บิ๊กไบค์ เดินสายนี้ต้อง... มาเล่าให้ฟังครับ

วิถีบิ๊กไบค์ คนเดียว คู่ กลุ่ม เพื่อน 2 ปีที่คลุกคลี เสียความตั้งใจแรก ต้องเอามันกลับคืนมา

   วันนี้ต้องกลับมาถามตัวเอง ก่อนจะเจอกลุ่ม ก่อนจะเจอผู้คน ก่อนจะรู้มาก วันที่เราตัดสินใจออกรถวันนั้น เราอยากได้มันมาทำไม?

สำหรับผมนะครับ ณ วันที่ยังไม่มีรถ ความคิดนะ ถ้าได้รถสมรรถนะดีๆ สักคันนะ คงไปเที่ยวไหนก็ได้ ไปได้ไกลขึ้น อยากไปไหนจะได้ไป ไม่คิดอะไรมาก ไม่ต้องรอใคร ไม่ลังเล ไปคนเดียว ไปกับแฟน หรือไปกับเพื่อนสนิทๆ แค่นั้นคงพอแล้วครับ ไม่ต้องมาเสียเวลากับรถเล็กที่บิดได้แค่ 100 หยุดพักทุก 50 โล เพราะรถจะพังเอา อยากได้รถดีๆ สักคัน bigbike เลยตอบโจทย์ครับ ตอนนั้น ผมไม่สนใจด้วย ว่ารุ่นไหนดี รุ่นไหนดัง ดูแค่เงินในกระเป๋าไหวแค่ไหน ดูแค่ทรงที่ชอบ ขอ 4 สูบ เพราะชอบเสียง แค่นั้น จบเลยครับ ขอแค่บิดได้ 120-130 นิ่งๆ นิ่มๆ รถไม่สั่นเหมือนจะแยกร่างแบบรถเล็กก็เป็นพอ.

   อยากได้รถสมรรถนะดีๆ สักคัน ตอนนั้นผมกำลังจะจบปริญญาตรีครับ กะว่า ถ้าได้ทำงานแล้วจะออกรถ ตามเป้าครับ ได้มาจริงๆ ออกมาช่วงแรกๆ ก็ทำได้ครับ ไปไหนไปกัน แต่ทำได้แปปเดียว พอวันนึงเราได้เจอผู้คน เจอกลุ่ม ชวนกันเข้ามา นี่คือจุดเริ่มต้น ที่เราเริ่มเถลไถล มีเรื่องราวมากมายเข้ามา ทั้งดีและแย่ จุดแย่ๆ ก็มาก จุดดีๆ ก็มี เช่น จะออกทริปที รอกันไปรอกันมา ผมช้าเองก็มี ต้องแหกขี้ตาตื่นอย่างกะเข้าค่าย รด. ทั้งที่เมื่อคืนเลิกงานดึก ง่วงนอนจะตาย กลับต้องมารีบ รอคนอื่นก็มี เหรดเป็น ชม. ทั้งที่ไปเองก็ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้แท้ๆ แต่ก็นะ รับได้นะ ไม่ว่ากัน เอาเพื่อนไว้ก่อนครับ ตัวเองชั่งมัน คนมันเพิ่งเจออะไรแบบนี้ มันสนุก ตื่นเต้น ไปไหนไปกัน ทั้งที่ในใจ ตามไปทีหลังได้ไหมวะ ก็นั่นแหล่ะครับ เกรงใจด้วย เพิ่งเริ่มขี่หลายคันด้วย กลัวหลงด้วย เลยเอาวะ ไปก็ไป ทำไปแบบนั้นเป็นปีๆ ทำไปแบบตัวเองช่างมัน เอาเพื่อนเอาพี่ไว้ก่อน.

