ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนเลยว่าผมมี 2 สัญชาติ ไทย-ไต้หวัน อาจจะมีคำที่ผมพิมพ์ผิดเพราะผมไม่ได้เขียนหรือพิมพ์มานานมากแล้ว ซึ้งเรื่องราวที่จะได้อ่านต่อไปนี้คือตัวผมเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ้งตอนนี้ผมอายุ 15 แล้ว ผมอาจจะมาบ่นมากกว่าเล่าก็ได้ ถ้าใครว่างๆหรือกำลังเบื่อๆ ก็มาอ่านได้นะครับ
ตอนผมอายุ 12 ผมได้เรียนจบ ป.6 ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเรียนมัธยมต้นแถวบ้าน แต่ครอบครัวผมทำงานอยู่ที่ไต้หวันอยู่แล้ว พวกเขาก็อยากให้ผมได้มาเรียนไต้หวัน ผมเลยเลือกมาเรียนที่ไต้หวัน บอกเลยว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ ผมไม่รู้ภาษาจีนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อย่างน้อยผมก็เป็นภาษาอังกฤษนิดหน่อยถึงมันจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่ก็ดีกว่าไม่รู้ไรเลย ตอนที่ผมมาถึงครอบครัวของผมได้ติดต่อไปยังโรงเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่ง แต่ก็ล้มเหลวเพราะว่าผมไม่รู้ภาษาจีนเลยสักนิด ผมเลยได้กลับไปเรียน ป.5 ใหม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมต้องขอบอกไว้ก่อนว่า เวลาเรียนของไต้หวันไม่เหมือนไทยครับ ของไต้หวัน
เทอมแรก จะเปิดในเดือน 9 ถึงเดือน 1 แล้วเปิดเทอมสอง ในเดือน 2 ถึงเดือน 7
ผมได้เข้าเรียน ป.5 เทอมสอง ความรู้สึกแรกที่เดินเข้าไปในห้องคือตื่นเต้นครับ เข้าไปในห้องก็แนะนำตัว บอกเลยผมท่องชื่อตัวเองหลายร้อยรอบมากกว่าจะจำชื่อตัวเองได้ ก็มีหลายคนเข้ามาคุยกับผมผมก็ได้แต่พยักหน้าแล้วคิดในใจว่า (พูดอะไรกันว่ะ) ไม่ใช่แค่การสื่อสาร การเรียนด้วย ผมเรียนคาบแรกในไต้หวันผลที่ได้คือหลับ ผมเรียนอยู่ที่ไทย 12 ปีไม่เคยหลับในคาบมาก่อนเพราะผมไม่เคยง่วงตอนเรียน แต่ว่าผมเรียนแค่คาบแรกก็สลบแล้วครับ อย่าพูดถึงคาบต่อไปเลย มีแค่วิชาอังกฤษ เท่านั้นที่ผมเรียนได้ เพราะผมเคยผ่านมันมาแล้ว
ผมได้เลิกเรียนตอน 3 โมง 50 แต่ถ้าเป็นวันพุธโรงเรียนจะเลิกเรียนตอนเที่ยง พอผมถึงบ้านจะมีแค่โชฟากับทีวี ตอนนั้นผมไม่มีโทรศัพท์ของตัวเอง จะมีก็มีแค่โน๊ตบุคที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ถึงผมจะมีโน๊ตบุค แต่ว่าไม่มีเน็ตครับ เน็ตของผมเป็นเน็ตมือถือ ซึ้งอยู่กับครอบครัวผมครับ ครอบครัวผมทำงานจนดึกผมเลยมักจะอยู่คนเดียว เวลาที่ผมจะได้เล่นเน็ตจึงมีน้อยมาก