ในสมัยก่อน ฟุตบอลอังกฤษถือว่าเป็นจ้าวยุโรปก็ว่าได้ นับตามสถิติทีมที่ได้ถ้วยยุโรปก่อนที่ทีมจากอังกฤษจะโดนแบน ก็เป็นทีมจากอังกฤษนี่แหละครับที่ได้ถ้วยรวมมากที่สุด เค้าว่าดันว่าหากไม่เกิดโสกนาฏกรรมที่เฮย์เซล ลิเวอร์พูลน่าจะครองความยิ่งใหญ่ต่อ และพอโดนแบบ ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม ไม่มีนักเตะยุโรปคนไหนอยากมาเล่นในอังกฤษเพราะมันไม่ได้เล่นถ้วยยุโรป
ส่วนในทีมชาติ อังกฤษยุคก่อนที่สโมสรโดนแบนก็ไม่ใช่ขี้เหร่ซักเท่าไร แม้จะไม่ผ่านรอบคัดเลือกในปี 1974 และ 1978 แต่ในปี1982ก็สามารถทำผลงานได้ดี แม้จะไม่ผ่านรอบน็อคเอ๊าท์ ซึ่งอังกฤษดันไปเสมอทั้ง2เกมให้กับเยอรมันตะวันตกและสเปนด้วยสกอร์0-0ทั้งสองนัด แต่อังกฤษทำผลงานได้ดีเพราะไม่แพ้ใครเลย และเสียแค่ประตูเดียวจากนัดที่ดับซ่าส์ฝรั่งเศสของมิเชลพลาตินี่ โดยนัดนี้อังกฤษทำประตูได้ตั้งแต่วินาทีที่27 โดยกัปตันกระดูกเหล็ก ไบรอัน ร็อบสัน จากแมนยูนั่นเอง
บ็อบบี้ร็อบสันรับงานต่อจากรอน กรีนวู้ด 2วันให้หลังจากที่อังกฤษตกรอบ และผลงานที่ยอดเยี่ยมของร็อบสันที่เห็นได้ชัดคือ พาทีมอังกฤษบุกไปอัดแซมบ้าถึงสนามมาราคาน่า 2-0 ทำให้อังกฤษ ทำให้อังกฤษเป็นทีมเต็งทีมนึงในบอลโลก1986 แต่ก็ต้องมาตกรอบจาก หัตถ์พระเจ้า ของมาราโดน่า
ในปี1988 อังกฤษตกรอบแรกยูโรโดยแพ้ไป3นัดรวดอย่างน่าอับอายต่อ ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์(ฮอลแลนด์) และโซเวียต(รัสเซีย) ทำให้โดนด่ากันระงม เพราะนักเตะของอังกฤษเล่นไม่ทันทีมอื่นจริงๆ พูดง่ายๆ "ขี้แอ๊ค" นั่นเอง อาจจะเป็นเพราะว่านักเตะอังกฤษคิดว่าตัวเองยังเก่งและเหนือชั้นก็เป็นได้ เพราะช่วง82 นั่นคือก่อนที่สโมสรอังกฤษโดนแบนก็ยังสามารถทำผลงานได้ดี แต่ปี84ที่ไม่ผ่านคัดยูโรก็น่าจะเริ่มคิดได้ แต่บังเอิญดันไปชนะบราซิลก็เลยอาจเหิมเกริม ปี86ผลงานก็ไม่ได้ขี้เหร่มาก เพราะแพ้อาร์เจนจากลูกแฮนด์บอลของมาราโดน่าเท่านั้นเอง แต่ปีที่เห็นเด่นชัดคือปี88 ที่มันเป็นที่ประจักษ์ว่า การโดนแบนจากยุโรปมันมีผลต่อผู้เล่นและสไตล์บอลของอังกฤษจริงๆ
ร็อบสันจึงปรับจูนทีมใหม่ โดยก่อนไปบอลโลกนั้นมีเสียงวิจารณ์มากมายเพราะเค้าพยายามที่จะเอาแกสคอยน์ไปด้วย แต่เหมือนสื่อจะไม่ชอบ แต่แล้วการตัดสินใจของเค้าก็ถูกต้อง เพราะแกสคอยน์ถือว่าเป็นเพลย์เมคเกอร์ที่นานๆอังกฤษจะมีซักที ในรอบแบ่งกลุ่ม อังกฤษต้องมาเจอกับไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์อีกครั้งนึง คราวนี้อังกฤษแก้เกมมาอย่างดี ถึงแม้จะเสมอกับทั้งสองทีมแต่รูปเกมก็เล่นดีขึ้น และสามารถเข้าสู้รอบต่อไปเป็นที่1ของกลุ่มโดยการเอาชนะอียิปต์ในนัดสุดท้าย ส่วนไอร์แลนด์กับเนเธอร์แลนด์เสมอทั้ง3นัดก็เข้ารอบเช่นกัน
