(ความคิดเห็นส่วนตัว) คริสโตเฟอร์ โนแลน และ แซ็ค ชไนเดอร์ ไม่เหมาะกับการกำกับหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ ที่ต้องเป็นจักรวาลขยาย หรือ หนังที่ต้องมีภาคต่อๆและต้องเชื่อมโยงกับหนังเรื่องอื่นๆในเครือเดียวกัน ด้วยสไตล์การเล่าเรื่อง ที่(พยายาม) จะยัดเยียดปรัญญา ความเรียบลิตี้ ความเป็นจริง(ที่มากเกินไป ในหนังแฟนตาซีที่ไม่ได้อิงจากความจริง)
สิ่งต่างๆเหล่านี้ ผมมองว่าท่านผู้กำกับที่มากความสามารถทั้งสองท่านคงไม่เหมาะกับการทำหนังแนวฮีโร่ ที่คนดูส่วนใหญ่ดูเพื่อความบันเทิง หรือดูเพื่อสนองนีดจากคอมมิคเพื่อจะได้เห็นภาพการ์ตูนกลายมาเป็นคนแสดงจริงๆ น้อยคนที่มีความคิดว่าอยากจะดูหนังฮีโร่เพื่อค้นหาปรัชญาชีวิต คงไม่มีใครหรอกมั้งที่เห็นหนังฮีโร่แล้วคิดว่าจะเข้าไปดูเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต เข้าไปเสพความเป็นปรัญชาที่ผู้กำกับพยายามัดเยียดมาให้ น้อยคนที่จะทำแบบนี้ คนส่วนใหญ่มุ่งเน้นความสนุก ความตื่นเต้นกันทั้งนั้น
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ จากหนังที่เทพเจ้าโนแลนสร้างชื่อเสียงเอาไว้ The dark knight นั้นเป็นหนังที่ดี แฝงด้วยปรัญชา แฝงด้วยสัจธรรม ตีแผ่ควาทเป็นจริงของมนุษย์ โดยรวมมันคือหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่...มันดีในตัวของมันเอง มันไม่สามารถเอาไปต่อยอดได้ ไม่สามารถสร้างหนังเรื่องอื่นๆที่อยู่ในเครือเดียวกันให้มาเชื่อมโยงกันได้ พอหนังจบ ทุกอย่างคือจบ ไม่มีต่อยอด ไม่มีภาคต่อ ไม่มีจักรวาลขยาย ข้อคิดที่ได้คือ หนังดี แต่อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด
ดังนั้นจึงได้เกิดการรีบูทจักรวาลใหม่ทั้งหมด ผู้ที่มารับช่วงต่อก็คือ แซ็ค สไนเดอร์ ผู้กำกับที่มีสไตล์ใกล้เคียงกับคริสโตเฟอร์ โนแลน แต่ออกจะดาร์คกว่า ดิบกว่า ดุกว่า โดยหนังที่ได้หยิบขึ้นมาเปิดหัวไม่ใช่แบทแมนแต่เป็นซุปเปอร์แมน เรารู้อยู่แล้วว่าสไตล์การทำหนังของสองท่านนี้ใกล้เคียงกันแต่ด้านรายได้ และความสำเร็จของหนังมันช่วงต่างกันซะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้า คำวิจารณ์ที่ออกมาแย่ๆ สิ่งต่างๆเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ชมไม่ได้ต้องการเสพความเรียล หรือเสพงานศิลป์ ของหนังฮีโร่อีกต่อไปแล้ว คนดูต้องการเสพความสนุก ความตื่นเต้น แอ็คชั่น ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ผู้ชมอยากเห็นตัวละครในดวงใจได้ออกมาโลดแล่นมีชีวิตเป็นคนจริงๆ นี่คือสิ่งที่คนดูต้องการ
แต่สิ่งที่สไนเดอร์ทำกลีบสวนทางกับคนดู บทเรียนจากซุปเปอร์แมนน่าจะทำให้ แซ็ค ตาสว่าง แต่ไม่ใช่ เค้ายังคงยืนยันจะทำตามเจตนารมเดิม คือใส่ความดิบ ความเรียล ยัดเยียดปรัญชา(อะไรก็ไม่รู้)เข้ามาในหนังแบทแมนปะทะซุปเปอร์แมน ผลคือหนังล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งด้านรายได้ และคำวิจารณ์ ที่ติบลบ ถือเป็นความล้มเหลวที่ไม่น่าให้อภัย เพราะมีตัวอย่างจากหนังซุปเปอร์แมนให้เห็นแล้วว่าสไตล์แบบนี้มันไม่เวริค แต่เทพเจ้าสไนเดอร์ก็ยังยืนกรานจะทำตามสไตล์เดิม
ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ประโยคนี้น่าจะตอกย้ำความล้มเหลวของเทพเจ้าสไนเดอร์ได้เป็นอย่างดี จากการกำกับหนังเรื่องถัดมา จัสติช ลีค หนังรวมฮีโร่ที่จะต้องเป็นหนังฟรอมยัค เป็นหนังที่จะต้องยิ่งใหญ่ เพราะถือเป็นมาสเตอร์พีช ในเครือDC ไม่ใช่หนังดาดๆทั่วไปที่จะทำอะไรกับมันก็ได้ แต่เทพเจ้าแซ็ค สไนเดอร์ก็ยังยืนกรานจะเล่าหนังในสไตล์เดิม โดยไม่สนชาวโลก ตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้วตั้งสองเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นซุปเปอร์แมน และ แบทแมทปะทะซุปเปอร์แมน แต่ตาแซ็คไม่สนใจ คำจิจารณ์ติบลบไม่แคร์ รายได้ไม่ดีช่างหัวมัน ฉันจะทำแบบนี้ จะเอาสไตล์แบบนี้ ผลกรรมที่ท่านไม่แคร์กระแสสังคม ส่งผลให้หนังจัสติช ลีค ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ ที่ออกมาแย่ยิ่งกว่าหนังสองเรื่องที่ผ่านมาเสียอีก ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนผู้กำกับแต่ก็ปฏิเสทไม่ได้ว่าโครงเรื่องหลักๆ และการถ่ายทำแทบทั้งหมดมาจากแซ็ค สไนเดอร์ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับแล้วก็ตาม แต่ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแนวทางของหนังได้ หนังยังคงเป็นสไตล์แบบแซ็ค สไนเดอร์อยู่ ความล้มเหลวของหนังจึงต้องถูกโยนให้เทพเจ้า(จอมปลอม)แซ็ค สไนเดอร์ รับไว้แค่เพียงผู้เดียว
นี่ละผลของการดูถูกคนดู การไม่สนใจคนดู การสวนกระแสคนดู ผลทั้งหมดมันจึงออกมาเป็นรูปแบบนี้ ในเวลานี้ DC ดูจะร่อแร่เต็มที สาเหตุมันก็มาจากการเริ่มต้นที่ไม่ดี ความผิดทั้งหมดทั้งมวลมันมาจากใคร ท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณาดู
คริสโตเฟอร์ โนแลน และ แซ็ค สไนเดอร์ ไม่เหมาะกับการกำกับหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่
สิ่งต่างๆเหล่านี้ ผมมองว่าท่านผู้กำกับที่มากความสามารถทั้งสองท่านคงไม่เหมาะกับการทำหนังแนวฮีโร่ ที่คนดูส่วนใหญ่ดูเพื่อความบันเทิง หรือดูเพื่อสนองนีดจากคอมมิคเพื่อจะได้เห็นภาพการ์ตูนกลายมาเป็นคนแสดงจริงๆ น้อยคนที่มีความคิดว่าอยากจะดูหนังฮีโร่เพื่อค้นหาปรัชญาชีวิต คงไม่มีใครหรอกมั้งที่เห็นหนังฮีโร่แล้วคิดว่าจะเข้าไปดูเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต เข้าไปเสพความเป็นปรัญชาที่ผู้กำกับพยายามัดเยียดมาให้ น้อยคนที่จะทำแบบนี้ คนส่วนใหญ่มุ่งเน้นความสนุก ความตื่นเต้นกันทั้งนั้น
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ จากหนังที่เทพเจ้าโนแลนสร้างชื่อเสียงเอาไว้ The dark knight นั้นเป็นหนังที่ดี แฝงด้วยปรัญชา แฝงด้วยสัจธรรม ตีแผ่ควาทเป็นจริงของมนุษย์ โดยรวมมันคือหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่...มันดีในตัวของมันเอง มันไม่สามารถเอาไปต่อยอดได้ ไม่สามารถสร้างหนังเรื่องอื่นๆที่อยู่ในเครือเดียวกันให้มาเชื่อมโยงกันได้ พอหนังจบ ทุกอย่างคือจบ ไม่มีต่อยอด ไม่มีภาคต่อ ไม่มีจักรวาลขยาย ข้อคิดที่ได้คือ หนังดี แต่อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด
ดังนั้นจึงได้เกิดการรีบูทจักรวาลใหม่ทั้งหมด ผู้ที่มารับช่วงต่อก็คือ แซ็ค สไนเดอร์ ผู้กำกับที่มีสไตล์ใกล้เคียงกับคริสโตเฟอร์ โนแลน แต่ออกจะดาร์คกว่า ดิบกว่า ดุกว่า โดยหนังที่ได้หยิบขึ้นมาเปิดหัวไม่ใช่แบทแมนแต่เป็นซุปเปอร์แมน เรารู้อยู่แล้วว่าสไตล์การทำหนังของสองท่านนี้ใกล้เคียงกันแต่ด้านรายได้ และความสำเร็จของหนังมันช่วงต่างกันซะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้า คำวิจารณ์ที่ออกมาแย่ๆ สิ่งต่างๆเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ชมไม่ได้ต้องการเสพความเรียล หรือเสพงานศิลป์ ของหนังฮีโร่อีกต่อไปแล้ว คนดูต้องการเสพความสนุก ความตื่นเต้น แอ็คชั่น ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ผู้ชมอยากเห็นตัวละครในดวงใจได้ออกมาโลดแล่นมีชีวิตเป็นคนจริงๆ นี่คือสิ่งที่คนดูต้องการ
แต่สิ่งที่สไนเดอร์ทำกลีบสวนทางกับคนดู บทเรียนจากซุปเปอร์แมนน่าจะทำให้ แซ็ค ตาสว่าง แต่ไม่ใช่ เค้ายังคงยืนยันจะทำตามเจตนารมเดิม คือใส่ความดิบ ความเรียล ยัดเยียดปรัญชา(อะไรก็ไม่รู้)เข้ามาในหนังแบทแมนปะทะซุปเปอร์แมน ผลคือหนังล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งด้านรายได้ และคำวิจารณ์ ที่ติบลบ ถือเป็นความล้มเหลวที่ไม่น่าให้อภัย เพราะมีตัวอย่างจากหนังซุปเปอร์แมนให้เห็นแล้วว่าสไตล์แบบนี้มันไม่เวริค แต่เทพเจ้าสไนเดอร์ก็ยังยืนกรานจะทำตามสไตล์เดิม
ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก ประโยคนี้น่าจะตอกย้ำความล้มเหลวของเทพเจ้าสไนเดอร์ได้เป็นอย่างดี จากการกำกับหนังเรื่องถัดมา จัสติช ลีค หนังรวมฮีโร่ที่จะต้องเป็นหนังฟรอมยัค เป็นหนังที่จะต้องยิ่งใหญ่ เพราะถือเป็นมาสเตอร์พีช ในเครือDC ไม่ใช่หนังดาดๆทั่วไปที่จะทำอะไรกับมันก็ได้ แต่เทพเจ้าแซ็ค สไนเดอร์ก็ยังยืนกรานจะเล่าหนังในสไตล์เดิม โดยไม่สนชาวโลก ตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้วตั้งสองเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นซุปเปอร์แมน และ แบทแมทปะทะซุปเปอร์แมน แต่ตาแซ็คไม่สนใจ คำจิจารณ์ติบลบไม่แคร์ รายได้ไม่ดีช่างหัวมัน ฉันจะทำแบบนี้ จะเอาสไตล์แบบนี้ ผลกรรมที่ท่านไม่แคร์กระแสสังคม ส่งผลให้หนังจัสติช ลีค ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ ที่ออกมาแย่ยิ่งกว่าหนังสองเรื่องที่ผ่านมาเสียอีก ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนผู้กำกับแต่ก็ปฏิเสทไม่ได้ว่าโครงเรื่องหลักๆ และการถ่ายทำแทบทั้งหมดมาจากแซ็ค สไนเดอร์ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับแล้วก็ตาม แต่ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแนวทางของหนังได้ หนังยังคงเป็นสไตล์แบบแซ็ค สไนเดอร์อยู่ ความล้มเหลวของหนังจึงต้องถูกโยนให้เทพเจ้า(จอมปลอม)แซ็ค สไนเดอร์ รับไว้แค่เพียงผู้เดียว
นี่ละผลของการดูถูกคนดู การไม่สนใจคนดู การสวนกระแสคนดู ผลทั้งหมดมันจึงออกมาเป็นรูปแบบนี้ ในเวลานี้ DC ดูจะร่อแร่เต็มที สาเหตุมันก็มาจากการเริ่มต้นที่ไม่ดี ความผิดทั้งหมดทั้งมวลมันมาจากใคร ท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณาดู