สวัสดีครับ
ก่อนอื่นขอเกริ่นว่าบทความนี้จะเป็นเพียง ข้อสังเกต ซึ่งไม่ได้นำไปถึงข้อสรุป หรือความถูกผิดใดๆนะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนนี้ ผมกำลังใช้ Technical Analysis เพื่อเทรดแบบจริงจังอยู่ครับ โดยผมพยายามหาและไขปริศนาของการใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายๆแบบนะครับ ว่าแบบไหนใช้ได้ผล? หรือบางทีก็ชอบถามตัวเองว่า indicator มันไม่ได้ผล หรือเราต่างหากที่ใช้ไม่เป็น? คือก็หวังว่าอยากเป็นเซียนด้านนี้ในซักวัน 555 … จนถึงตอนนี้ ผมว่าผมก็เจออะไรดีๆเยอะนะครับ แต่ยังไม่อยากเขียน เพราะยังไม่สามารถรวบรวมมาพิสูจน์ได้ว่ามันได้ผลจริง (กลัวมโนไปเอง)
แต่มันมีอยู่ 1 หัวข้อที่ ยิ่งนานมันยิ่งรู้สึกชัดเจน โดยตอนนี้ผมน่าจะใช้สิ่งนี้เป็นอย่างท้ายๆในการวิเคราะห์ ซึ่งก็คือ Trend Line ครับ
ขออธิบายเรื่องการ Trend Line แบบสั้นๆก่อนนะครับ คือ Trend Line คือการตีเส้นตรงเพื่อดูแนวโน้มของราคา ว่าขึ้นอยู่ หรือ ลงอยู่ และเท่าที่ผมศึกษา จะมีคนแยกการตี Trend Line เป็น 2 แบบคือ
1. หา ยอด/ก้น ชัดๆ (swing high / low) ก่อนหน้า สัก 1-2 อันแล้วลากเส้นผ่าน
2. หาจุด swing high / low หลายๆอันที่ สามารถสร้างเส้นลากผ่านได้ โดยเรื่องการลากเป้ะๆ ผ่านจุดต่ำ/สูงสุด เป็นเรื่องรอง
โดยถ้า Downtrend จะตีเส้นด้านบน คิดเสมือน Resistance Line / ถ้า Uptrend จะ ตีเส้นด้านล่างคิดเสมือน Support Line ผ่านจุดต่างๆ ตาม 2 ข้อข้างต้น เสร็จแล้ว บางท่านจะตีเส้นขนาน เป็น Channel เพื่อหากรอบเทรดก็ได้ แต่มันไม่เกี่ยวกับบทความนี้ จะไม่ขอพูดถึง Channel นะครับ ลองดูตามภาพด้านล่างครับ
วิธีการใช้ก็มีหลายแบบตามสไตล์ ยกตัวอย่างเช่น ตราบใดที่ยังไม่หลุดเส้น ก็เทรดตาม Trend นั้นต่อไป หรือ ตอน Uptrend ก็คิดว่า Trend Line ที่ตีขึ้นเป็นแนว Support เพื่อหาจุดเข้าซื้อ ก็ได้ คือมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างง่ายและชัดเจน ถ้า
คุณกำลังตีกราฟย้อนหลังไปในอดีตนะครับ
แต่ส่วนตัวผมแล้ว มันค่อนข้างยากเวลา take action จริงๆมากๆ เมื่อเทียบกับการใช้วิธีอื่นๆ พูดง่ายๆคือ เจอเบรค/เด้ง หลอกประจำครับ … ตอนใช้แรกๆผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม ทั้งๆที่มันก็ดูเหมือนควรจะใช้ได้ดี …. หลังจากนั้น ผมก็ไปศึกษาเรื่องนู้นเรื่องนี้เพิ่มเติม จนตอนนี้ผมคาดว่าผมสามารถสรุปความรู้สึกผมสั้นๆได้ว่า
“สาเหตุที่ Trendline ใช้ยาก (สำหรับผม) น่าจะเพราะ การใช้ Trend Line เท่ากับยอมรับว่า ราคา และ เวลา มีความสัมพันธ์กันในเชิงเส้นตรง ( linear relationship ) ครับ”
… อันนี้ผมไม่ได้แปลไทยเป็นไทย หรือกวนนะครับ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ….