อังกฤษยุค1990ถือว่าเป็นทีมที่ดีมาก สามารถเอาชนะเบลเยียมซึ่งตอนนั้นมี พรูด้อม เป็นประตูที่ว่ากันว่าเป็นเบอร์1ของยุโรป แต่ก็โดนลูกยิงของเดวิทแพล็ทท์ในนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาพิเศษ อังกฤษเล่นด้วยแพชชั่นที่ดี วิ่งไล่กันดีมากๆ ในรอบต่อมาก็เจอทีมม้ามืดแคเมอรูนที่มีกองหน้ารุ่นลุง โรเจอร์ มิลล่า ก็สามารถเอาชนะไปได้อย่างสุดมันส์ แล้วก็มาเจอเยอรมันตะวันตกในรอบรอง ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นเต็ง2ของรายการรองจากเจ้าภาพอิตาลีเลยทีเดียว
เยอรมันยุคไกเซอร์ฟรานซ์ เป็นทีมที่น่ากลัว และครบเครื่อง เพราะ 3+1 ทหารเสือด๊อยช์อันได้แก่ มัทเธอุส คลินส์มันน์ โฟลเลอร์ และเบรเม่ห์ นั้น ปราบแชมป์ยุโรป เนเธอร์แลนด์ที่มี3ทหารเสือดัตช์ ไรจ์การ์ด กุลลิท และศูนย์หน้าพรายกระซิบ ฟาน บาสเท่น เจ้าของลูกเตะใบไม้ร่วงอันโด่งดัง 2-0 ทำให้หลังจากนั้น ทั้งสองทีมก็กลายเป็นคู่อริกันอย่างชัดเจนในยุคบอลสมัยใหม่ อีกทั้งเบรเม่ห์ มัทเธอุส และคลินส์มันน์ยังอยู่อินเตอร์ มิลาน คู่อริร่วมเมืองของเอซี มิลาน ที่มี ไรจ์การ์จ กุลลิท และฟานบาสเท่น อีกด้วย
นัดอังกฤษเจอเยอรมันนัดนี้ ใครได้ดูสดจะรู้ว่าเซอร์ไพรส์มาก เพราะคนคิดว่ายังไงอังกฤษก็สู้เยอรมันไม่ได้ แต่เกมกลับออกมาได้อย่างสูสีมาก ทีมอังกฤษชุดนี้เล่นแบบไม่ติดแอ๊ค วิ่งสู้ฟัดมาก เรียกว่าเยอรมันไม่มีโอกาสเอาบอลไว้กับตัวได้นาน ทำให้ทำเกมได้ไม่ถนัด เยอรมันซึ่งตอนนั้นถือว่ามีเวิร์ลคลาสถึง4ตัวตามที่เก่าก่อนหน้านี้ กับอังกฤษซึ่งเล่นบอลอย่างทีมรองแต่ก็สู้สุดใจ จนในที่สุดก็เสมอกันไป1-1 และเยอรมันเอาชนะลูกโทษไปได้ สิ่งที่ผมเห็นในเกมนั้นคือ ทีมอังกฤษเป็นทีมที่อ่อนลูกโทษมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเบสิคการยิง และสภาพจิตใจ ซึ่งนักเตะที่เล่นแต่ในประเทศตัวเองซะส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์ในยุโรปอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่สามารถเอาชนะความกดดันของตัวเองได้
ปี1990-1991 เป็นปีที่ทีมอังกฤษหลุดโทษแบน(ยกเว้นลิเวอร์พูล) แมนยูสามารถทำได้ดี โดยปีนั้นสามารถคว้าแชมป์ คัพวินเนอร์ส คัพ ได้ โดยเอาชนะบาร์เซโลน่า2-1
ในช่วงนี้อังกฤษเริ่มมีการซื้อขายเอานักเตะจากยุโรปเข้ามาบ้าง เพราะหลุดจากการโดนแบน ยกเว้นลิเวอร์พูลที่จะช้ากว่าทีมอื่น1ปี กระแสบอลอังกฤษเหมือนจะเริ่มมา ดังนั้นนักเตะอังกฤษบางคนที่เป็นดาวรุ่งก็เริ่มโผล่ให้เห็นขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน กระแสนี้ทำให้นักเตะอังกฤษเริ่มหลงผิด คิดว่าตัวเองเก่งเสียเต็มประดา บอลขี้แอ๊คก็เริ่มกลับมาสู่ทีมชาติอีกครั้ง ยิ่งในยูโร92ที่แพ้ให้กลับสวีเดน2-1ตกรอบไปนี่ เรียกว่าบอลไม่มีทรงสุดๆ โดนปั่นป่วนจนไม่รู้จะประกบอย่างไร ครั้นพอโดนนำ จะวิ่งไล่แย่งบอลก็สะเปะสะปะมาก พูดง่ายๆเหมือนไม่รู้วิธีไล่บอล เกรแฮม เทย์เลอร์ โค้ชตอนนั้นก็ขาดวิสัยทัศน์ บอลโยนธรรมดาไม่มีสไตล์เลย เล่นกับอังกฤษ แค่รอสกัดลูกโด่งเท่านั้นแล้วก็โต้กลับงามๆ หรือไม่ก็วิ่งบีบพื้นที่อังกฤษก็ไปไม่เป็นแล้ว
