวเข้าไปขโมยผู้หยั่งรู้คนที่เป็นผู้หญิงออกมา และพยายามสอบถามเธอเพื่อหาความจริงของเรื่องนี้ ที่จะลากเขาและเธอไปสู่เรื่องในอดีตสุดน่ากลัวที่สุดที่ถูกปกปิดมานานของหน่วยพรีไคล์ม และจอห์นก็สืบรู้ว่าเขาคือแพะตัวหนึ่งในแผนจัดฉากสุดอันตรายครั้งนี้ด้วย
ตามสไตล์หนังของลุงทอมครับ วิ่งสู้ฟัด เรื่องนี้วิ่งหนีการไล่ล่าตลอดแทบทั้งเรื่อง หนังออกแนวทริลเลอร์ไซไฟมากกว่าแอ็คชั่น มีฉากแอ็ค
ชั่นบ้างไม่มากให้เห็นตามสไตล์ ทอม ครูซ ต้องให้แกโชว์ซีนบู๊เตะต่อยบ้าง หนังเน้นการสืบสวนสอบสวน ตัวเอกในเรื่องต้องวิ่งวุ่นตามสืบหาความจริงตลอด หนังมีปมเยอะพอสมควรทำให้คนดู งง ได้ตอนต้นๆเรื่อง พอกลางเรื่องไป หนังเริ่มคลายปมข้อสงสัยต่างๆ มาเฉลยคนร้ายตัวการก่อเรื่อง ก็เข้าใจเนื้อเรื่องตรงนี้มากขึ้น หนังบางช่วงอาจจะน่าเบื้อไปนิดเพราะบทสนทนาของตัวละครแต่ละตัวมีเยอะพอสมควรและปมดราม่าในอดีตของพระเอกก็เยอะอยู่แต่มันเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลักหมดทุกประเด็นยิบย่อย ถ้าใครชอบแนวหนังพระเอกตกเป็นแพะในคดีฆาตกรรมต้องสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมเองหนีการไล่ล่าจากตำรวจแนวๆเรื่อง The Fugitive (1993) ไรแบบนี้คงชอบ บวกกับความเป็นหนังไซไฟล้ำๆ มีอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆที่ให้เห็นในหนังสิ่งที่คาดไม่ถึง ตามสไตล์ผกก. สตีเว่น คงชอบกัน
War Of The Worlds (2005) ผลงานการกำกับของผกก. สตีเว่น สปิลเบิร์ก และนักแสดงอย่าง ทอม ครูซ เป็นครั้งที่สองหลังประสบความสำเร็จจากเรื่องก่อนอย่าง Minority Report (2002)
หนังเล่าเรื่องของคนงานท่าเรือ ชื่อว่า เรย์ เฟอร์ริเออร์ (ครูซ) ต้องรับหน้าที่ดูแลลูกสองคนในวันหยุดสุดสัปดาห์ขณะที่อดีตภรรยาและสามีใหม่ของเธอมาฝากเรย์ไว้เพื่อไปทำธุระนอกเมือง ด้วยความเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องซะเท่าไหร่ทำให้ไม่ถูกคอกับลูกชายวัยรุ่นของเขา แต่ลูกสาววัยเก้าขวบก็ยังรักในตัวเรย์อยู่ถึงอาจจะเป็นพ่อคนได้ไม่ดีนัก เมื่อเกิดเหตุฟ้าผ่าอย่างบ้าคลั่งหลายครั้งลงกลางเมืองที่จุดเดิม เรย์และคนละแวกนั้นได้ไปดูที่จุดเกิดเหตุแต่ไม่นานหลังหยุดฟ้าผ่า มันได้มีสิ่งประหลาดที่ถูกฝังตัวมาจากการฟ้าผ่า โผล่ขึ้นมาเป็นตัวประหลาดสูงใหญ่สามขายักษ์อาละวาดไล่ยิงแสงเรเซอร์คร่าชีวิตคนอย่างบ้าคลั่ง และไม่สนว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ พวกมันฆ่าเกลี้ยง เรย์วิ่งหนีตายมาได้อย่างหวุดหวิดและได้หอบข้าวของรวมถึงอาวุธที่จำเป็นในการพาลูกๆเขาออกจากเมืองไปยังเขตที่ปลอดภัยจากการโจมตีของพวกตัวประหลาด ขณะที่พวกเขาต้องหนีเอาชีวิตรอดวันต่อวันจากการหลบซ่อนตัวจากพวกมัน เสบียงที่เหลือน้อยเต็มทน บวกกับกลุ่มคนที่กำลังบ้าคลั่งหนีตายกันทั่วเมือง เรย์ต้องทำหน้าที่พ่อที่ดีและเข้มแข็งพอในการพาลูกๆเขาหนีให้รอดพ้นจากสงครามเอเลี่ยนล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ครั้งนี้
