สวัสดีค่ะ
จริง ๆ เขียนไว้ในเพจตั้งแต่ปี 2017 แล้ว คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยเลยเอามาแชร์และเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนนะคะ
ปัญหาของเราคือตอนที่มีลูก เราหาพี่เลี้ยงไม่ได้ และแม่ที่เคยบอกว่าจะเลี้ยงหลานให้ สุดท้ายดูทรงแล้วไม่รอดค่ะ เลยต้องตกลงให้แฟนลาออกมาดูลูก ที่นี้ด้วยความชะล่าใจว่าตัวเองเริ่มพูดได้ตั้งแต่ 4 เดือน ก็เลยคิดว่าลูกน่าจะเหมือนแม่มัน กลายเป็นผิดคาดค่ะ
ขออนุญาตแปะบทความที่เขียนไว้นะคะ แบ่งเป็นตอนๆเพราะตอนเขียนลงเพจมันจะยาวมากถ้าไม่แบ่งตอน
** ที่เรียกลูกว่าล่ำเพราะตอน 3 เดือนนางล่ำมากค่ะ แต่โตขึ้นยืดตัวแล้ว
** ตั้งแต่ตอนที่ 4 ขอลงใน comment นะคะ เพราะยาวไม่พอโพสในกระทู้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพจลูกค่ะ ทำไว้เก็บเรื่องราวของล่ำ ตอนเขียนแบ่งเป็นตอน ๆ ค่ะ กลัวยาวเกิน
ตอนที่ 1 https://www.facebook.com/PonnyKantapon/videos/1415885581817610/
ตอนที่ 2 https://www.facebook.com/watch/?v=1417002691705899
ตอนที่ 3 https://www.facebook.com/PonnyKantapon/videos/1418980714841430/
ตอนที่ 4 https://www.facebook.com/PonnyKantapon/posts/1420227288050106
ตอนที่ 5 https://www.facebook.com/PonnyKantapon/photos/a.1415439761862192/1423566524382849/?type=3
ตอน 1 ปฐมบท
อะไรที่ทำให้เด็ก 6 เดือนกว่าที่เริ่มจะเลียนเสียงได้แล้ว กลับหยุดพูดไป เมื่อย้อนกลับไปดูมันก็มีหลาย ๆ สาเหตุประกอบกัน ตอนล่ำ 3 เดือน อีแม่ต้องกลับไปทำงานเลยจ้างพม่ามาช่วยอาม่าดู พม่าก็ดันได้มือถือใหม่มา ตอนที่ล่ำอายุได้ประมาณ 7-8 เดือน เลี้ยงไปก็ให้ดูมือถือไป ฝากอาม่าให้เตือนแต่ก็ดูแล้วไม่ได้ผล จนพม่ามาเปรย ๆ ว่าจะออก เพราะเราจ้างเค้าแค่ 3 วัน/สัปดาห์ เลยคุยกะอีพ่อจริงจังว่าให้ลาออกมาดูลูกเถอะ อีพ่อก็ยอมออกมาดูล่ำให้ ผู้ชายคนเดียวดูลูกตั้งแต่ตี5 ยัน ทุ่มครึ่ง สะบักสะบอมแค่ไหนไม่ต้องพูดถึง แต่ล่ำก็มีพัฒนาการตามปกติ เริ่มนั่ง คลาน ยืน เกาะ เดิน ได้ตามลำดับ
ระหว่างนั้นพอเริ่มฝึกให้ลูกทานข้าว ล่ำจะอยู่ไม่นิ่งและไม่ยอมกิน สิ่งที่ทำให้ล่ำอยู่นิ่ง ๆ และกินข้าวได้เยอะก็คือ ทีวี อีแม่ไปได้ CD เพลงภาษาอังกฤษมาก็เลยเปิดให้ดูในช่วงกินข้าว ในเวลาอื่น ก็มีเปิดบ้างตามรายการที่อยากดู อาการไม่พูดของล่ำไม่ได้แสดงชัดเจน ไม่ได้เงียบไปเลยเพราะล่ำก็โวยวายเอะอะตามปกติ บางช่วงสามารถพูดเลียนเสียงได้บ้าง อย่างจ๊ะเอ๋ ก็จะพูด"เอ๋" บ้าง