   พอเข้ากลุ่มได้สักพัก มีหลายกลุ่มครับ ทั้งกลุ่มชื่อดังและไม่ดัง หลังๆ เริ่มมาตามเรื่องรถเหมือนคนอื่น ต้องตัว 1000 ตัวนั้นตัวนี้ดีกว่า ต้องใส่นั่นแต่งนี่ ต้อง Brembo ต้อง Ohlins ต้องนู้นนี่เยอะแยะไปหมด หมวกต้องเทพ ทั้งที่แต่ก่อนใส่ใบละ 1,000 - 2,000 ได้ เดี๋ยวนี้น่ะเหรอครับ ใบละ 25,000++ ผมมีสองใบ Sene อีก เป็น Bluetooth ราคาเกือบสองหมื่น กับอุปกรณ์จิปาถะ บลาๆ ปาไปอีกหลายหมื่น เจอตัวพันข้างทางตามปั๊ม รถเราไม่เห็นเทห์ก็เหมือนเค้า รถเราโดนดูถูกบ้าง สารพัด วนลูป กันไป เพราะมีความคิดเข้ามาแล้วว่า อันนั้นเทพอันนี้ดี เพราะรู้มาก พอเจอตามท้องถนน ก็เขร้ s1000 วะ V4 วะ นั่นมัน H2 เขร้ทุกอย่าง ว้าวไปหมด ยิ่งเจอคันไหนแต่งใส่ของแพง เดินวนมองไปเถอะ เงินในกระเป๋าจะโดดออกมาให้ได้ ฉันต้องมีสักวัน วันนี้ไม่มีฉันต้องแต่งรถก่อน เดี๋ยวไม่เทห์ คิดไปนั่น กินมาม่าก็ยอม ทั้งที่ทำแล้วใส่แล้ว รู้สึกอะไรเจ๋งขึ้นไหม หึ ตอบเลยครับ มีผลแค่ทางใจ กับทางเทคนิก จับความรู้สึกไม่ได้ด้วยซ้ำ ความคิดแรกเริ่มหายไป.

   วันนั้นเรากลับมีความคิด เรามีกลุ่มใหญ่วะ เราดูมีอำนาจ รู้จักกลุ่มดัง ดูเทห์จัง มีคนยิ่งเยอะยิ่งดี ทรงพลัง ขี่ไปมีแต่คนมอง (เค้ามองทำไมไม่รู้หรอก) นี่เหรอ Bigbike ขี่ไปไหนเจอคนช้าเบิ้ลใส่ เพราะขวางทางบ้าง รู้สึกได้เลยว่าหัวร้อนขึ้น ขับรถแบบนั้นแบบนี้ได้ไง &$@€}#?! ด่าคนเดียวในหมวก แต่แฟนได้ยินนะ มันมี Bluetooth 555+ แต่ไม่เคยด่าตัวเอง แฟนก็ทักนะครับ หัวร้อนขึ้นนะ ใจเย็นๆ หน่อย เป็นแบบนี้เดี๋ยวจะให้เลิกขับ (แฟนผมเค้าเป็นเด็กจบนอก ความคิดแวนซ์เค้าไม่ค่อยรู้จักหรอกครับ ชีวิตวัยรุ่นเค้าอยู่กับการเรียน เด็กในโอวาทสุดๆ แต่เค้าเห็นผมชอบ เค้าก็เลยให้ขับ เลยมากับเราด้วย) ขับเป็นกลุ่ม ขับตามกัน ทำตามกัน เห็นคนนั้นทำนู้นนี่ได้ อยากทำบ้าง เห่อตามเค้าไป ทั้งที่ไม่ต้องก็ได้ ขับเป็นกลุ่มมีแต่เร็วขึ้น ทั้งที่ขับคนเดียวหรือกับแฟน บิดไม่เกิน 120 เต็มที่ 130 เจอวิวสวยๆ บิด 80-100 ชมวิว พอไปกลับกลุ่ม วิวสวยแค่ไหน ก็แทบไม่ได้มอง บิดไปเถอะยืนพื้น 150 บางที 200++ แต่ก็บ้าบิดตามเค้าไป แต่งรถ ทำรถจนบางทีไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย เพราะไม่มีเงินเติมน้ำมัน เห้ยนี่มันเกิดอะไรขึ้น เรารับความคิดแบบนั้นเข้ามาทำไม เราไม่ได้จะแวนซ์นะ แต่มันเข้าข่าย บางทีไปด้วยกัน บางคนในกลุ่มเราไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ บางที ไป 30-40 คน เรารู้จักอยู่ 10 กว่าคน บางทริป ไปกันหลักร้อย สูงสุด 300 - 400 คันก็มีครับ แล้วใช้ความคิด เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริง เค้าเป็นใครก็ไม่รู้ ไปนับญาติเค้าซะงั้น พร้อมให้ความช่วยเหลือ ใจให้ใจ ควักได้ควักเงินอ่ะ ซึ่งมันดี แต่บางทีเกินไป บางทีเราก็ให้มากไปครับ ก็เหมือนเราเจอขอทานอ่ะ ถ้าสงสารทุกคน ให้เงินทุกคน วันนึงเราจะต้องเสียเงินไปเท่าไหร่? ฉะนั้น มันต้องรู้จักใจแข็งบ้าง ไม่ให้บ้าง นี่คือผมต้องกลับมานั่งคิดใหม่ ทริปบางทริป ค่าใช้จ่ายเยอะ ไปทีนึง 3-4 พัน ไปถี่ๆติดๆ กัน บางเดือน ไป 2-3 ทริปเลยก็มี แต่ก็ไป ทุกวันนี้ต้องใจแข็งมากขึ้นครับ ตัดความอยากบ้าง เพราะมันเริ่มเป็นหนี้ สิ้นเปลือง หมดไปกับรถมากมาย ตอนนั้นไปคนเดียวไม่ไปนะ ต้องไปพร้อมกลุ่ม แฟนชวนไปไหนไม่ไป ต้องไปพร้อมกลุ่ม เราคิดอะไรอยู่ แล้วในกลุ่มก็จะมี สายยก สายเบิร์น ตอนแรกเทห์มาก ไปหัดทำตามด้วยซ้ำ วันนี้ วันที่นั่งเขียนกระทู้ เราทำไปทำไม? ถามตัวเอง การศึกษาเราก็มี รู้ผิดรู้ถูก งานการเราก็ถือว่าดี แต่ก็ทำ แอบแฟนไปหัดด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเลย ความรู้สึกแรกหายไป.

   วันนี้ผมถึงมานั่งถามตัวเอง วันนั้นเราแค่อยากได้รถสมรรถนะดีๆ สักคันไม่ใช่เหรอ ออกมาแค่เพื่อท่องเที่ยว ให้การเดินทางราบรื่น ทำไมวันนี้ ความคิดนั้นมันหายไป ทำไมเอาความคิดคนอื่นมาใส่หัวเต็มไปหมด #ของมันต้องมี อันตรายนะคำนี้ 555+ จนวันนึง เราก็เริ่มคิดได้ว่า "กลุ่ม" ให้มันจำกัดแค่เพื่อนพอได้ไหม เพื่อนที่เรียก็ได้ว่าเพื่อนเต็มปาก ไม่ต้องเยอะก็ได้ แต่ 100% ให้กัน จริงๆ สัก 70% นี่ก็ดีใจจะตายแล้วครับ อีก 30% ให้ครอบครัวไป กลุ่มในมุมดีๆ ก็นี่แหล่ะครับ ทำให้เราได้เจอเพื่อนดีๆ ที่เราโอเค สำหรับบางคน เค้าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ปล่อยเค้า ถือซะว่าเค้าเข้ามาเป็นบทเรียนให้เรา เราได้เจอเพื่อนที่โอเคจริงๆ จาก 100 คน เจอสักคนสองคนก็นับโชคดีแล้วครับ เพื่อนที่รักในสิ่งเดียวกัน บางคนชอบวิถีแรกแบบเรา ก็มาสนิทกันก็มี วิถีที่ชอบเที่ยวหาประสบการณ์ หาความสุข ให้ตัวเอง ให้แฟน ให้เพื่อนสนิท ความสนุกจากการขับขี่เพื่อท่องเที่ยว ไม่ใช่เพื่อแวนซ์ เพื่อโชว์รถ ต่อไป การเที่ยวมันจะไม่จำกัดที่รถแล้ว เพราะรถ มันก็แค่พาหนะที่พาเราไปถึงจุดหมายแค่นั้น อย่าไปยึดติดมันมาก พอเราคิดได้แบบนี้ เราก็เริ่มตีตัวออกมาจากลูปนั้น มาใช้ชีวิตตามวิถีของเรา วันที่คิดได้จริงๆ มันมีเหตุการณ์อยู่ครับ วันนึงเราเห็นพี่ๆ กลุ่มนึงที่เราสนิทขายรถ ขายตัวพันกันหลายคน เราก็ถามว่าทำไม ขี่ตัวแพงๆ เทพๆ ไม่ดีเหรอ คำตอบคือ มันดีนะ แต่เค้าปลง แถวบ้านเรียกบรรลุ ฮ่าๆ (พี่เค้าอายุ 30++ กันละครับ) พี่เค้าบอก  มีเพื่อขี่โชว์ หรือ มีเพื่อขี่ออกไปหาความสุข ไว้มีเงินเหลือๆ ค่อยซื้อมาขับใหม่ก็ได้ วันนี้เอาที่ตัวเองไหวก็พอ แค่ให้มันมีขี่ไปไหนมาไหนที่อยากไป แล้วมีเงินไว้กินเที่ยว ก็ถือว่าโอเคแล้ว ดีกว่าเอามาลงรถหมดแล้วไม่มีเงินเที่ยว นั่นสินะ ปิ้งเลย เยดส์เขร้ยาวมาก (ขออภัยที่หยาบ แต่เพื่อให้ได้ feel ของผมตอนนั้น) จริงๆ เราคิดได้สักพักละ เจอคำนี้เข้าไปตอกย้ำ แบบ เออวะ ที่ผ่านมาเราทำไรไป ตามคนอื่นทำไม บางคนถึงขายกับรถซื้อตาม เกินกำลังก็มี กลับมาถามตัวเองใหม่ วันแรก เราอยากได้รถคันนี้มาทำไม กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นเถอะ แบบที่เราอยากทำ หลุดออกมาเยอะไปแล้ว.