ปกติผมไม่ค่อยชอบหนังแนวเอเลี่ยนบุกโลกฆ่าคนสักเท่าไหร่ ที่ชอบสุดก็เรื่อง ID4 (1996) และก็เรื่องนี้นี่แหละ ส่วนหนึ่งเพราะผมชอบการแสดงของลุงทอมด้วยแหละ และบวกกับความเป็นหนังของสตีเว่น มันเลยออกมาสนุก ลุ้นระทึก ไม่มีช่วงไหนของหนังที่ทำให้ผมเบื่อเลย การทำ cg ตัวเอเลี่ยนหอคอยสามขารวมถึงตัวเอเลี่ยนเองก็ทำออกมาได้ดีดูเนียนและน่าเกลียดน่ากลัวดี เรื่องนี้ลุงทอมก็เช่นเคยวิ่งหนีแทบทั้งเรื่อง และแกก็แสดงในบทนี้ได้ดีต้นเรื่องดูเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องไม่ใส่ใจลูกๆ พอเกิดเหตุคับขันแกก็ต้องแสดงความเป็นผู้นำเป็นพ่อที่ต้องปกป้องลูกๆ เรื่องนี้มีดาโกต้า แฟนนิ่งแสดงเป็นลูกสาวของลุงทอม ซึ่งนางก็แสดงได้น่ารักดี เหมือนเป็นพ่อลูกกันจริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นหนังแอ็คชั่นมันๆยิงถล่มกันระหว่างคนกับพวกเอเลี่ยนเน้นการหนีเอาตัวรอดและการแก้ไขสถานการณ์ซะมากกว่า ส่วนฉากแอ็คชั่นเด่นๆของลุงทอมในเรื่องก็หนีไม่พ้นการวิ่งหนี ปีนป่าย หลบซ่อน พวก
เอเลี่ยน หนังสนุกมากๆครับ ผมรักเลยเรื่องนี้
แล้วเพื่อนๆคิดเห็นอย่างไรกับหนังสองเรื่องนี้ที่ ทอม ครูซ ร่วมงานกับ สตีเว่น สปิลเบิร์ก บ้างครับ มาพูดคุยกัน
พูดคุยหนังดัง Minority Report และ War Of The Worlds ผลงานชิ้นเอกของ ทอม ครูซ และ สตีเว่น สปิลเบิร์ก
วู้ด อย่าง สตีเว่น สปิลเบิร์ก ที่มีผลงานหนังดังๆและดีๆมากมาย เช่น หนังภาคต่ออย่าง Indiana Jones, E.T., Saving Privent Ryan, Jaws เป็นต้น เรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกผลงานที่คนพูดถึงเยอะ ถ้าพูดถึงผกก.คนนี้ หนังเรื่องนี้คงถูกใจคอหนังกันถ้วนหน้า
หนังเล่าเรื่องในโลกอนาคต (จำปีในหนังไม่ได้ขออภัย) ที่ปราศจากอาชญากร เพราะด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยในการไล่ล่าผู้ร้ายได้ไวขึ้นกว่าก่อน หน่วยพรีไคล์ม ที่ได้ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการได้สักพักหนึ่ง เป็นหน่วยสกัดอาชญากรรม โดยมี จอห์น (ครูซ) เป็นหัวหน้าชุดตำรวจออกปฏิบัติการและคอยควบคุมดูแผงที่จะระบุรูปแบบการก่ออาชญากรรมล่วงหน้า โดยมีผู้หยั่งรู้สามคนที่ถูกควบคุมไว้ในห้องพิเศษ เป็นบุคคลที่มีพลังวิเศษที่มีความสามารถในการวิเคราะห์รู้เหตุการอาชญากรรมล่วงหน้าภายในเวลาอันสั้น