จอร์เจีย ดินแดนเทพนิยาย บรรยากาศยุโรป วีซ่าไม่ต้อง ❗️❗️ ตอนที่1

สวัสดีคร้าบบบ ตื่นเต้นมากๆกับทริปประเทศจอร์เจีย ดินแดนแห่งเทพนิยาย ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า2500ปี ท่ามกลางเทือกเขาคอเคซัสแห่งนี้


ทริปครั้งนี้เราไปกันถึง9วัน9คืน !!! 3 เมือง 3รูปแบบ

สาเหตุที่ไปประเทศนี้คือ
👍เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ
💲ค่าใช้จ่ายเท่าๆประเทศไทย
😊ปลอดภัยอันดับต้นๆ
👥ผู้คนเป็นมิตรมากๆ
🇹🇭และชาวไทยสามารถสัมผัสบรรยากาศยุโรปได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า

สภาพอากาศช่วงนี้ ปลายเดือนมีนาคม
3-13องศาเซลเซียสครับ บวกกับมีลมมาบ้างให้ขนลุก อุณภูมสัมผัสได้อาจจะลดต่ำถึง -6ครับ ในตัวเมืองทบิลิซี่ไม่มีหิมะแล้ว แต่บนเขายังแน่นครับ

ไม่เกริ่นยาวยืดแล้ว เริ่มเลยดีกว่าครับ !!

ทริปนี้เราเริ่มต้นที่ภูเก็ตครับโดยสายการบินเอมิเรตส์ ราคาประมาณ2หมื่นปลายๆไป-กลับ
(สายการบินที่กระทู้ท่านอื่นๆจากกรุงเทพก็นิยมนั่ง Air Astana ครับ หรือจะมี Qatar, Aeroflot และ Turkish ก็ได้ครับ แล้วแต่โปรโมชั่นหรือความสะดวกเลยครับ)


ก่อนเสริฟอาหารพนักงานเดินแจกเมนูครับ เที่ยวบินนี้มีไก่กับเนื้อวัวให้เลือกครับ แต่ผมเลือกเนื่อวัวในน้ำกะทิ

ถึงจุดนี้ สำคัญมากครับ หากท่านใดเลือกเที่ยวบินที่ต้องรอนานเป็น10ชั่วโมงอย่างวิว แนะนำให้ทำVisa In Arrival ล่วงหน้าเลยครับ โดยทำผ่านเว้ปไซ้ตเอมิเรตส์ ที่เราจองตั๋วไว้ โดยเลือก Manage Booking -->> Visa On Arrival และกรอกตามเลยครับ ซึ่งจะต้องแนบไฟล์แสกนหน้าพาสปอร์ต และรูปถ่ายครับ หากเข้าประเทศไม่เกิน48ชั่วโมง ไม่มีค่าวีซ่า แต่จะมีค่าดำเนินการ 700กว่าบาท จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือเดบิต เลยครับ
รอประมาณ2วัน ก็ได้รับวีซ่าเข้าในอีเมลแล้วครับ โดยไม่ต้องไปสถานฑูต เพราะมันจะถูกใส่เข้าไปในระบบตั๋วเรียบร้อยครับ และเมื่อไปถึง ตม.ไม่ขอดูอะไรทั้งสิ้นครับ อันนี้กรณีท่านอื่นไม่แน่ใจนะครับ

ตัวอย่างอีเมลที่ได้รับวีซ่าครับ

เมื่อผ่านตม.ก็มาเดินผ่านโถงรับกระเป๋าสนามบินดูไบ เพดานสูง อลังการดีครับ

หลังจากนั้นเดินไปเรื่อยๆตรงบริเวณผู้โดยสารขาเข้า จะมีบันไดเลื่อนขึ้นไปยังสถานีรถไฟเข้าเมือง ไม่ต้องหายากเลยครับ ง่ายมากๆ ลงสถานี Burj Khalifa/Dubai Mall ใช้เวลาประมานครึ่งชั่วโมงครับ


บรรยากาศระหว่างทางนั่งรถไฟครับ


ถ้าจะไปบริเวณตึกที่สูงที่สุดในโลก ชมน้ำพุช่วงค่ำ และเดินห้างดูไบมอล น้ำพุจะมีช่วงค่ำ 18.00-23.00น. ทุกครึ่งชั่วโมงแต่กลางวันจะมี บ่ายโมงและบ่ายครึ่งครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับวันที่ไปด้วยครับ

หลังจากนั้นก็กลับมาขึ้นเครื่องต่อเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางสนามบิน Tbilisi (ทบิลิซี่) โดยสายการบินฟลายดูไบที่เทอร์มินอล2. ซึ่งเป็นสายต้นทุนต่ำที่เป็นสายการบินลูกของเอมิเรตส์ ถ้ากลับมาโดยรถไฟ ระวังนะครับ เทอร์มินอล2ไกลมาก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สนามบินบอกว่าต้องนั่งแท้กซี่ไป ประมาณ 10นาที
แต่ถ้าไม่ออกไปเที่ยวในตัวเมือง ก็สามารถต่อรถบัสจากTerminal3 โดยไม่ต้องผ่านตม. ได้เลยครับ แค่เดินตามป้ายคำว่า Connection ซึ่งเป็นป้ายสีแดงที่ชัดเจนมากๆครับ และใครมีลูกน้อย สนามบินดูไบก็มีรถเข็นเด็กคอยบริการอยู่หลายจุดเช่นกันครับ