ส่วนมากผมกลับบ้านก็จะนอนบนโชฟาแล้วดูทีวี ไม่เคยกลับมาทบทวนบทเรียนเลยสักครั้ง ส่วนวันเสาร์กับวันอาทิตย์ ผมจะไปติวพิเศษ ถึงจะได้เล่นเน็ตแต่ก็น้อยมาก สำหรับผมการเล่นเน็ตตอนนั้นคือความสุขสูงสุดของผมแล้ว ถึงจะเล่นเกมไม่ได้แต่ก็โหลด อนิเมะ เก็บไว้ดูก็ดีสุดแล้วครับ ที่เล่นเกมไม่ได้ไม่ใช่ครอบครัวห้ามนะครับเพราะโน๊ตบุคกากครับ แต่อย่างน้อยก็ยังใช้ได้
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากไปโรงเรียน ทางโรงเรียนได้จัดครูมาสอนผม ครูท่านนี้ไม่ได้เป็นคนไทยแต่อย่างใด ถามว่าผมเรียนรู้เรื่องไหม บอกเลยว่ารู้เรื่องครับ เพราะการสอนของเขาคือการสอนเด็ก ป.1 ครับ พอผ่านไปหนึ่งเดือนผมเริ่มพอที่จะสื่อสารกับเพื่อนในห้องได้
ผ่านไป 1 ปีผมก็พอที่จะอ่านและเขียนได้ การสื่อสารของผมดีขึ้นมาก ใน 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้ทะเลาะกับครอบครัวหลายครั้งมาก ทุกๆครั้งที่ทะเลาะ ผมมักจะพูดว่า
ไม่เป็นผมก็ไม่มีวันเข้าใจหรอ 1 ปีที่ผ่านมา มันมีทั้งความกดดันและความเหงา ผมอยู่ตัวคนเดียวไม่มีคนที่จะคุย ไม่มีคนรับฟัง ครอบครัวผมไม่เคยฟังผมแต่กลับเอาแต่กดดัน การที่อยู่คนเดียวมีผมมักจะคิดไปเรื่อย ผมมักจะคิดว่ามีคนเข้าใจอย่างน้อยสักคนก็ยังดี ผมอยู่โรงเรียนกลับอยู่คนเดียวจะต่างกันเป็นคนละคนเลย เวลาผมอยู่โรงเรียนมักจะชอบหัวเราะเพราะมีเพื่อนคุย มันเป็นสิ่งที่เก็บความรู้สึกเหงาได้อย่างดี แต่พอกลับบ้านผมก็ไม่มีใครคุยถึงในหนึ่งปี่ที่ผ่านมาผมจะมีโทรศัพท์และเน็ต แต่ก็เหงามาก
แล้วเวลาก็ได้ผ่านไป อีกเกือบปี ในที่สุดผมก็ได้ขึ้น ม.1 แล้วครับตอนนั้นโคตรดีใจเพราะเป็นสิ่งที่ผมรอมานานมาก เพราะผมควรขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่พอผมขึ้น ม.1 มาได้สักพักความกดดันมันเริ่มเยอะขึ้นพอมันเริ่มที่จะเยอะขัน ผมเลือกที่จะเพิ่งเฉยแรงกดดันพวกนั้น ในตอนนี้ผมไม่มีแรงกดดันพวกนั้นเหลืออยู่เลย
ผมมีเพื่อนที่คุยอยู่ที่โรงเรียนตอนนั้นยังไม่สนิท แต่อย่างน้อยก็มีเพื่อนแก้เหงาที่โรงเรียน แต่ผมก็ชอบที่จะอยู่บ้านมากกว่า เพราะเป็นตัวของตัวเองมากกว่าอยู่โรงเรียน
ตอนนี้ผมอยู่ ม.2 แล้วครับ อย่างที่บอกตอนนี้ยังไม่มีแรงกดดันหรอกครับแต่อีก 1 ปีให้หลังมันจะมาแบบเยอะมากเพราะผมต้องเตรียมสอบเข้ามัธยมปลาย ผมในตอนนี้ชอบนอนในคาบเรียนมาก เพราะผมในตอนนี้ผมคนที่ช่างมันทุกอย่าง ไม่ว่าจะการเรียนหรืออะไรต่างๆ ผมในตอนนัมันเกินจะเยียวยาแล้วครับ