อธิบายคำว่า “ความสัมพันธ์กันในเชิงเส้นตรง” แบบสั้นๆหยาบๆก็เช่น รถวิ่ง 10 กม. ใช้น้ำมัน 1 ลิตร, รถวิ่ง 20 กม. ใช้น้ำมัน 1.9 ลิตร, … , รถวิ่ง 100 กม. ใช้น้ำมัน 10.3 ลิตร เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คือการใช้น้ำมันต่อการวิ่งรถ มั่นวิ่งไปด้วยกันแบบค่อนข้างคงที่ครับ
จากคำข้างต้น ผมสามารถแยกตัวอย่างเป็นข้อๆได้ดังนี้ครับ
1. ในความรู้สึกส่วนตัว กราฟหุ้นหรือสินทรัพย์สภาพคล่องสูงอื่นๆ จะมองยังไงก็ก็ไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง หรือเร็วคงที่ ครั้นจะเอาแนวเส้นตรงมาจับคู่กับเวลา ผมว่ามันดูไม่ค่อยสมเหตุผล อีกทั้ง ช่วง time interval ก็ไม่ได้เท่ากันทั้งหมด (คิดถึงกราฟเดือน ที่แต่ละเดือนมีวันไม่เท่ากัน) ตรงนี้ ผมว่ามันยิ่งดูไม่ make sense ครับ ที่สำคัญ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการเลื่อนแนวรับ – ต้าน ไปเรื่อยๆตามเวลา เหมือนมีคนพูดว่า “ ณ ช่วงขาขึ้น หากที่เวลา xxx หุ้นตกไปมากกว่าแนวราคา xxx เราจะเริ่มขาลงละนะ” … มันดูเทพไปอะครับ ราคาหุ้นจะวิ่งไปไหน ยังดูสุดจะยากเลย อันนี้บอกแนวเวลาไปพร้อมกันได้ด้วย สุดยอดเลยครับ
2. ผมรู้สึกว่ามันขัดกับการใช้คลื่น Elliott ครับ
– ลองคิดว่าถ้ามันเกิด คลื่นปรับ (Corrective wave) แรงๆ เช่น Zigzag หรือพวก Elongated Flat มันสามารถหลุด Trend Line ได้ง่ายๆเลยครับ (ดูตามรูปด้านล่างครับ)
– หรือถ้าคลื่นส่ง (Impulse Wave) เกิด1st Extension Wave แบบแรงๆ อาจทำให้รูปคลื่นถัดไปมีแรงน้อยจนหลุด Trend Line ก็เป็นได้
3. ขัดแย้งกับการใช้เส้น Moving Average สุดๆครับ ทั้งๆที่ผมว่าคนก็นิยมมากๆ พอๆกัน คือการใช้ MA มันเหมือนกับการเปลี่ยน Mean ไปเรื่อยๆตามช่วงเวลาและราคา แต่การใช้ Trend Line มันคล้ายการสมมติว่าการเดินของค่า Mean คงที่ (ไม่พูดถึงเรื่อง intercept หรือ channel) ตามช่วงเวลาที่ตี ถึงแม้วิธีการใช้งานจะต่างกันตามสไตล์ แต่พื้นฐาน มันจะคนละแบบเลยครับ
4. ในมุม Chart Pattern … ถ้าเจอ Triangle น่าจะรอดยากครับ โดยเฉพาะถ้าเจอ Expanding Triangle นี่ ไปไม่เป็นเลยครับ นอกจากนี้ยังมีกรณีย่อยๆ เช่นเกิด divergence หลอก (บางท่านเรียก เคลีย di) หรืออีกหลายอย่างครับ
