คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 34
เวลา ค่อยๆเปลี่ยนคุณปิยบุตรให้กลายเป็นคนแบบที่คุณปิยบุตรเรียกว่า"นักการเมืองแบบเก่า"
คือ ยึดถือเป้าหมาย แต่ไม่สนวิธีการ ยอมพลิกลิ้นเพื่อให้ได้คะแนนเสียง
ตัวอย่างเช่นกรณีแถลงอุดมการณ์ไม่เอานายกที่ไม่ใช่ส.ส. แต่ยอมรับคุณสุดารัตน์เสียง่ายๆ
จนถึงกรณีนี้ ที่ยอมทิ้งอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายของตัวเอง ไม่กล้าเต็มใจยอมรับคำพูดในอดีตของตน อ้างว่าเป็นคนละบทบาท
ในอนาคตยังมีอีกหลายบททดสอบ ที่การเมืองจะตั้งคำถามต่ออุดมการณ์ของคุณปิยบุตรและพรรค
ถ้าแข็งแกร่งจริง ย่อมเปลี่ยนแปลงสังคมได้
แต่ที่ผ่านมา ค่อยๆพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ยังไม่แกร่งจริง
คือ ยึดถือเป้าหมาย แต่ไม่สนวิธีการ ยอมพลิกลิ้นเพื่อให้ได้คะแนนเสียง
ตัวอย่างเช่นกรณีแถลงอุดมการณ์ไม่เอานายกที่ไม่ใช่ส.ส. แต่ยอมรับคุณสุดารัตน์เสียง่ายๆ
จนถึงกรณีนี้ ที่ยอมทิ้งอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายของตัวเอง ไม่กล้าเต็มใจยอมรับคำพูดในอดีตของตน อ้างว่าเป็นคนละบทบาท
ในอนาคตยังมีอีกหลายบททดสอบ ที่การเมืองจะตั้งคำถามต่ออุดมการณ์ของคุณปิยบุตรและพรรค
ถ้าแข็งแกร่งจริง ย่อมเปลี่ยนแปลงสังคมได้
แต่ที่ผ่านมา ค่อยๆพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ยังไม่แกร่งจริง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
เห็นหลายกระทู้ละ ขอซักที
ทำไมคุณถึงคิดว่าเวลาอยู่ในตำแหน่งต่างกัน ถึงต้องพูดเหมือนๆกัน? อันนี้อ่ะที่เราไม่เข้าใจเลย
อยู่ในตำแหน่งวิชาการก็ต้องพูดในฐานะนักวิชาการ เอาข้อมูล ข้อเท็จจริงมาพูด ไม่ใช่การแสดงความเห็นส่วนตัว
อยู่ในฐานะนักการเมืองก็ต้องพูดตามอุดมการณ์พรรค พูดแทนประชาชน ไม่ใช่การแสดงความเห็นส่วนตัว
คือเราไม่ได้บอกว่าทุกคนที่อยู่ในตำแหน่งจะทำแบบนี้นะ แต่มันเป็นสิ่งที่ควรทำรึเปล่า แยกงานที่รับผิดชอบออกจากเรื่องส่วนตัว ความเห็นส่วนบุคคลน่ะ
แล้วแบบมันเป็นหน้าที่ของคุณปิยบุตรตรงไหนที่จะต้องเอาคลิปมาโชว์ ออกมาแถลงว่าที่เค้ากล่าวหามันไม่ใช่ งี้มีคนกล่าวหาพันเรื่อง ต้องออกมาแก้ตัวพิสูจน์ตัวเองทุกเรื่องเปล่า งานการไม่ได้ทำกันพอดี ทำไมไอ้คนที่สงสัยถึงไม่ไปหาข้อมูลกันเอาเอง อยากจะสงสัยใครก็ได้แต่ต้องรอแต่คนเอาข้อมูลมาป้อนให้ถึงจะเปลี่ยนความคิด ทำไมคนเรามันถึงต้องขี้เกียจกันขนาดนี้
ทำไมคุณถึงคิดว่าเวลาอยู่ในตำแหน่งต่างกัน ถึงต้องพูดเหมือนๆกัน? อันนี้อ่ะที่เราไม่เข้าใจเลย