และจะส่งภาพนิมิตเหตุการณ์การก่ออาชญากรรม รวมถึงชื่อของผู้กระทำผิดรวมถึงเหยื่อมายังห้องที่จอห์นควบคุมแผง ทำให้หน่วยพรีไคล์มนั้นสกัดเหตุร้ายได้ทันเวลาอันชิวเฉียดตลอด เมื่อผู้หยั่งรู้หนึ่งในสามที่เป็นผู้หญิงได้เกิดนิมิตภาพประหลาดขึ้นมีภาพเหตุการณ์การฆาตกรรมผู้หญิงปริศนาขึ้นซ้ำๆหลายครั้ง และล่าสุดนางได้นิมิตภาพรวมถึงรายชื่อผู้ก่อเหตุฆาตกรรมคือ ตัวจอห์นเอง ในภาพนิมิตเขาได้เห็นตัวเองลั่นไกสังหารชายปริศนาที่เขาไม่รู้จัก จอห์นมีเวลาเพียงสี่วันเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และเขาต้องหนีจากการไล่ล่าจากลูกทีมหน่วยเขาเอง โดยเขาต้องสืบหาต้นตอที่แท้จริงว่าชายปริศนาที่เขาสังหารในสี่วันข้างหน้าคือใครตามที่ผู้หยั่งรู้นิมิตภาพขึ้นมา รวมถึงหน่วยพรีไคล์มกำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤตเมื่อมีจนท.จากทางวอชิงตัน ถูกส่งมาตรวจสอบการทำงานและหาข้อบกพร่องของระบบในหน่วยงานที่ดูเหมือนจะมีการปกปิดความลับอันดำมืดสุดอันตรายเอาไว้ ภายหลังจอห์นได้ปลอมตัวเข้าไปขโมยผู้หยั่งรู้คนที่เป็นผู้หญิงออกมา และพยายามสอบถามเธอเพื่อหาความจริงของเรื่องนี้ ที่จะลากเขาและเธอไปสู่เรื่องในอดีตสุดน่ากลัวที่สุดที่ถูกปกปิดมานานของหน่วยพรีไคล์ม และจอห์นก็สืบรู้ว่าเขาคือแพะตัวหนึ่งในแผนจัดฉากสุดอันตรายครั้งนี้ด้วย
ตามสไตล์หนังของลุงทอมครับ วิ่งสู้ฟัด เรื่องนี้วิ่งหนีการไล่ล่าตลอดแทบทั้งเรื่อง หนังออกแนวทริลเลอร์ไซไฟมากกว่าแอ็คชั่น มีฉากแอ็ค
ชั่นบ้างไม่มากให้เห็นตามสไตล์ ทอม ครูซ ต้องให้แกโชว์ซีนบู๊เตะต่อยบ้าง หนังเน้นการสืบสวนสอบสวน ตัวเอกในเรื่องต้องวิ่งวุ่นตามสืบหาความจริงตลอด หนังมีปมเยอะพอสมควรทำให้คนดู งง ได้ตอนต้นๆเรื่อง พอกลางเรื่องไป หนังเริ่มคลายปมข้อสงสัยต่างๆ มาเฉลยคนร้ายตัวการก่อเรื่อง ก็เข้าใจเนื้อเรื่องตรงนี้มากขึ้น หนังบางช่วงอาจจะน่าเบื้อไปนิดเพราะบทสนทนาของตัวละครแต่ละตัวมีเยอะพอสมควรและปมดราม่าในอดีตของพระเอกก็เยอะอยู่แต่มันเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลักหมดทุกประเด็นยิบย่อย ถ้าใครชอบแนวหนังพระเอกตกเป็นแพะในคดีฆาตกรรมต้องสืบสวนสอบสวนคดีฆาตกรรมเองหนีการไล่ล่าจากตำรวจแนวๆเรื่อง The Fugitive (1993) ไรแบบนี้คงชอบ บวกกับความเป็นหนังไซไฟล้ำๆ มีอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆที่ให้เห็นในหนังสิ่งที่คาดไม่ถึง ตามสไตล์ผกก. สตีเว่น คงชอบกัน
War Of The Worlds (2005) ผลงานการกำกับของผกก. สตีเว่น สปิลเบิร์ก และนักแสดงอย่าง ทอม ครูซ เป็นครั้งที่สองหลังประสบความสำเร็จจากเรื่องก่อนอย่าง Minority Report (2002)