ก็จะประมาณนี้นะครับ คือผมคิดว่าถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า มันไม่ได้เป็นไปตามที่ผมเขียนเท่าไหร่หรอก … ใช่ครับ ขอย้ำอีกรอบว่า หากท่านลองไปดูกราฟย้อนหลังแล้วตีเส้น มันจะพบว่า Trend Line ดูใช้ได้ดีมาก แต่ตอนเทรดนี่คนละฟิวเลยครับ คือตอนส่งคำสั่งซื้อขาย ณ วินาทีนั้นอะครับ … จะมีข้อมูลมากมายเข้ามาในหัว สำหรับสายเทคนิค เช่นว่า เกิด divergence / false break หรือเปล่า / เจอแนวสำคัญแล้ว / โดน fibo แล้ว / เวฟ 3 หรือแค่ B ใหญ่ / MA cross แล้ว / เหมือนจะหลุด Trend Line แล้ว บลาๆๆ … ถึงขั้นตอนนี้แล้ว ถ้าเอา Trend Line เป็นตัววัดนี่ ขายหมู หรือไม่ก็ติดดอย ประจำ…. อะไรประมาณนี้ครับ
ทั้งนี้ ผมไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยถูก แต่มีความรู้สึกว่า โอกาสชนะ ไม่ต่างกับแพ้เท่าไหร่ เหมือนๆกับ การใช้ stochastic ตัดขึ้นตัดลงในการเทรดเพียงอย่างเดียวครับ
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นแค่ผมที่ใช้ Trend Line ไม่ได้ผล ท่านอื่นๆอาจยังใช้ได้ดี โดยเฉพาะผมว่าคนที่เป็นเซียนแล้ว จะจับอะไรก็ใช้ได้ จับกราฟเปล่ายังได้เลยครับ
เห็นด้วยไม่เห็นด้วย ติชมได้เต็มที่เลยครับ ^^
ขอขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
Created by : GornNutagorn
ที่มา :
https://www.facebook.com/GornNutagorn/posts/1979189612190552
ใช้ Trend Line ได้ผลจริงหรือ? … ข้อสังเกตของการใช้ Trend Line – หุ้น Technical Analysis by GornNutagorn
ก่อนอื่นขอเกริ่นว่าบทความนี้จะเป็นเพียง ข้อสังเกต ซึ่งไม่ได้นำไปถึงข้อสรุป หรือความถูกผิดใดๆนะครับ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนนี้ ผมกำลังใช้ Technical Analysis เพื่อเทรดแบบจริงจังอยู่ครับ โดยผมพยายามหาและไขปริศนาของการใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายๆแบบนะครับ ว่าแบบไหนใช้ได้ผล? หรือบางทีก็ชอบถามตัวเองว่า indicator มันไม่ได้ผล หรือเราต่างหากที่ใช้ไม่เป็น? คือก็หวังว่าอยากเป็นเซียนด้านนี้ในซักวัน 555 … จนถึงตอนนี้ ผมว่าผมก็เจออะไรดีๆเยอะนะครับ แต่ยังไม่อยากเขียน เพราะยังไม่สามารถรวบรวมมาพิสูจน์ได้ว่ามันได้ผลจริง (กลัวมโนไปเอง)
แต่มันมีอยู่ 1 หัวข้อที่ ยิ่งนานมันยิ่งรู้สึกชัดเจน โดยตอนนี้ผมน่าจะใช้สิ่งนี้เป็นอย่างท้ายๆในการวิเคราะห์ ซึ่งก็คือ Trend Line ครับ
ขออธิบายเรื่องการ Trend Line แบบสั้นๆก่อนนะครับ คือ Trend Line คือการตีเส้นตรงเพื่อดูแนวโน้มของราคา ว่าขึ้นอยู่ หรือ ลงอยู่ และเท่าที่ผมศึกษา จะมีคนแยกการตี Trend Line เป็น 2 แบบคือ
1. หา ยอด/ก้น ชัดๆ (swing high / low) ก่อนหน้า สัก 1-2 อันแล้วลากเส้นผ่าน
2. หาจุด swing high / low หลายๆอันที่ สามารถสร้างเส้นลากผ่านได้ โดยเรื่องการลากเป้ะๆ ผ่านจุดต่ำ/สูงสุด เป็นเรื่องรอง