ตอกย้ำความห่วยของบอลไม่มีทรงของอังกฤษด้วยการตกรอบคัดเลือกบอลโลกด้วยฝีมือของเนเธอร์แลนด์2-0 จากการยิงของคูมันและเบิร์กแคมป์ นัดนั้นอังกฤษพยายามเต็มที่ แต่เหมือนจังหวะจะช้ากว่า1จังหวะตลอด จากรูปเกมและการเข้าทำถือว่าโชคดีมากที่โดนแค่2ลูก เนเธอร์แลนด์เล่นบอลจังหวะเดียวได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ขณะที่อังกฤษทำแบบนั้นไม่ได้เลย นี่คือความแตกต่าง
จากนั้นบอลอังกฤษก็ยังอยู่ในวังวนนี้ บอลโลกหรือบอลยุโรปทุกครั้งมักจะมีตำนานหรือหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า ชุดนี้ดีพอนู่นนี่นั่น อาการขี้แอ็คเลยไม่หลุดจากบอลอังกฤษ มันสะท้อนให้เห็นว่า ระบบของฟุตบอลอังกฤษที่คิดว่าตัวเองก็มีดีพอ ติดโชว์เหนือบ้างจากระดับสโมสร พอต้องเล่นในระดับสโมสรยุโรปหรือทีมชาติก็แพ้ตลอด เพราะเบสิคสู้ไม่ได้ ทีมเวิร์คไม่ดี จ่ายบอลไม่แม่น
ความเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลอังกฤษเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนเมือฮอดจ์สันพาทีมตกรอบ16ทีมสุดท้าย ยูโร2016 โดยแพ้ไอซ์แลนด์ ประเทศที่มีประชากรเพียง 338,349 คน ไป2-1 และเซาท์เกธเข้ามาคุมทีมอังกฤษเมื่อจบศึกยูโรนั่นเอง
จริงๆมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในระดับลีกมาระยะนึงแล้ว เพราะทีมเล็กๆและกลางตารางในพรีเมียร์ลีกเริ่มปรับปรุงระบบการเล่นเพื่อสู้กับทีมหัวตาราง ระบบที่ว่าคือการเพรสซิ่ง วิ่งไล่กันไม่หยุด โดยนักเตะที่เป็นตัวแปรสำคัญในระบบนี้คือนักเตะจากแอฟริกา ซึ่งจะเห็นมากในทีมระดับกลางลงไป และช่วงหลังๆจะเห็นย้ายมาเล่นในอังกฤษเยอะมาก จากที่เมื่อก่อนจะมีเป้าหมายที่ฝรั่งเศสและอิตาลี นักเตะพวกนี้วิ่งได้อึดตลอดทั้งเกม ประกอบกับการมาของพอชเชตติโน่ในปี2013 คล็อปป์ในปี2015 และเป๊ปในปี2016 ยิ่งกระตุ้นทีมกลางตารางให้มีการปรับตัวมากขึ้น สังเกตได้ว่าเวลาทีมกลางตารางเจอทีมท็อปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะทีมพวกนี้ได้ เพราะว่าบางทีมไล่เพรสหนักมาก แต่ว่าทีมพวกนี้ก็มีการปรับตัวเช่นกัน โดยเฉพาะสเปอร์ซึ่งตอนหลังไปเอาตัวพอชมาจากเซาท์แธมตัน สเปอร์กลายเป็นทีมพลังหนุ่มที่เล่นได้สนุกและน่ากลัวมาก แมนซิตี้ในฤดูกาลแรกของเป๊ปนั้นซึ่งดูเหมือนมีปัญหากับทีมที่วิ่งไล่บีบก็กลับมาแก้ปัญหาได้โดยการเล่นที่ไวขึ้นกว่าเก่าแถมวิ่งไล่บีบกลับด้วย ลิเวอร์พูลของคล็อปป์ซึ่งกลายเป็นทีมที่วิ่งเยอะที่สุดทันทีพร้อมติดตั้งระบบเกเก้นเพรสซิ่งมาด้วย ก็เป็นอีกทีมที่วิ่งไล่เพรสดีมาก เรียกว่าใครมาเพรสใส่อาจเจอสวนด้วยกองหน้าความเร็วสูงได้