เรียกป๊าได้บ้าง แต่สิ่งที่พ่อแม่น่าจะขาดไปก็คือความสม่ำเสมอ ซึ่งจำเป็นมาก เพราะเด็กต้องอาศัยการเรียนรู้ซ้ำ ๆ และต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็อย่างที่บอก พ่อเลี้ยงคนเดียว ไหนจะอุ่นข้าว ป้อนนม พาลูกเล่น เอาลูกนอน ถึงจะเหนื่อย แต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถ (สภาพสามีที่อีแม่เห็นเวลากลับบ้านตอนค่ำคือ ฟิวขาด น๊อตหลุด เครื่องใกล้จะดับริบหรี่ทุกวัน เข้าบ้านมาจะเห็นซอมบี้ตัวซีดๆ อุ้มทารกเดินไปเดินมา ใครมันจะกล้าเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้สอนลูกนู่นนี่นั่นอีกหล่ะ)
ส่วนอีแม่ก็ย่ำแย่พอกัน ตื่นทุก 3 ชม.เพื่อปั๊มนม ปั่นอาหารเหลว ซักผ้าลูก ล้างขวดนม พับผ้าอ้อม เตรียมอุ่นข้าวมื้อเช้าไว้ให้พ่อลูก ทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนออกไปทำงาน และสิ่งสำคัญที่ทำให้เราชะล่าใจก็คือความเชื่อผิดๆที่บอกว่าเด็กผู้ชายพูดช้า กว่าจะพูดก็ 3 ขวบโน่น เราเลยตั้งธงกันว่าล่ำต้องพูดให้ได้ก่อน 3 ขวบ ช่วงขวบกว่าจนถึง 2 ขวบที่ผ่านมาเราจึงเลี้ยงกันตามสบาย ทีวีเปิดบ้าง ล่ำก็พูดได้นะแต่ก็เป็นภาษาต่างดาว พยายามให้พูดตามแต่พอคะยั้นคะยอมากๆเข้า ล่ำก็จะเริ่มต่อต้าน ไม่ยอมพูด จากที่เคยพูดป๊าๆ ก็เริ่มไม่มีให้ได้ยิน กลายเป็นภาษาเอเลี่ยนเกือบ 100% จุดเปลี่ยนที่ทำให้พ่อและแม่เริ่มกลับมาจริงจังกับการฝึกล่ำพูดอีกครั้ง มันเริ่มจากการพาลูกเข้าเรียนเตรียมอนุบาล เดี๋ยวค่อยมาต่อภาค 2 อีกทีนะฮะ #ล่ำน้อยผู้หายใจเข้าเวลาพูด
คลิปที่อัดไว้ตอน 6 เดือนกว่าค่ะ
ตอน 2 ภาคลงทัณฑ์
ไม่ได้หมายถึงลงโทษล่ำนะฮะ แต่ลงมาที่อีพ่ออีแม่เต็มๆเลย พอเข้าเกณฑ์ 2 ขวบนิดๆ เราก็ตัดสินใจว่าควรให้ล่ำเข้าเรียนเพราะจากสภาพพ่อที่รบกะลูกมาเกือบปี อาการเริ่มแย่ เหมือนเครียดสะสม ลูกไม่กินก็เครียด ลูกไม่พูดก็เครียด กลับบ้านมาทีไร อีพ่อหน้าตึงเหมือนเพิ่งฉีดโบท๊อก ไม่พูดไม่คุย ส่วนอีล่ำก็เริ่มหวีดเหวี่ยงเอาแต่ใจมากขึ้น แต่จะเหวี่ยงกะพ่อมากเป็นพิเศษ แม่เลยชวนไปดูโรงเรียนด้วยกัน เพราะอยากให้ล่ำหัดเข้าสังคม ลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง พัฒนาการก็ไม่ค่อยก้าวหน้า คงจะดีถ้ามีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกัน และที่โรงเรียน คุณครูไม่ตามใจแกแน่ๆอีล่ำ เราพาล่ำไปพบกับคุณครูเพื่อสมัครเข้าเรียนชั้นเด็กเล็กตอนเดือนมีนาปี 2559 ไปถึงก็เจอดอกแรกเลย คุณครูบอกว่า 2 ขวบ 4 เดือนแล้วยังไม่พูดนี่น่าเป็นห่วงนะคะคุณแม่ (อ่าว???)