หนังเล่าเรื่องของคนงานท่าเรือ ชื่อว่า เรย์ เฟอร์ริเออร์ (ครูซ) ต้องรับหน้าที่ดูแลลูกสองคนในวันหยุดสุดสัปดาห์ขณะที่อดีตภรรยาและสามีใหม่ของเธอมาฝากเรย์ไว้เพื่อไปทำธุระนอกเมือง ด้วยความเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องซะเท่าไหร่ทำให้ไม่ถูกคอกับลูกชายวัยรุ่นของเขา แต่ลูกสาววัยเก้าขวบก็ยังรักในตัวเรย์อยู่ถึงอาจจะเป็นพ่อคนได้ไม่ดีนัก เมื่อเกิดเหตุฟ้าผ่าอย่างบ้าคลั่งหลายครั้งลงกลางเมืองที่จุดเดิม เรย์และคนละแวกนั้นได้ไปดูที่จุดเกิดเหตุแต่ไม่นานหลังหยุดฟ้าผ่า มันได้มีสิ่งประหลาดที่ถูกฝังตัวมาจากการฟ้าผ่า โผล่ขึ้นมาเป็นตัวประหลาดสูงใหญ่สามขายักษ์อาละวาดไล่ยิงแสงเรเซอร์คร่าชีวิตคนอย่างบ้าคลั่ง และไม่สนว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ พวกมันฆ่าเกลี้ยง เรย์วิ่งหนีตายมาได้อย่างหวุดหวิดและได้หอบข้าวของรวมถึงอาวุธที่จำเป็นในการพาลูกๆเขาออกจากเมืองไปยังเขตที่ปลอดภัยจากการโจมตีของพวกตัวประหลาด ขณะที่พวกเขาต้องหนีเอาชีวิตรอดวันต่อวันจากการหลบซ่อนตัวจากพวกมัน เสบียงที่เหลือน้อยเต็มทน บวกกับกลุ่มคนที่กำลังบ้าคลั่งหนีตายกันทั่วเมือง เรย์ต้องทำหน้าที่พ่อที่ดีและเข้มแข็งพอในการพาลูกๆเขาหนีให้รอดพ้นจากสงครามเอเลี่ยนล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ครั้งนี้
ปกติผมไม่ค่อยชอบหนังแนวเอเลี่ยนบุกโลกฆ่าคนสักเท่าไหร่ ที่ชอบสุดก็เรื่อง ID4 (1996) และก็เรื่องนี้นี่แหละ ส่วนหนึ่งเพราะผมชอบการแสดงของลุงทอมด้วยแหละ และบวกกับความเป็นหนังของสตีเว่น มันเลยออกมาสนุก ลุ้นระทึก ไม่มีช่วงไหนของหนังที่ทำให้ผมเบื่อเลย การทำ cg ตัวเอเลี่ยนหอคอยสามขารวมถึงตัวเอเลี่ยนเองก็ทำออกมาได้ดีดูเนียนและน่าเกลียดน่ากลัวดี เรื่องนี้ลุงทอมก็เช่นเคยวิ่งหนีแทบทั้งเรื่อง และแกก็แสดงในบทนี้ได้ดีต้นเรื่องดูเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องไม่ใส่ใจลูกๆ พอเกิดเหตุคับขันแกก็ต้องแสดงความเป็นผู้นำเป็นพ่อที่ต้องปกป้องลูกๆ เรื่องนี้มีดาโกต้า แฟนนิ่งแสดงเป็นลูกสาวของลุงทอม ซึ่งนางก็แสดงได้น่ารักดี เหมือนเป็นพ่อลูกกันจริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นหนังแอ็คชั่นมันๆยิงถล่มกันระหว่างคนกับพวกเอเลี่ยนเน้นการหนีเอาตัวรอดและการแก้ไขสถานการณ์ซะมากกว่า ส่วนฉากแอ็คชั่นเด่นๆของลุงทอมในเรื่องก็หนีไม่พ้นการวิ่งหนี ปีนป่าย หลบซ่อน พวก
เอเลี่ยน หนังสนุกมากๆครับ ผมรักเลยเรื่องนี้
แล้วเพื่อนๆคิดเห็นอย่างไรกับหนังสองเรื่องนี้ที่ ทอม ครูซ ร่วมงานกับ สตีเว่น สปิลเบิร์ก บ้างครับ มาพูดคุยกัน