นอกจากนั้น เซาท์เกทซึ่งเคยเป็นนักเตะทีมชาติ แถมยังเคยคุมทีมชุดเล็กมาก่อน ทำให้นักเตะมีความเคารพยำเกรงในฐานะรุ่นพี่ สิ่งนี้ทำให้เซาท์เกธทำงานสะดวกขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะเลือกใครติดทีมชาติแต่ละครั้งเป็นเรื่องยากของผู้จัดการทีมชาติอังกฤษมาก บางทีเลือกไม่ถูกใจสื่อก็โดนวิจารณ์ ตัวที่โดนใจสื่อเลือกไปบางครั้งก็ไม่ดีเพราะว่าอวยกันเกินไป เซาท์เกธเลือกนักเตะแบบไม่เกรงใจทีมใหญ่และไม่สนว่าใครอยู่ทีมไหน เรียกว่าดูกันที่ผลงานจริงๆ ทำให้นักเตะที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นขาประจำกลับหลุดโผ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการเปลี่ยนของระบบในทีมชาติ ซึ่งมันจะไม่มีขาประจำแล้ว ทุกคนต้องรีดฟอร์มออกมาจริงๆ ต้องเล่นให้ดีและเต็มที่ในสโมสร ถึงจะมีสิทธิ์ติดทีมชาติ
สิ่งที่ผมอธิบายยืดยาวคือทีมชาติอังกฤษนั้นหลุดพ้นจากวังวนของบอลขี้แอ๊คแล้ว ส่วนนึงเกิดจากระบบการเล่นของสโมสรที่เปลี่ยนไปเป็นบอลวิ่งไล่เกือบทุกทีม อีกส่วนก็มาจากความเด็ดขาดของเซาท์เกธที่ไม่เกรงใจสโมสรใหญ่หรือเล็ก ถ้าคุณเล่นดีคือติด และถ้าติดแล้วก็ต้องเล่นให้เต็มที่เพื่อให้ทุคนยอมรับฝีมือว่าที่ติดทีมชาติมาเนี่ยคุณคือของจริง อย่างล่าสุดคือ ฮัดสัน โอดอย ของเชลซี ที่แทบไม่มีโอกาสเป็นตัวจริงเลย แต่เซาท์เกธเห็นและเชื่อ หรือส่วหนึ่งอาจไม่อยากให้ถูกดองเพราะเสียดายฝีมือด้วยก็ได้ อีกตัวนึงที่ผมเสียดายและอยากให้เซาท์เกธช่วยมากคือ โดมินิค โซลังกี้ ฮีโร่ของu20ที่พาอังกฤษคว้าแชมป์โลกu20 2017นั่นเอง
ในบอลโลก2018 อังกฤษมาเล่นแบบไม่มีกองเชียร์คาดหวังสักเท่าไร แต่ปรากฏว่าทำได้ดีมากเพราะได้ถึงอันดับ4 และคัดบอลยูโร 2020 ก็สามารถทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง นักเตะแต่ละคนฟิตและวิ่งไล่เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้เซาท์เกธประทับใจ บอลยุโรปก็เข้ารอบ8ทีมของยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ทั้ง4ทีม
แท็คติกของเซาท์เกธก็ไม่ธรรมดา ซึ่งผมยังไม่น่าเชื่อว่าเซาท์เกธ ซึ่งตอนเล่นให้ทีมชาติฝีเท้าดีเกมรับดีก็จริง แต่ไม่ใช่ระดับตัวท็อปขนาดนั้น เจอพวกระดับโลกก็หลอนเหมือนกัน จะมีแท็คติกที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ลูกตั้งเตะก็หลากหลายอยู่ จำได้ว่าบอลโลกที่ผ่านมา เวลาได้ลูกเตะมุม พวกนักเตะอังกฤษจะมายืนเรียงกันเป็นเส้นตรงทำให้อีกฝ่ายลำบากใจว่าจะประกบยังไง เพราะถ้าไปยืนตามประกบแบบนั้นมันจะเป็นแนวเส้นตรง แล้วพื้นที่หน้าประตูจะโล่งมากๆ และมันก็ไม่สามารถรู้ได้ด้วยว่าลูกเตะมุมจะมาลงตรงไหน แล้วพอเตะออกมาก็ยากที่จะตามตัวโหม่งทัน เพราะตัวผู้เล่นอังกฤษจะได้วิ่งออกมาก่อน1ก้าวเสมอ
และนี่ก็เป็นปรากฏการณ์ของบอลอังกฤษซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆผมว่าบอลอังกฤษเดินไปข้างหน้าอย่างราบรื่นแน่นอน
หันกลับมาดูที่บ้านเรา U19 U23 แพ้ให้กลับเวียดนาม หากท่านอยากจะลองดูชาติไหนเป็นตัวอย่างก็ลองดูที่อังกฤษก็ได้ ให้ปรับปรุงระบบของทีมในระดับสโมสรก่อน แล้วก็ปรับไปที่ทีมชาติ รวมไปถึงโค้ชต้องมีความเด็ดขาดด้วย