สิ่งที่คุณครูขอเลยคือ
1. เลิกให้ล่ำดูทีวี Tablet มือถือ พ่อแม่ก็ห้ามดูด้วย(แม่อุทานชิหายแล้วเบาๆ ละครจ๋า ลาก่อยยยย)
2. ให้อีแม่เลิกพูด 2 ภาษากะล่ำ เอาภาษาเดียวให้ได้ก่อน ตอนนั้นล่ำเริ่มฟังภาษาอังกฤษเข้าใจแล้วด้วย เสียดายแต่ก็ต้องตัดใจ เลิกพูดภาษาอังกฤษไป
3. แนะนำว่าให้ไปพบคุณหมอด้านพัฒนาการเด็ก เพราะล่ำไม่มองหน้าเวลาพูด กลัวจะเป็นออทิสติก แล้วคุณครูก็ยังไม่รับทันทีนะ บอกว่าจะแจ้งผลไป อีพ่ออีแม่นี่เดินคอตกออกมาจาก รร. เลย นึกในใจ ลูกกูคือภาระชัดๆ พูดก็ไม่ได้ อึฉี่ก็ยังบอกไม่ได้ ถ้าคนมาสมัครเกิน อีล่ำหลุดโผชัวร์ๆ แต่เอาวะ ทำตามคุณครูแนะนำก่อน พอออกจาก รร. ก็ไปโรงพยาบาลต่อเลยเพื่อนัดคุณหมอ ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ ว่าพ่อกะแม่อีล่ำมันต้องโดนอีกกี่ดอก ไหนจะครู ไหนจะหมอด้านพัฒนาการ แต่ที่โดนดอกใหญ่ไฟกระพริบเลยคือคุณหมอฝึกพูด เหมือนโดนเรียกไปนั่งด่า อีพ่อถึงกะร้องขอชีวิต ไม่ขอเข้าห้องเย็นอีกเลย
แต่ถึงจะโดนตำหนิหนักแค่ไหน ก็ต้องยอมเพราะถ้าทำถูกมาแต่แรก มันจะไม่ยุ่งยากมากขนาดนี้ คนเหล่านี้กำลังช่วยครอบครัวเราให้พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เด๋วมาต่อตอน 3 ภาคฟื้นฟูนะฮะ
ป.ล. ในคลิปคือล่ำตอน 2 ขวบ 4 เดือน กะลังคุยกะเอเลี่ยนผ่านกล่องสัญญาณโบตัน #ล่ำน้อยผู้หายใจเข้าเวลาพูด
ตอน 3 ช่วงปรับทัศนคติ
หลังจากที่สำเหนียกได้แล้วว่าต้องยกเครื่องวิธีเลี้ยงล่ำทั้งยวง ครือที่ผ่านมาทั้งหมดเนี่ย..... มันไม่โอเครรรร!!! ยิ่งประโยคหลังของคุณครูที่บอกว่า ล่ำไม่มองหน้าเวลาคุย มีโอกาสเป็นออทิสติก!!! อีแม่นี่ขนลุกขึ้นมาถึงหนังหัวเลย ไม่ได้การละ บอกอีพ่อให้ขายทีวีทิ้งเลย!! ผู้ชายหันมองเบา ๆ แค่ปิดก็ได้ป่ะเมิง?? {ขอโทษค่ะ (-/\-)}
อีพ่อ : น้องภณ จนกว่าหนูจะพูดได้ ช่วงนี้ป่ะป๊าขอปิดทีวีก่อนนะคับ
ล่ำ : ..................................................