อันที่จริงมีลายระเอียดเยอะกว่านี้ แต่ก็ขอโทษด้วยครับความขี้เกียจของผมก็เกินเยียวยาเหมือนกัน
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ อีก 1 ปีผมก็คงจะกลับมาเล่าประสบการณ์ของการสอบเข้ามัธยมปลายให้อ่านกัน ช่วยรอกันหน่อยละกันครับ
เรื่องราวของเด็กอายุ 12 ที่ไปเรียนต่างประเทศ
ตอนผมอายุ 12 ผมได้เรียนจบ ป.6 ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเรียนมัธยมต้นแถวบ้าน แต่ครอบครัวผมทำงานอยู่ที่ไต้หวันอยู่แล้ว พวกเขาก็อยากให้ผมได้มาเรียนไต้หวัน ผมเลยเลือกมาเรียนที่ไต้หวัน บอกเลยว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ ผมไม่รู้ภาษาจีนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อย่างน้อยผมก็เป็นภาษาอังกฤษนิดหน่อยถึงมันจะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่ก็ดีกว่าไม่รู้ไรเลย ตอนที่ผมมาถึงครอบครัวของผมได้ติดต่อไปยังโรงเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่ง แต่ก็ล้มเหลวเพราะว่าผมไม่รู้ภาษาจีนเลยสักนิด ผมเลยได้กลับไปเรียน ป.5 ใหม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมได้เข้าเรียน ป.5 เทอมสอง ความรู้สึกแรกที่เดินเข้าไปในห้องคือตื่นเต้นครับ เข้าไปในห้องก็แนะนำตัว บอกเลยผมท่องชื่อตัวเองหลายร้อยรอบมากกว่าจะจำชื่อตัวเองได้ ก็มีหลายคนเข้ามาคุยกับผมผมก็ได้แต่พยักหน้าแล้วคิดในใจว่า (พูดอะไรกันว่ะ) ไม่ใช่แค่การสื่อสาร การเรียนด้วย ผมเรียนคาบแรกในไต้หวันผลที่ได้คือหลับ ผมเรียนอยู่ที่ไทย 12 ปีไม่เคยหลับในคาบมาก่อนเพราะผมไม่เคยง่วงตอนเรียน แต่ว่าผมเรียนแค่คาบแรกก็สลบแล้วครับ อย่าพูดถึงคาบต่อไปเลย มีแค่วิชาอังกฤษ เท่านั้นที่ผมเรียนได้ เพราะผมเคยผ่านมันมาแล้ว
ผมได้เลิกเรียนตอน 3 โมง 50 แต่ถ้าเป็นวันพุธโรงเรียนจะเลิกเรียนตอนเที่ยง พอผมถึงบ้านจะมีแค่โชฟากับทีวี ตอนนั้นผมไม่มีโทรศัพท์ของตัวเอง จะมีก็มีแค่โน๊ตบุคที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ถึงผมจะมีโน๊ตบุค แต่ว่าไม่มีเน็ตครับ เน็ตของผมเป็นเน็ตมือถือ ซึ้งอยู่กับครอบครัวผมครับ ครอบครัวผมทำงานจนดึกผมเลยมักจะอยู่คนเดียว เวลาที่ผมจะได้เล่นเน็ตจึงมีน้อยมาก ส่วนมากผมกลับบ้านก็จะนอนบนโชฟาแล้วดูทีวี ไม่เคยกลับมาทบทวนบทเรียนเลยสักครั้ง ส่วนวันเสาร์กับวันอาทิตย์ ผมจะไปติวพิเศษ ถึงจะได้เล่นเน็ตแต่ก็น้อยมาก สำหรับผมการเล่นเน็ตตอนนั้นคือความสุขสูงสุดของผมแล้ว ถึงจะเล่นเกมไม่ได้แต่ก็โหลด อนิเมะ เก็บไว้ดูก็ดีสุดแล้วครับ ที่เล่นเกมไม่ได้ไม่ใช่ครอบครัวห้ามนะครับเพราะโน๊ตบุคกากครับ แต่อย่างน้อยก็ยังใช้ได้