cr หงส์แดงรุ่นลุง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=388764828581585&id=341536523304416&__tn__=K-R
พูดถึงบอลไทยและบอลอังกฤษ
ส่วนในทีมชาติ อังกฤษยุคก่อนที่สโมสรโดนแบนก็ไม่ใช่ขี้เหร่ซักเท่าไร แม้จะไม่ผ่านรอบคัดเลือกในปี 1974 และ 1978 แต่ในปี1982ก็สามารถทำผลงานได้ดี แม้จะไม่ผ่านรอบน็อคเอ๊าท์ ซึ่งอังกฤษดันไปเสมอทั้ง2เกมให้กับเยอรมันตะวันตกและสเปนด้วยสกอร์0-0ทั้งสองนัด แต่อังกฤษทำผลงานได้ดีเพราะไม่แพ้ใครเลย และเสียแค่ประตูเดียวจากนัดที่ดับซ่าส์ฝรั่งเศสของมิเชลพลาตินี่ โดยนัดนี้อังกฤษทำประตูได้ตั้งแต่วินาทีที่27 โดยกัปตันกระดูกเหล็ก ไบรอัน ร็อบสัน จากแมนยูนั่นเอง
บ็อบบี้ร็อบสันรับงานต่อจากรอน กรีนวู้ด 2วันให้หลังจากที่อังกฤษตกรอบ และผลงานที่ยอดเยี่ยมของร็อบสันที่เห็นได้ชัดคือ พาทีมอังกฤษบุกไปอัดแซมบ้าถึงสนามมาราคาน่า 2-0 ทำให้อังกฤษ ทำให้อังกฤษเป็นทีมเต็งทีมนึงในบอลโลก1986 แต่ก็ต้องมาตกรอบจาก หัตถ์พระเจ้า ของมาราโดน่า
ในปี1988 อังกฤษตกรอบแรกยูโรโดยแพ้ไป3นัดรวดอย่างน่าอับอายต่อ ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์(ฮอลแลนด์) และโซเวียต(รัสเซีย) ทำให้โดนด่ากันระงม เพราะนักเตะของอังกฤษเล่นไม่ทันทีมอื่นจริงๆ พูดง่ายๆ "ขี้แอ๊ค" นั่นเอง อาจจะเป็นเพราะว่านักเตะอังกฤษคิดว่าตัวเองยังเก่งและเหนือชั้นก็เป็นได้ เพราะช่วง82 นั่นคือก่อนที่สโมสรอังกฤษโดนแบนก็ยังสามารถทำผลงานได้ดี แต่ปี84ที่ไม่ผ่านคัดยูโรก็น่าจะเริ่มคิดได้ แต่บังเอิญดันไปชนะบราซิลก็เลยอาจเหิมเกริม ปี86ผลงานก็ไม่ได้ขี้เหร่มาก เพราะแพ้อาร์เจนจากลูกแฮนด์บอลของมาราโดน่าเท่านั้นเอง แต่ปีที่เห็นเด่นชัดคือปี88 ที่มันเป็นที่ประจักษ์ว่า การโดนแบนจากยุโรปมันมีผลต่อผู้เล่นและสไตล์บอลของอังกฤษจริงๆ
ร็อบสันจึงปรับจูนทีมใหม่ โดยก่อนไปบอลโลกนั้นมีเสียงวิจารณ์มากมายเพราะเค้าพยายามที่จะเอาแกสคอยน์ไปด้วย แต่เหมือนสื่อจะไม่ชอบ แต่แล้วการตัดสินใจของเค้าก็ถูกต้อง เพราะแกสคอยน์ถือว่าเป็นเพลย์เมคเกอร์ที่นานๆอังกฤษจะมีซักที ในรอบแบ่งกลุ่ม อังกฤษต้องมาเจอกับไอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์อีกครั้งนึง คราวนี้อังกฤษแก้เกมมาอย่างดี ถึงแม้จะเสมอกับทั้งสองทีมแต่รูปเกมก็เล่นดีขึ้น และสามารถเข้าสู้รอบต่อไปเป็นที่1ของกลุ่มโดยการเอาชนะอียิปต์ในนัดสุดท้าย ส่วนไอร์แลนด์กับเนเธอร์แลนด์เสมอทั้ง3นัดก็เข้ารอบเช่นกัน
อังกฤษยุค1990ถือว่าเป็นทีมที่ดีมาก สามารถเอาชนะเบลเยียมซึ่งตอนนั้นมี พรูด้อม เป็นประตูที่ว่ากันว่าเป็นเบอร์1ของยุโรป แต่ก็โดนลูกยิงของเดวิทแพล็ทท์ในนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาพิเศษ อังกฤษเล่นด้วยแพชชั่นที่ดี วิ่งไล่กันดีมากๆ ในรอบต่อมาก็เจอทีมม้ามืดแคเมอรูนที่มีกองหน้ารุ่นลุง โรเจอร์ มิลล่า ก็สามารถเอาชนะไปได้อย่างสุดมันส์ แล้วก็มาเจอเยอรมันตะวันตกในรอบรอง ซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นเต็ง2ของรายการรองจากเจ้าภาพอิตาลีเลยทีเดียว
เยอรมันยุคไกเซอร์ฟรานซ์ เป็นทีมที่น่ากลัว และครบเครื่อง เพราะ 3+1 ทหารเสือด๊อยช์อันได้แก่ มัทเธอุส คลินส์มันน์ โฟลเลอร์ และเบรเม่ห์ นั้น ปราบแชมป์ยุโรป เนเธอร์แลนด์ที่มี3ทหารเสือดัตช์ ไรจ์การ์ด กุลลิท และศูนย์หน้าพรายกระซิบ ฟาน บาสเท่น เจ้าของลูกเตะใบไม้ร่วงอันโด่งดัง 2-0 ทำให้หลังจากนั้น ทั้งสองทีมก็กลายเป็นคู่อริกันอย่างชัดเจนในยุคบอลสมัยใหม่ อีกทั้งเบรเม่ห์ มัทเธอุส และคลินส์มันน์ยังอยู่อินเตอร์ มิลาน คู่อริร่วมเมืองของเอซี มิลาน ที่มี ไรจ์การ์จ กุลลิท และฟานบาสเท่น อีกด้วย
นัดอังกฤษเจอเยอรมันนัดนี้ ใครได้ดูสดจะรู้ว่าเซอร์ไพรส์มาก เพราะคนคิดว่ายังไงอังกฤษก็สู้เยอรมันไม่ได้ แต่เกมกลับออกมาได้อย่างสูสีมาก ทีมอังกฤษชุดนี้เล่นแบบไม่ติดแอ๊ค วิ่งสู้ฟัดมาก เรียกว่าเยอรมันไม่มีโอกาสเอาบอลไว้กับตัวได้นาน ทำให้ทำเกมได้ไม่ถนัด เยอรมันซึ่งตอนนั้นถือว่ามีเวิร์ลคลาสถึง4ตัวตามที่เก่าก่อนหน้านี้ กับอังกฤษซึ่งเล่นบอลอย่างทีมรองแต่ก็สู้สุดใจ จนในที่สุดก็เสมอกันไป1-1 และเยอรมันเอาชนะลูกโทษไปได้ สิ่งที่ผมเห็นในเกมนั้นคือ ทีมอังกฤษเป็นทีมที่อ่อนลูกโทษมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเบสิคการยิง และสภาพจิตใจ ซึ่งนักเตะที่เล่นแต่ในประเทศตัวเองซะส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์ในยุโรปอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่สามารถเอาชนะความกดดันของตัวเองได้
ปี1990-1991 เป็นปีที่ทีมอังกฤษหลุดโทษแบน(ยกเว้นลิเวอร์พูล) แมนยูสามารถทำได้ดี โดยปีนั้นสามารถคว้าแชมป์ คัพวินเนอร์ส คัพ ได้ โดยเอาชนะบาร์เซโลน่า2-1
ในช่วงนี้อังกฤษเริ่มมีการซื้อขายเอานักเตะจากยุโรปเข้ามาบ้าง เพราะหลุดจากการโดนแบน ยกเว้นลิเวอร์พูลที่จะช้ากว่าทีมอื่น1ปี กระแสบอลอังกฤษเหมือนจะเริ่มมา ดังนั้นนักเตะอังกฤษบางคนที่เป็นดาวรุ่งก็เริ่มโผล่ให้เห็นขึ้นเรื่อยๆด้วยเช่นกัน กระแสนี้ทำให้นักเตะอังกฤษเริ่มหลงผิด คิดว่าตัวเองเก่งเสียเต็มประดา บอลขี้แอ๊คก็เริ่มกลับมาสู่ทีมชาติอีกครั้ง ยิ่งในยูโร92ที่แพ้ให้กลับสวีเดน2-1ตกรอบไปนี่ เรียกว่าบอลไม่มีทรงสุดๆ โดนปั่นป่วนจนไม่รู้จะประกบอย่างไร ครั้นพอโดนนำ จะวิ่งไล่แย่งบอลก็สะเปะสะปะมาก พูดง่ายๆเหมือนไม่รู้วิธีไล่บอล เกรแฮม เทย์เลอร์ โค้ชตอนนั้นก็ขาดวิสัยทัศน์ บอลโยนธรรมดาไม่มีสไตล์เลย เล่นกับอังกฤษ แค่รอสกัดลูกโด่งเท่านั้นแล้วก็โต้กลับงามๆ หรือไม่ก็วิ่งบีบพื้นที่อังกฤษก็ไปไม่เป็นแล้ว