อีพ่อ : ถ้าหนูอยากดูทีวี หนูต้องพูดเก่ง ๆ นะคับ
ล่ำ : .................................................
ล่ำไม่ตอบแต่ก็ไม่ดื้อ บางทีผู้ใหญ่แบบเราก็คิดไปเองว่าเด็กมันจะมีปัญหา เด็กกลับไม่มีซะงั้น!!! แรก ๆ ของการเลิกดูทีวี ปวดกบาลกับการป้อนข้าวมากกกกกก (กอไก่สิบล้านตัว) จนไปพบคุณหมอเพื่อปรึกษาเรื่องพัฒนาการเด็ก จึงได้กระจ่างจิต
คุณหมอจะเริ่มสอบถามถึงวิธีการเลี้ยงลูก ใครเป็นคนเลี้ยง เด็กน้อยอยู่อย่างไร กินอย่างไร สภาพแวดล้อมพ่อแม่ปู่ย่าญาติโยมมีใครช่วยดูบ้าง?? แล้วขณะที่ถาม คุณหมอก็จะสังเกตุเด็กน้อยไปด้วย ว่าของเล่นที่วางอยู่ในห้อง น้องเล่นอะไร น้องมีปฏิกิริยาแบบไหน คุณหมอจะถามย้ำ ๆ ว่า
"เล่นกับลูกหรือเปล่า?" Keywordนี้แหละ ไอ้คำว่า
"เล่น" ไม่ใช่ว่าซื้อของเล่นมาแล้วจบ แต่พ่อแม่ก็ต้องเล่นกับเค้าด้วย เพราะเค้าจะมองและอ่านปากเราไปด้วย ที่สำคัญห้ามเล่นมือถือต่อหน้าลูก เพราะเค้าจะรู้สึกว่าไอ้แท่ง ๆ เนี่ยมันแย่งความรักแย่งพ่อแย่งแม่มันแล้วมันจะเริ่มหวีดเหวี่ยง โยนของ ก่อความรุนแรงเพื่อดึงดูดความสนใจพ่อแม่มัน
คุณหมอบอกว่าดูแล้วน้องมีลักษณะที่เป็น Hyperเทียม คือเป็นHyperจากพฤติกรรมการเลี้ยงดู ไม่ใช่โดยกำเนิด (พ่อแม่มันโดนไปอีกดอก Y__Y) คุณหมอยังขอดูอาการต่อไปก่อน และนัดครั้งต่อไปอีกสักประมาณ 2-3 เดือน แต่ระยะนี้คุณหมอกำชับว่า
1. ปิดสื่อที่กระตุ้นให้เสียสมาธิทุกสิ่ง ทีวี มือถือ tablet
2. เน้นของเล่นน้อยชิ้น ให้เล่นทีละอย่าง ไม่ใช่เทกระจาดออกมาทั่วห้องแล้วเล่นมั่วซั่ว ถ้าจะเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น ให้เก็บของเล่นชิ้นเดิมให้เรียบร้อยก่อน
3. คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจลูก เล่นกับลูก อย่าปล่อยให้เล่นคนเดียว และไม่เล่นมือถือต่อหน้าลูก
4. ถ้าลูกไม่กินข้าวก็ช่างมัน ทีเรายังกินไม่ครบทุกมื้อเลย (เออ!! จริงหว่ะ) มื้อนี้ไม่กินให้ข้ามไปเลย เค้าหิวเค้ากินเอง
5.ให้รู้สึกสนุกเวลาอยู่กับลูก ไม่อารมณ์เสีย ปล่อยวาง ถ้าพ่อแม่มีจิตนิ่ง เด็กเค้าจะนิ่งตามเอง
6. ข้อนี้สำคัญ เลิกรู้ใจลูกได้แล้ว ลูกร้องแอะ รู้เลยว่าจะให้หยิบอะไร ชี้ปุ๊บรู้เลยจะเอาชิ้นไหน โทรจิตกันเก่งละเกิ๊นนน