โดยถ้า Downtrend จะตีเส้นด้านบน คิดเสมือน Resistance Line / ถ้า Uptrend จะ ตีเส้นด้านล่างคิดเสมือน Support Line ผ่านจุดต่างๆ ตาม 2 ข้อข้างต้น เสร็จแล้ว บางท่านจะตีเส้นขนาน เป็น Channel เพื่อหากรอบเทรดก็ได้ แต่มันไม่เกี่ยวกับบทความนี้ จะไม่ขอพูดถึง Channel นะครับ ลองดูตามภาพด้านล่างครับ
วิธีการใช้ก็มีหลายแบบตามสไตล์ ยกตัวอย่างเช่น ตราบใดที่ยังไม่หลุดเส้น ก็เทรดตาม Trend นั้นต่อไป หรือ ตอน Uptrend ก็คิดว่า Trend Line ที่ตีขึ้นเป็นแนว Support เพื่อหาจุดเข้าซื้อ ก็ได้ คือมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างง่ายและชัดเจน ถ้า
คุณกำลังตีกราฟย้อนหลังไปในอดีตนะครับ
แต่ส่วนตัวผมแล้ว มันค่อนข้างยากเวลา take action จริงๆมากๆ เมื่อเทียบกับการใช้วิธีอื่นๆ พูดง่ายๆคือ เจอเบรค/เด้ง หลอกประจำครับ … ตอนใช้แรกๆผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม ทั้งๆที่มันก็ดูเหมือนควรจะใช้ได้ดี …. หลังจากนั้น ผมก็ไปศึกษาเรื่องนู้นเรื่องนี้เพิ่มเติม จนตอนนี้ผมคาดว่าผมสามารถสรุปความรู้สึกผมสั้นๆได้ว่า
“สาเหตุที่ Trendline ใช้ยาก (สำหรับผม) น่าจะเพราะ การใช้ Trend Line เท่ากับยอมรับว่า ราคา และ เวลา มีความสัมพันธ์กันในเชิงเส้นตรง ( linear relationship ) ครับ”
… อันนี้ผมไม่ได้แปลไทยเป็นไทย หรือกวนนะครับ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ….
อธิบายคำว่า “ความสัมพันธ์กันในเชิงเส้นตรง” แบบสั้นๆหยาบๆก็เช่น รถวิ่ง 10 กม. ใช้น้ำมัน 1 ลิตร, รถวิ่ง 20 กม. ใช้น้ำมัน 1.9 ลิตร, … , รถวิ่ง 100 กม. ใช้น้ำมัน 10.3 ลิตร เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คือการใช้น้ำมันต่อการวิ่งรถ มั่นวิ่งไปด้วยกันแบบค่อนข้างคงที่ครับ
จากคำข้างต้น ผมสามารถแยกตัวอย่างเป็นข้อๆได้ดังนี้ครับ
1. ในความรู้สึกส่วนตัว กราฟหุ้นหรือสินทรัพย์สภาพคล่องสูงอื่นๆ จะมองยังไงก็ก็ไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง หรือเร็วคงที่ ครั้นจะเอาแนวเส้นตรงมาจับคู่กับเวลา ผมว่ามันดูไม่ค่อยสมเหตุผล อีกทั้ง ช่วง time interval ก็ไม่ได้เท่ากันทั้งหมด (คิดถึงกราฟเดือน ที่แต่ละเดือนมีวันไม่เท่ากัน) ตรงนี้ ผมว่ามันยิ่งดูไม่ make sense ครับ ที่สำคัญ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการเลื่อนแนวรับ – ต้าน ไปเรื่อยๆตามเวลา เหมือนมีคนพูดว่า “ ณ ช่วงขาขึ้น หากที่เวลา xxx หุ้นตกไปมากกว่าแนวราคา xxx เราจะเริ่มขาลงละนะ” … มันดูเทพไปอะครับ ราคาหุ้นจะวิ่งไปไหน ยังดูสุดจะยากเลย อันนี้บอกแนวเวลาไปพร้อมกันได้ด้วย สุดยอดเลยครับ