รีวิวสายการบินกันยาวเหยียด ก็มาถึงสักทีครับ ทบิลิซี่ ( Tbilisi )!!! เมืองที่รักคุณ !! แปลตรงตัวไปมั้ยครับ5555


สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่ครับ ออกมาก็จะเจอกับบู้ทแลกเงินเยอะมาก เลี้ยวไปทางขวามือสุด จะมีเค้าเต่อรซิมการ์ดอยู่ครับ วิวไป9วัน ซื้อแบบราคา 37Gel ของMagti ใช้เพียงพอครับ ค่อนข้างเร็วเลย ถึงแม้จะไปเที่ยวในเขาก็ตาม
การเดินทางมาที่นี่ วิวแนะนำให้แลกเงินดอลล่าห์สหรัฐ หรือยูโรมาจะสะดวกกว่าครับ สามารถแลกเงินสนามบินได้เลย ค่าเงินไม่ต่างจากในเมืองเท่าไหร่
เงินที่นี่ใช้สกุลเงิน GEL หรือคนที่นี่เรียกว่า Lari (ลารี่) ซึ่งคำนวนง่ายๆเวลาซื้อของคือให้ใส่0ไปอีกตัวจะเท่ากับเงินไทย มันอาจจะมากน้อยไม่เท่าไหร่ แต่เอาสะดวกไว้ก่อน เช่น 10GEL ก็ประมาณ100บาท ครับ ธนบัตรจะเริ่มที่ 5, 10, 20, 50 และ100 หากต่ำกว่า5ก็เป็นเหรียญครับ 0.10, 0.20, 0.50, 1 และ2ลารี่ครับ

เงินGELชนิดต่างๆครับ (ไม่ได้ถ่ายแบ้งค์50มาครับ)

แลกเงินเสร็จแล้วก็ ไปโรงแรมกันครับ !

ถึงแล้วครับ โรงแรม Urban Boutique Hotel คืนละประมาน 2000บาท เดินไปไหนมาไหนได้เลยในเมือง แต่......
โรงแรมจะเป็นเนินเขาซึ่งเดินเหนื่อยมาก อาจจะไม่ถุกใจหลายๆคน แต่บริการดี ห้องพักดี อาหารเช้าดีครับ
วิวจากห้องอาหารยามเช้าครับ จะเห็นตัวเมืองและเทอกเขาคอเคซัส ที่ยังคงมีหิมะปกคลุม


หลังจากนั้นเราก็ออกไปเดินเล่นกันครับ โดยการเดินทางที่นี่มีทั้ง รถเมล์ รถไฟใต้ดินและแท้กซี่ครับ ส่วนตัววิวชอบเดิน ไม่เคยได้ใช้บริการเหล่านี่เลยครับ เพราะทุกอย่างสามารถเดินได้หมดเลยครับ แนะนำให้หาโรงแรมที่ใกล้ Freedom Square หรืออีกชื่อคือ Liberty Square ให้มากที่สุด จะสามารถเดินไปได้ทุกหนแห่งเลยครับ

รูป Freedom Square หรือ Liberty Square ครับ

ถนนที่นี่ค่อนข้างกว้าง และทางเดินทางก็กว้างมากเช่นกันครับ

ระหว่างทางเดินก็จะผ่านอาคารที่ให้บรรยากาศยุโรปสุดๆ คงจะถูกใจชาวไทยเอามากๆเลยครับ มุมถ่ายรูปตลอดทางจริงๆครับ

ป้ายรถเมลครับ ทั้งเมืองจะมีรถเมล์2สีนะครับ สีเหลืองจะเป็นแบบเก่าๆหน่อย แต่สีน้ำเงินจะเป็นรถเหมือนเมืองใหญ่ๆทั่วไปครับ ส่วนบัตรจะใช้ใบเดียวทั้งรถเมล์และรถใต้ดินครับ

สำหรับใครที่ต้องการข้ามถนน จะมีทางลอดตลอดเส้นทางครับ ทางลอดบางที่ก็มีร้านค้าอยู่ด้วย ไม่ว่าจะขายของชำร่วย ขนมปัง ไปจนถึงร้านไวนฺ์ครับ

เรื่องการข้ามถนน ปลอดภัยมากครับ รอจังหวะรถมาไม่เร็วแล้วก้าวขาออกไป รถจะหยุดให้ทุกคันเลยครับ เหมือนตามเมืองในยุโรป ญี่ปุ่น และอเมริกาครับ ขอบอกว่าทุกคันจริงๆ แต่ห้ามข้ามถนนใหญ่เด็ดขาดนะครับ เพราะมีอุโมงค์ลอดให้แล้ว

วันนี้ตอน1 ขอพักเหนื่อยไว้เท่านี้ครับพรุ่งนี้จะมาต่อตอนที่2คร้าบบบ

หรือติดตามในเฟสบุ้คเพจ Breaking Borders ตามลิ้งค์ก็ได้ครับ https://www.facebook.com/billybreakingborders/

หรือYouTube กะลังทำคลิปของทริปนี้นคร้าบบ https://www.youtube.com/channel/UCDIVnpIzuodR0v5b5h4uueg
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่