ตอนแรกก็เครียด ๆ แต่เราก็พยายามทำให้มันไม่เครียด เลยคุยกันว่า "ต่อไปนี้ปัญหาที่ลูกไม่พูดไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่เป็นปัญหาของลูก อยากได้อะไรแล้วไม่พูดก็อดไป" เออ...... คิดได้แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย 555555 ต่อตอนหน้า วันที่พาล่ำเข้าเรียนชั้นเด็กเล็ก เจอครูดีมีเมตตา พาล่ำเติบโต และดีงาม
ตอน 2 ขวบครึ่ง ช่วงที่เริ่มพาไปปรึกษาคุณหมอ แล้วก็เริ่มพาเที่ยวเยอะ ๆ ค่ะ
แชร์ประสบการณ์ลูกพูดภาษาต่างดาวและการพาลูกกลับสู่โลก
จริง ๆ เขียนไว้ในเพจตั้งแต่ปี 2017 แล้ว คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยเลยเอามาแชร์และเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนนะคะ
ปัญหาของเราคือตอนที่มีลูก เราหาพี่เลี้ยงไม่ได้ และแม่ที่เคยบอกว่าจะเลี้ยงหลานให้ สุดท้ายดูทรงแล้วไม่รอดค่ะ เลยต้องตกลงให้แฟนลาออกมาดูลูก ที่นี้ด้วยความชะล่าใจว่าตัวเองเริ่มพูดได้ตั้งแต่ 4 เดือน ก็เลยคิดว่าลูกน่าจะเหมือนแม่มัน กลายเป็นผิดคาดค่ะ
ขออนุญาตแปะบทความที่เขียนไว้นะคะ แบ่งเป็นตอนๆเพราะตอนเขียนลงเพจมันจะยาวมากถ้าไม่แบ่งตอน
** ที่เรียกลูกว่าล่ำเพราะตอน 3 เดือนนางล่ำมากค่ะ แต่โตขึ้นยืดตัวแล้ว
** ตั้งแต่ตอนที่ 4 ขอลงใน comment นะคะ เพราะยาวไม่พอโพสในกระทู้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอน 1 ปฐมบท
อะไรที่ทำให้เด็ก 6 เดือนกว่าที่เริ่มจะเลียนเสียงได้แล้ว กลับหยุดพูดไป เมื่อย้อนกลับไปดูมันก็มีหลาย ๆ สาเหตุประกอบกัน ตอนล่ำ 3 เดือน อีแม่ต้องกลับไปทำงานเลยจ้างพม่ามาช่วยอาม่าดู พม่าก็ดันได้มือถือใหม่มา ตอนที่ล่ำอายุได้ประมาณ 7-8 เดือน เลี้ยงไปก็ให้ดูมือถือไป ฝากอาม่าให้เตือนแต่ก็ดูแล้วไม่ได้ผล จนพม่ามาเปรย ๆ ว่าจะออก เพราะเราจ้างเค้าแค่ 3 วัน/สัปดาห์ เลยคุยกะอีพ่อจริงจังว่าให้ลาออกมาดูลูกเถอะ อีพ่อก็ยอมออกมาดูล่ำให้ ผู้ชายคนเดียวดูลูกตั้งแต่ตี5 ยัน ทุ่มครึ่ง สะบักสะบอมแค่ไหนไม่ต้องพูดถึง แต่ล่ำก็มีพัฒนาการตามปกติ เริ่มนั่ง คลาน ยืน เกาะ เดิน ได้ตามลำดับ