ตอกย้ำความห่วยของบอลไม่มีทรงของอังกฤษด้วยการตกรอบคัดเลือกบอลโลกด้วยฝีมือของเนเธอร์แลนด์2-0 จากการยิงของคูมันและเบิร์กแคมป์ นัดนั้นอังกฤษพยายามเต็มที่ แต่เหมือนจังหวะจะช้ากว่า1จังหวะตลอด จากรูปเกมและการเข้าทำถือว่าโชคดีมากที่โดนแค่2ลูก เนเธอร์แลนด์เล่นบอลจังหวะเดียวได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ขณะที่อังกฤษทำแบบนั้นไม่ได้เลย นี่คือความแตกต่าง
จากนั้นบอลอังกฤษก็ยังอยู่ในวังวนนี้ บอลโลกหรือบอลยุโรปทุกครั้งมักจะมีตำนานหรือหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า ชุดนี้ดีพอนู่นนี่นั่น อาการขี้แอ็คเลยไม่หลุดจากบอลอังกฤษ มันสะท้อนให้เห็นว่า ระบบของฟุตบอลอังกฤษที่คิดว่าตัวเองก็มีดีพอ ติดโชว์เหนือบ้างจากระดับสโมสร พอต้องเล่นในระดับสโมสรยุโรปหรือทีมชาติก็แพ้ตลอด เพราะเบสิคสู้ไม่ได้ ทีมเวิร์คไม่ดี จ่ายบอลไม่แม่น
ความเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลอังกฤษเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนเมือฮอดจ์สันพาทีมตกรอบ16ทีมสุดท้าย ยูโร2016 โดยแพ้ไอซ์แลนด์ ประเทศที่มีประชากรเพียง 338,349 คน ไป2-1 และเซาท์เกธเข้ามาคุมทีมอังกฤษเมื่อจบศึกยูโรนั่นเอง
จริงๆมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในระดับลีกมาระยะนึงแล้ว เพราะทีมเล็กๆและกลางตารางในพรีเมียร์ลีกเริ่มปรับปรุงระบบการเล่นเพื่อสู้กับทีมหัวตาราง ระบบที่ว่าคือการเพรสซิ่ง วิ่งไล่กันไม่หยุด โดยนักเตะที่เป็นตัวแปรสำคัญในระบบนี้คือนักเตะจากแอฟริกา ซึ่งจะเห็นมากในทีมระดับกลางลงไป และช่วงหลังๆจะเห็นย้ายมาเล่นในอังกฤษเยอะมาก จากที่เมื่อก่อนจะมีเป้าหมายที่ฝรั่งเศสและอิตาลี นักเตะพวกนี้วิ่งได้อึดตลอดทั้งเกม ประกอบกับการมาของพอชเชตติโน่ในปี2013 คล็อปป์ในปี2015 และเป๊ปในปี2016 ยิ่งกระตุ้นทีมกลางตารางให้มีการปรับตัวมากขึ้น สังเกตได้ว่าเวลาทีมกลางตารางเจอทีมท็อปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะทีมพวกนี้ได้ เพราะว่าบางทีมไล่เพรสหนักมาก แต่ว่าทีมพวกนี้ก็มีการปรับตัวเช่นกัน โดยเฉพาะสเปอร์ซึ่งตอนหลังไปเอาตัวพอชมาจากเซาท์แธมตัน สเปอร์กลายเป็นทีมพลังหนุ่มที่เล่นได้สนุกและน่ากลัวมาก แมนซิตี้ในฤดูกาลแรกของเป๊ปนั้นซึ่งดูเหมือนมีปัญหากับทีมที่วิ่งไล่บีบก็กลับมาแก้ปัญหาได้โดยการเล่นที่ไวขึ้นกว่าเก่าแถมวิ่งไล่บีบกลับด้วย ลิเวอร์พูลของคล็อปป์ซึ่งกลายเป็นทีมที่วิ่งเยอะที่สุดทันทีพร้อมติดตั้งระบบเกเก้นเพรสซิ่งมาด้วย ก็เป็นอีกทีมที่วิ่งไล่เพรสดีมาก เรียกว่าใครมาเพรสใส่อาจเจอสวนด้วยกองหน้าความเร็วสูงได้