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากไปโรงเรียน ทางโรงเรียนได้จัดครูมาสอนผม ครูท่านนี้ไม่ได้เป็นคนไทยแต่อย่างใด ถามว่าผมเรียนรู้เรื่องไหม บอกเลยว่ารู้เรื่องครับ เพราะการสอนของเขาคือการสอนเด็ก ป.1 ครับ พอผ่านไปหนึ่งเดือนผมเริ่มพอที่จะสื่อสารกับเพื่อนในห้องได้
ผ่านไป 1 ปีผมก็พอที่จะอ่านและเขียนได้ การสื่อสารของผมดีขึ้นมาก ใน 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้ทะเลาะกับครอบครัวหลายครั้งมาก ทุกๆครั้งที่ทะเลาะ ผมมักจะพูดว่า ไม่เป็นผมก็ไม่มีวันเข้าใจหรอ 1 ปีที่ผ่านมา มันมีทั้งความกดดันและความเหงา ผมอยู่ตัวคนเดียวไม่มีคนที่จะคุย ไม่มีคนรับฟัง ครอบครัวผมไม่เคยฟังผมแต่กลับเอาแต่กดดัน การที่อยู่คนเดียวมีผมมักจะคิดไปเรื่อย ผมมักจะคิดว่ามีคนเข้าใจอย่างน้อยสักคนก็ยังดี ผมอยู่โรงเรียนกลับอยู่คนเดียวจะต่างกันเป็นคนละคนเลย เวลาผมอยู่โรงเรียนมักจะชอบหัวเราะเพราะมีเพื่อนคุย มันเป็นสิ่งที่เก็บความรู้สึกเหงาได้อย่างดี แต่พอกลับบ้านผมก็ไม่มีใครคุยถึงในหนึ่งปี่ที่ผ่านมาผมจะมีโทรศัพท์และเน็ต แต่ก็เหงามาก
แล้วเวลาก็ได้ผ่านไป อีกเกือบปี ในที่สุดผมก็ได้ขึ้น ม.1 แล้วครับตอนนั้นโคตรดีใจเพราะเป็นสิ่งที่ผมรอมานานมาก เพราะผมควรขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่พอผมขึ้น ม.1 มาได้สักพักความกดดันมันเริ่มเยอะขึ้นพอมันเริ่มที่จะเยอะขัน ผมเลือกที่จะเพิ่งเฉยแรงกดดันพวกนั้น ในตอนนี้ผมไม่มีแรงกดดันพวกนั้นเหลืออยู่เลย
ผมมีเพื่อนที่คุยอยู่ที่โรงเรียนตอนนั้นยังไม่สนิท แต่อย่างน้อยก็มีเพื่อนแก้เหงาที่โรงเรียน แต่ผมก็ชอบที่จะอยู่บ้านมากกว่า เพราะเป็นตัวของตัวเองมากกว่าอยู่โรงเรียน
ตอนนี้ผมอยู่ ม.2 แล้วครับ อย่างที่บอกตอนนี้ยังไม่มีแรงกดดันหรอกครับแต่อีก 1 ปีให้หลังมันจะมาแบบเยอะมากเพราะผมต้องเตรียมสอบเข้ามัธยมปลาย ผมในตอนนี้ชอบนอนในคาบเรียนมาก เพราะผมในตอนนี้ผมคนที่ช่างมันทุกอย่าง ไม่ว่าจะการเรียนหรืออะไรต่างๆ ผมในตอนนัมันเกินจะเยียวยาแล้วครับ
อันที่จริงมีลายระเอียดเยอะกว่านี้ แต่ก็ขอโทษด้วยครับความขี้เกียจของผมก็เกินเยียวยาเหมือนกัน
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ อีก 1 ปีผมก็คงจะกลับมาเล่าประสบการณ์ของการสอบเข้ามัธยมปลายให้อ่านกัน ช่วยรอกันหน่อยละกันครับ