2. ผมรู้สึกว่ามันขัดกับการใช้คลื่น Elliott ครับ
– ลองคิดว่าถ้ามันเกิด คลื่นปรับ (Corrective wave) แรงๆ เช่น Zigzag หรือพวก Elongated Flat มันสามารถหลุด Trend Line ได้ง่ายๆเลยครับ (ดูตามรูปด้านล่างครับ)
– หรือถ้าคลื่นส่ง (Impulse Wave) เกิด1st Extension Wave แบบแรงๆ อาจทำให้รูปคลื่นถัดไปมีแรงน้อยจนหลุด Trend Line ก็เป็นได้
3. ขัดแย้งกับการใช้เส้น Moving Average สุดๆครับ ทั้งๆที่ผมว่าคนก็นิยมมากๆ พอๆกัน คือการใช้ MA มันเหมือนกับการเปลี่ยน Mean ไปเรื่อยๆตามช่วงเวลาและราคา แต่การใช้ Trend Line มันคล้ายการสมมติว่าการเดินของค่า Mean คงที่ (ไม่พูดถึงเรื่อง intercept หรือ channel) ตามช่วงเวลาที่ตี ถึงแม้วิธีการใช้งานจะต่างกันตามสไตล์ แต่พื้นฐาน มันจะคนละแบบเลยครับ
4. ในมุม Chart Pattern … ถ้าเจอ Triangle น่าจะรอดยากครับ โดยเฉพาะถ้าเจอ Expanding Triangle นี่ ไปไม่เป็นเลยครับ นอกจากนี้ยังมีกรณีย่อยๆ เช่นเกิด divergence หลอก (บางท่านเรียก เคลีย di) หรืออีกหลายอย่างครับ
ก็จะประมาณนี้นะครับ คือผมคิดว่าถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า มันไม่ได้เป็นไปตามที่ผมเขียนเท่าไหร่หรอก … ใช่ครับ ขอย้ำอีกรอบว่า หากท่านลองไปดูกราฟย้อนหลังแล้วตีเส้น มันจะพบว่า Trend Line ดูใช้ได้ดีมาก แต่ตอนเทรดนี่คนละฟิวเลยครับ คือตอนส่งคำสั่งซื้อขาย ณ วินาทีนั้นอะครับ … จะมีข้อมูลมากมายเข้ามาในหัว สำหรับสายเทคนิค เช่นว่า เกิด divergence / false break หรือเปล่า / เจอแนวสำคัญแล้ว / โดน fibo แล้ว / เวฟ 3 หรือแค่ B ใหญ่ / MA cross แล้ว / เหมือนจะหลุด Trend Line แล้ว บลาๆๆ … ถึงขั้นตอนนี้แล้ว ถ้าเอา Trend Line เป็นตัววัดนี่ ขายหมู หรือไม่ก็ติดดอย ประจำ…. อะไรประมาณนี้ครับ
ทั้งนี้ ผมไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยถูก แต่มีความรู้สึกว่า โอกาสชนะ ไม่ต่างกับแพ้เท่าไหร่ เหมือนๆกับ การใช้ stochastic ตัดขึ้นตัดลงในการเทรดเพียงอย่างเดียวครับ
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นแค่ผมที่ใช้ Trend Line ไม่ได้ผล ท่านอื่นๆอาจยังใช้ได้ดี โดยเฉพาะผมว่าคนที่เป็นเซียนแล้ว จะจับอะไรก็ใช้ได้ จับกราฟเปล่ายังได้เลยครับ
เห็นด้วยไม่เห็นด้วย ติชมได้เต็มที่เลยครับ ^^
ขอขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
Created by : GornNutagorn
ที่มา :
https://www.facebook.com/GornNutagorn/posts/1979189612190552