  ก็เคยมีปมนะ นี่คือเหตการณ์ก่อนซื้อ Bigbike เพราะมีปม ก็เลยตัดสินใจซื้อครับ ตอนนั้นผมขี่ Nouvo125 ไปกับเพื่อน รถพัง เสียเวลา เสียค่าซ่อมร่วม 4,000 บาท ณ ตอนนั้น เราก็ไม่ค่อยจะมีเงิน เป็น นศ. จบใหม่ ต้องหยิบยืมไป เกรงใจก็เกรงใจ แต่ทำไงครับ ไม่ซ่อมก็กลับ กทม. ไม่ได้ ทั้งเพื่อน และคนหมู่มากต้องมารอเราคนเดียว รถก็ไม่ดี จะพังอย่างเดียว (ปัจจุบันคันเล็กยังอยู่นะครับ วิ่งไป 70,000 กว่าโลแล้ว) แฟนที่มาด้วยก็ลำบากเพราะรถห่วยๆ ของเรา ยางรั่ว เครื่องน็อก สายพานขาด ชามแตก สารพัด ต้องพังสักอย่างเวลาไปทริป ถึงแม้ว่าเราจะเตรียมตัวเช็คสภาพมาแค่ไหน มันก็พังได้ครับ เพราะเราใช้งานมันเกินกำลังรถ สุดท้ายให้เพื่อนกลับก่อน เรากลับคนเดียว เพราะรถใช้เวลาซ่อม 3-4 ชม. หมดสนุก อีก 150 กว่าโลถึง กทม. คนอื่นมีธุระต่อ ต้องมารอเราคนเดียว เราเกรงใจเพื่อนมาก เลยจำใจบอกไปว่า กลับกันไปก่อนได้เลย เดี๋ยวเราแยกไปอีกทาง ไม่ได้บอกว่ารถใช้เวลาซ่อมนาน คือ ไม่รถเราก็รถเพื่อน จะต้องพังคันนึง แต่เราคือกรณีหนักสุด คนอื่นก็แค่ยางรั่ว สายพานขาด ซ่อมแปปๆ ก็หาย ต่อมา พอเห็นเพื่อนคนนึงขับบิ๊กไบค์ ตอนแรกไม่ได้มองว่าเทห์เลยครับ ผมมองว่า มันคงไม่พังง่ายๆ ขับทางไกลได้ ยางก็ใหญ่ ขับความเร็วที่ชอบได้เลย เพราะรถเล็กเราขับได้ 100 นึง แต่เอาตรงๆ พยามไม่เกิน 80 กลัวเครื่องน็อกถ้าแช่นานๆ ใจอยากบิดได้สัก 120 นิ่มๆ เพราะเราเคยขับรถยนต์ความเร็วประมาณนั้น แต่อยากได้บนมอไซต์ ชอบ Bigbike เพราะ รถแบบนี้มีศูนย์เฉพาะ มีไรเค้ามีมาตราฐาน ถ้าเราได้มา เราจะพยายามเอาเข้าศูนย์ตามระยะ รถเล็กส่วนใหญ่เข้าร้านช่าง ทำดีบ้างเละบ้าง สุดท้ายรถเราเองที่แย่ เลยคิดว่า อืม สักวันนึง เราจะออกมัน รถสมรรถนะดีแน่ๆ ไม่เหมือนคันนี้ นูโว 125 ขับทางไกลลำบาก แค่ 100 โล กลับรู้สึกเหนื่อย บิด 80 รถสั่น เกร็งไปหมด ก็ตามสภาพรถเล็กล่ะนะ มีไว้ขี่ใกล้ๆ เราเอาไปขี่ไกลๆ มันก็ย่อมไม่เหมาะเท่าไหร่ คนมีบิ๊กไบค์ เค้าไปกลับวันเดียว 3-6 ร้อยโลได้ แปบเดียว เราเอาแค่ 200 โล ก็พอแล้ว ทริปไป-กลับ เกินนี้ไปพักค้างเอา นั่นแหล่ะความคิดริเริ่มของผม ที่เราอยากได้รถสมรรถนะดีๆ สักคันนึง โดยที่ไม่ได้สนใจ ยี่ห้อ ค่ายรถ หรือ ของแต่งเทพเลย ไม่ค่อยรู้จักด้วยซ้ำ ณ วันนั้น แค่อยากได้รถดีๆ สักคัน นั่นแหล่ะครับจุดเริ่มต้น แต่พอได้มาจริงๆ ก็ตามที่เล่า ก็หลุดไปไกล เพื่อนที่เคยไปด้วยตอนนั้น ก็ไม่ค่อยได้ไปด้วยอีก เพราะเพื่อนกลุ่มนั้นเค้าไม่เล่น Bigbike กัน เวลาไป ก็จะรถยนต์ผสมรถเล็ก เพื่อนหรือกลุ่มตอนนี้ เลยเป็นเพื่อนใหม่ๆ หลังได้เข้ากลุ่มมาซะมากกว่า พอคิดได้แบบนี้ เลยตั้งใจว่า จะกลับมาสานต่อวิถีแบบนั้น กลุ่ม ต้องอยู่ให้เป็น เพราะมันคือ ดาบสองคม  