นอกจากนั้น เซาท์เกทซึ่งเคยเป็นนักเตะทีมชาติ แถมยังเคยคุมทีมชุดเล็กมาก่อน ทำให้นักเตะมีความเคารพยำเกรงในฐานะรุ่นพี่ สิ่งนี้ทำให้เซาท์เกธทำงานสะดวกขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อนที่จะเลือกใครติดทีมชาติแต่ละครั้งเป็นเรื่องยากของผู้จัดการทีมชาติอังกฤษมาก บางทีเลือกไม่ถูกใจสื่อก็โดนวิจารณ์ ตัวที่โดนใจสื่อเลือกไปบางครั้งก็ไม่ดีเพราะว่าอวยกันเกินไป เซาท์เกธเลือกนักเตะแบบไม่เกรงใจทีมใหญ่และไม่สนว่าใครอยู่ทีมไหน เรียกว่าดูกันที่ผลงานจริงๆ ทำให้นักเตะที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นขาประจำกลับหลุดโผ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการเปลี่ยนของระบบในทีมชาติ ซึ่งมันจะไม่มีขาประจำแล้ว ทุกคนต้องรีดฟอร์มออกมาจริงๆ ต้องเล่นให้ดีและเต็มที่ในสโมสร ถึงจะมีสิทธิ์ติดทีมชาติ
สิ่งที่ผมอธิบายยืดยาวคือทีมชาติอังกฤษนั้นหลุดพ้นจากวังวนของบอลขี้แอ๊คแล้ว ส่วนนึงเกิดจากระบบการเล่นของสโมสรที่เปลี่ยนไปเป็นบอลวิ่งไล่เกือบทุกทีม อีกส่วนก็มาจากความเด็ดขาดของเซาท์เกธที่ไม่เกรงใจสโมสรใหญ่หรือเล็ก ถ้าคุณเล่นดีคือติด และถ้าติดแล้วก็ต้องเล่นให้เต็มที่เพื่อให้ทุคนยอมรับฝีมือว่าที่ติดทีมชาติมาเนี่ยคุณคือของจริง อย่างล่าสุดคือ ฮัดสัน โอดอย ของเชลซี ที่แทบไม่มีโอกาสเป็นตัวจริงเลย แต่เซาท์เกธเห็นและเชื่อ หรือส่วหนึ่งอาจไม่อยากให้ถูกดองเพราะเสียดายฝีมือด้วยก็ได้ อีกตัวนึงที่ผมเสียดายและอยากให้เซาท์เกธช่วยมากคือ โดมินิค โซลังกี้ ฮีโร่ของu20ที่พาอังกฤษคว้าแชมป์โลกu20 2017นั่นเอง
ในบอลโลก2018 อังกฤษมาเล่นแบบไม่มีกองเชียร์คาดหวังสักเท่าไร แต่ปรากฏว่าทำได้ดีมากเพราะได้ถึงอันดับ4 และคัดบอลยูโร 2020 ก็สามารถทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง นักเตะแต่ละคนฟิตและวิ่งไล่เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้เซาท์เกธประทับใจ บอลยุโรปก็เข้ารอบ8ทีมของยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ทั้ง4ทีม
แท็คติกของเซาท์เกธก็ไม่ธรรมดา ซึ่งผมยังไม่น่าเชื่อว่าเซาท์เกธ ซึ่งตอนเล่นให้ทีมชาติฝีเท้าดีเกมรับดีก็จริง แต่ไม่ใช่ระดับตัวท็อปขนาดนั้น เจอพวกระดับโลกก็หลอนเหมือนกัน จะมีแท็คติกที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ลูกตั้งเตะก็หลากหลายอยู่ จำได้ว่าบอลโลกที่ผ่านมา เวลาได้ลูกเตะมุม พวกนักเตะอังกฤษจะมายืนเรียงกันเป็นเส้นตรงทำให้อีกฝ่ายลำบากใจว่าจะประกบยังไง เพราะถ้าไปยืนตามประกบแบบนั้นมันจะเป็นแนวเส้นตรง แล้วพื้นที่หน้าประตูจะโล่งมากๆ และมันก็ไม่สามารถรู้ได้ด้วยว่าลูกเตะมุมจะมาลงตรงไหน แล้วพอเตะออกมาก็ยากที่จะตามตัวโหม่งทัน เพราะตัวผู้เล่นอังกฤษจะได้วิ่งออกมาก่อน1ก้าวเสมอ
และนี่ก็เป็นปรากฏการณ์ของบอลอังกฤษซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆผมว่าบอลอังกฤษเดินไปข้างหน้าอย่างราบรื่นแน่นอน
หันกลับมาดูที่บ้านเรา U19 U23 แพ้ให้กลับเวียดนาม หากท่านอยากจะลองดูชาติไหนเป็นตัวอย่างก็ลองดูที่อังกฤษก็ได้ ให้ปรับปรุงระบบของทีมในระดับสโมสรก่อน แล้วก็ปรับไปที่ทีมชาติ รวมไปถึงโค้ชต้องมีความเด็ดขาดด้วย
cr หงส์แดงรุ่นลุง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้