ระหว่างนั้นพอเริ่มฝึกให้ลูกทานข้าว ล่ำจะอยู่ไม่นิ่งและไม่ยอมกิน สิ่งที่ทำให้ล่ำอยู่นิ่ง ๆ และกินข้าวได้เยอะก็คือ ทีวี อีแม่ไปได้ CD เพลงภาษาอังกฤษมาก็เลยเปิดให้ดูในช่วงกินข้าว ในเวลาอื่น ก็มีเปิดบ้างตามรายการที่อยากดู อาการไม่พูดของล่ำไม่ได้แสดงชัดเจน ไม่ได้เงียบไปเลยเพราะล่ำก็โวยวายเอะอะตามปกติ บางช่วงสามารถพูดเลียนเสียงได้บ้าง อย่างจ๊ะเอ๋ ก็จะพูด"เอ๋" บ้าง เรียกป๊าได้บ้าง แต่สิ่งที่พ่อแม่น่าจะขาดไปก็คือความสม่ำเสมอ ซึ่งจำเป็นมาก เพราะเด็กต้องอาศัยการเรียนรู้ซ้ำ ๆ และต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็อย่างที่บอก พ่อเลี้ยงคนเดียว ไหนจะอุ่นข้าว ป้อนนม พาลูกเล่น เอาลูกนอน ถึงจะเหนื่อย แต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถ (สภาพสามีที่อีแม่เห็นเวลากลับบ้านตอนค่ำคือ ฟิวขาด น๊อตหลุด เครื่องใกล้จะดับริบหรี่ทุกวัน เข้าบ้านมาจะเห็นซอมบี้ตัวซีดๆ อุ้มทารกเดินไปเดินมา ใครมันจะกล้าเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้สอนลูกนู่นนี่นั่นอีกหล่ะ)
ส่วนอีแม่ก็ย่ำแย่พอกัน ตื่นทุก 3 ชม.เพื่อปั๊มนม ปั่นอาหารเหลว ซักผ้าลูก ล้างขวดนม พับผ้าอ้อม เตรียมอุ่นข้าวมื้อเช้าไว้ให้พ่อลูก ทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนออกไปทำงาน และสิ่งสำคัญที่ทำให้เราชะล่าใจก็คือความเชื่อผิดๆที่บอกว่าเด็กผู้ชายพูดช้า กว่าจะพูดก็ 3 ขวบโน่น เราเลยตั้งธงกันว่าล่ำต้องพูดให้ได้ก่อน 3 ขวบ ช่วงขวบกว่าจนถึง 2 ขวบที่ผ่านมาเราจึงเลี้ยงกันตามสบาย ทีวีเปิดบ้าง ล่ำก็พูดได้นะแต่ก็เป็นภาษาต่างดาว พยายามให้พูดตามแต่พอคะยั้นคะยอมากๆเข้า ล่ำก็จะเริ่มต่อต้าน ไม่ยอมพูด จากที่เคยพูดป๊าๆ ก็เริ่มไม่มีให้ได้ยิน กลายเป็นภาษาเอเลี่ยนเกือบ 100% จุดเปลี่ยนที่ทำให้พ่อและแม่เริ่มกลับมาจริงจังกับการฝึกล่ำพูดอีกครั้ง มันเริ่มจากการพาลูกเข้าเรียนเตรียมอนุบาล เดี๋ยวค่อยมาต่อภาค 2 อีกทีนะฮะ #ล่ำน้อยผู้หายใจเข้าเวลาพูด
คลิปที่อัดไว้ตอน 6 เดือนกว่าค่ะ
ตอน 2 ภาคลงทัณฑ์
ไม่ได้หมายถึงลงโทษล่ำนะฮะ แต่ลงมาที่อีพ่ออีแม่เต็มๆเลย พอเข้าเกณฑ์ 2 ขวบนิดๆ เราก็ตัดสินใจว่าควรให้ล่ำเข้าเรียนเพราะจากสภาพพ่อที่รบกะลูกมาเกือบปี อาการเริ่มแย่ เหมือนเครียดสะสม ลูกไม่กินก็เครียด ลูกไม่พูดก็เครียด กลับบ้านมาทีไร อีพ่อหน้าตึงเหมือนเพิ่งฉีดโบท๊อก ไม่พูดไม่คุย ส่วนอีล่ำก็เริ่มหวีดเหวี่ยงเอาแต่ใจมากขึ้น แต่จะเหวี่ยงกะพ่อมากเป็นพิเศษ แม่เลยชวนไปดูโรงเรียนด้วยกัน เพราะอยากให้ล่ำหัดเข้าสังคม ลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง พัฒนาการก็ไม่ค่อยก้าวหน้า คงจะดีถ้ามีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกัน และที่โรงเรียน คุณครูไม่ตามใจแกแน่ๆอีล่ำ เราพาล่ำไปพบกับคุณครูเพื่อสมัครเข้าเรียนชั้นเด็กเล็กตอนเดือนมีนาปี 2559 ไปถึงก็เจอดอกแรกเลย คุณครูบอกว่า 2 ขวบ 4 เดือนแล้วยังไม่พูดนี่น่าเป็นห่วงนะคะคุณแม่ (อ่าว???)
สิ่งที่คุณครูขอเลยคือ
1. เลิกให้ล่ำดูทีวี Tablet มือถือ พ่อแม่ก็ห้ามดูด้วย(แม่อุทานชิหายแล้วเบาๆ ละครจ๋า ลาก่อยยยย)
2. ให้อีแม่เลิกพูด 2 ภาษากะล่ำ เอาภาษาเดียวให้ได้ก่อน ตอนนั้นล่ำเริ่มฟังภาษาอังกฤษเข้าใจแล้วด้วย เสียดายแต่ก็ต้องตัดใจ เลิกพูดภาษาอังกฤษไป
3. แนะนำว่าให้ไปพบคุณหมอด้านพัฒนาการเด็ก เพราะล่ำไม่มองหน้าเวลาพูด กลัวจะเป็นออทิสติก แล้วคุณครูก็ยังไม่รับทันทีนะ บอกว่าจะแจ้งผลไป อีพ่ออีแม่นี่เดินคอตกออกมาจาก รร. เลย นึกในใจ ลูกกูคือภาระชัดๆ พูดก็ไม่ได้ อึฉี่ก็ยังบอกไม่ได้ ถ้าคนมาสมัครเกิน อีล่ำหลุดโผชัวร์ๆ แต่เอาวะ ทำตามคุณครูแนะนำก่อน พอออกจาก รร. ก็ไปโรงพยาบาลต่อเลยเพื่อนัดคุณหมอ ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ ว่าพ่อกะแม่อีล่ำมันต้องโดนอีกกี่ดอก ไหนจะครู ไหนจะหมอด้านพัฒนาการ แต่ที่โดนดอกใหญ่ไฟกระพริบเลยคือคุณหมอฝึกพูด เหมือนโดนเรียกไปนั่งด่า อีพ่อถึงกะร้องขอชีวิต ไม่ขอเข้าห้องเย็นอีกเลย
แต่ถึงจะโดนตำหนิหนักแค่ไหน ก็ต้องยอมเพราะถ้าทำถูกมาแต่แรก มันจะไม่ยุ่งยากมากขนาดนี้ คนเหล่านี้กำลังช่วยครอบครัวเราให้พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เด๋วมาต่อตอน 3 ภาคฟื้นฟูนะฮะ
ป.ล. ในคลิปคือล่ำตอน 2 ขวบ 4 เดือน กะลังคุยกะเอเลี่ยนผ่านกล่องสัญญาณโบตัน #ล่ำน้อยผู้หายใจเข้าเวลาพูด
ตอน 3 ช่วงปรับทัศนคติ
หลังจากที่สำเหนียกได้แล้วว่าต้องยกเครื่องวิธีเลี้ยงล่ำทั้งยวง ครือที่ผ่านมาทั้งหมดเนี่ย..... มันไม่โอเครรรร!!! ยิ่งประโยคหลังของคุณครูที่บอกว่า ล่ำไม่มองหน้าเวลาคุย มีโอกาสเป็นออทิสติก!!! อีแม่นี่ขนลุกขึ้นมาถึงหนังหัวเลย ไม่ได้การละ บอกอีพ่อให้ขายทีวีทิ้งเลย!! ผู้ชายหันมองเบา ๆ แค่ปิดก็ได้ป่ะเมิง?? {ขอโทษค่ะ (-/\-)}
อีพ่อ : น้องภณ จนกว่าหนูจะพูดได้ ช่วงนี้ป่ะป๊าขอปิดทีวีก่อนนะคับ
ล่ำ : ..................................................