  ถึงคิดแบบนั้น ตอนนี้ก็ยังมีกลุ่มอยู่นะครับ แต่จะกับกลุ่มเพื่อนจริงๆ ละ มีพี่มีน้อง เอาแบบอยู่แล้วสบายใจจริงๆ ตอนนี้อยู่กันไม่กี่คน ตัดตัวเองออกมาจากอะไรที่ พาเราไปอีกทาง บางทีบาดหมางก็มี พอที เลิกครับ ทุกวันนี้หันมาขับรถกับแฟนบ่อยขึ้น นานๆ ทีไปกับกลุ่มเพื่อนไม่เกิน 10 คน แค่นี้ก็พอแล้วครับ เราให้ความสุขกับการได้ขับขี่ ได้ชมวิวสวยๆ ชมธรรมชาติดีกว่า ถ้ากลุ่มใหญ่ๆ มีทริป ก็ขอคิดหนักๆ อาจจะไปบ้าง ปฎิเสธบ้าง เพราะเราเริ่มนิพพานละ เลยคิดได้สักที ว่า เราควรใช้ชีวิตตามใจตัวเองมากขึ้นหน่อยก็ดี ไม่ตามคนอื่นมากไป ให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น วิถี Slow life เราชอบวิถีนี้มาก เคยไปศึกษาดู ว่ามันคืออะไร พอศึกษาดูแล้ว เออ ชอบอ่ะ ตรงกับเราหลายข้อมาก อันไหนไม่ตรง ก็ค่อยปรับไป แต่ไม่ต้องทั้งหมดก็ได้ แต่เราไม่เคยจะทำจริงๆ เลย มัวแต่ตามคนอื่น นับจากนี้ เราจะลองทำดู เนิฟๆ บ้างก็ดี

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราเอาวิถี Slow life มาฝากเลยละกันครับ 
1. จัดลำดับความสำคัญ เลือกทำอันที่สำคัญสุดก่อน
2. อยู่กับปัจจุบัน มีสิติกับสิ่งที่เป็นอยู่
3. งดจ้องจอบ้าง งดออนไลน์ให้ใจได้พัก
4. ใส่ใจคนรอบข้างที่สำคัญ ให้เวลากับพวกเขามากขึ้น
5. ซึมซับธรรมชาติ ทำกิจกรรมกลางแจ้งบ้าง
6. กินให้ช้าลง ละเลียดกับความอร่อยของอาหาร 
7. ขับรถให้ช้าลง มีน้ำใจบนท้องถนน อันนี้สำคัญมาก
8. ปรับมุม มองหาสิ่งสวยงามแทนสิ่งแย่ๆ
9. ทำทีละอย่าง ค่อยเป็นค่อยไป ทำบ้าง พักบ้าง
10. ทำสมาธิ ค่อยคิดค่อยทำ อยู่นิ่งๆ บ้าง ใจเย็น

#มีกลุ่มมันดีแต่ต้องอยู่ให้พอประมาณลึกไปบางไปก็ไม่ดี
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่