อยู่ในตำแหน่งวิชาการก็ต้องพูดในฐานะนักวิชาการ เอาข้อมูล ข้อเท็จจริงมาพูด ไม่ใช่การแสดงความเห็นส่วนตัว
อยู่ในฐานะนักการเมืองก็ต้องพูดตามอุดมการณ์พรรค พูดแทนประชาชน ไม่ใช่การแสดงความเห็นส่วนตัว
คือเราไม่ได้บอกว่าทุกคนที่อยู่ในตำแหน่งจะทำแบบนี้นะ แต่มันเป็นสิ่งที่ควรทำรึเปล่า แยกงานที่รับผิดชอบออกจากเรื่องส่วนตัว ความเห็นส่วนบุคคลน่ะ
แล้วแบบมันเป็นหน้าที่ของคุณปิยบุตรตรงไหนที่จะต้องเอาคลิปมาโชว์ ออกมาแถลงว่าที่เค้ากล่าวหามันไม่ใช่ งี้มีคนกล่าวหาพันเรื่อง ต้องออกมาแก้ตัวพิสูจน์ตัวเองทุกเรื่องเปล่า งานการไม่ได้ทำกันพอดี ทำไมไอ้คนที่สงสัยถึงไม่ไปหาข้อมูลกันเอาเอง อยากจะสงสัยใครก็ได้แต่ต้องรอแต่คนเอาข้อมูลมาป้อนให้ถึงจะเปลี่ยนความคิด ทำไมคนเรามันถึงต้องขี้เกียจกันขนาดนี้
แสดงความคิดเห็น
@@@@@@ นักการเมืองอย่าง "ปิยบุตร" @@@@@@@
ไม่ทราบว่า มีอะไรที่แตกต่าง?
ไม่กี่วัน ธนาธรที่เคยบอกว่า ไม่สนับสนุนนายก ที่ไม่ได้มาจาก สส แต่รวมกับป้าหน่อย อ้างว่า ป้าหน่อยมีความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะเป็น สส แต่เผอิญสอบตก
หรืออย่าง ปิยบูดที่อ้างตัวว่าเป็นนักวิชาการที่ร่วมเสวนาในวงแคบ แต่พอมีการคุ้ยเอาเรื่องเดิมปี 2554 ขึ้นมาเปิดเผย กลับบอกว่าเป็นคลิปตัดต่อ ใสร้าย
ทำไมไม่มีความกล้า ที่จะยืนยันอุดมการณ์ของตัวเอง ถ้าจะบอกว่า ตัดต่อ ตรงไหนๆที่ทำให้ความหมายเปลี่ยน กล้าแสดงคลิปเต็มในเฟชตัวเองไหม
หรือ สองคนนี้ กล้าให้คำมั่นต่อหน้าปชช สื่อมวลชนในสิ่งที่คนเคลือบแคลงสงสัย เหมือนที่บีบคั้นให้มารคแสดงสัญญาประชาคม
กล้าไหมมมม หรืออุดดมการณ์แปรเปลี่ยนไป ถ้ามีลาภ ยศ สรรเสริญเพียงพอ
_________________________________________
https://www.thaipost.net/main/detail/32735
อีกประเด็น คือคำพูดเป็นนาย ไม่ว่าคนพูดจะเปลี่ยนสถานะเป็นอะไร คำพูดจะติดสอยห้อยตามไปเสมอ
ไม่ว่า "ปิยบุตร" จะพูดในฐานะนักวิชาการ หรือนักการเมือง มันก็สะท้อนถึงวิธีคิดของตัวเอง
คลิปที่ถูกนำไปเปิดก่อนเลือกตั้ง อ้างได้อย่างไรว่า เป็นการแสดงเจตนาอันไม่สุจริตของผู้กระทำ ต้องการทำให้เสียหาย ถูกเกลียดชัง เพื่อทำให้คนเข้าใจผิดและไม่ลงคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่
มีคำถามเดียว "ปิยบุตร" คนก่อนเล่นการเมือง กับคนที่เป็นเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เป็นคนละคนกันใช่หรือไม่
ถ้าใช่ โอตะส้มหวาน พวกคุณเปื่อยแล้วล่ะ.