อีพ่อ : ถ้าหนูอยากดูทีวี หนูต้องพูดเก่ง ๆ นะคับ
ล่ำ : .................................................
ล่ำไม่ตอบแต่ก็ไม่ดื้อ บางทีผู้ใหญ่แบบเราก็คิดไปเองว่าเด็กมันจะมีปัญหา เด็กกลับไม่มีซะงั้น!!! แรก ๆ ของการเลิกดูทีวี ปวดกบาลกับการป้อนข้าวมากกกกกก (กอไก่สิบล้านตัว) จนไปพบคุณหมอเพื่อปรึกษาเรื่องพัฒนาการเด็ก จึงได้กระจ่างจิต
คุณหมอจะเริ่มสอบถามถึงวิธีการเลี้ยงลูก ใครเป็นคนเลี้ยง เด็กน้อยอยู่อย่างไร กินอย่างไร สภาพแวดล้อมพ่อแม่ปู่ย่าญาติโยมมีใครช่วยดูบ้าง?? แล้วขณะที่ถาม คุณหมอก็จะสังเกตุเด็กน้อยไปด้วย ว่าของเล่นที่วางอยู่ในห้อง น้องเล่นอะไร น้องมีปฏิกิริยาแบบไหน คุณหมอจะถามย้ำ ๆ ว่า "เล่นกับลูกหรือเปล่า?" Keywordนี้แหละ ไอ้คำว่า "เล่น" ไม่ใช่ว่าซื้อของเล่นมาแล้วจบ แต่พ่อแม่ก็ต้องเล่นกับเค้าด้วย เพราะเค้าจะมองและอ่านปากเราไปด้วย ที่สำคัญห้ามเล่นมือถือต่อหน้าลูก เพราะเค้าจะรู้สึกว่าไอ้แท่ง ๆ เนี่ยมันแย่งความรักแย่งพ่อแย่งแม่มันแล้วมันจะเริ่มหวีดเหวี่ยง โยนของ ก่อความรุนแรงเพื่อดึงดูดความสนใจพ่อแม่มัน
คุณหมอบอกว่าดูแล้วน้องมีลักษณะที่เป็น Hyperเทียม คือเป็นHyperจากพฤติกรรมการเลี้ยงดู ไม่ใช่โดยกำเนิด (พ่อแม่มันโดนไปอีกดอก Y__Y) คุณหมอยังขอดูอาการต่อไปก่อน และนัดครั้งต่อไปอีกสักประมาณ 2-3 เดือน แต่ระยะนี้คุณหมอกำชับว่า
1. ปิดสื่อที่กระตุ้นให้เสียสมาธิทุกสิ่ง ทีวี มือถือ tablet
2. เน้นของเล่นน้อยชิ้น ให้เล่นทีละอย่าง ไม่ใช่เทกระจาดออกมาทั่วห้องแล้วเล่นมั่วซั่ว ถ้าจะเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น ให้เก็บของเล่นชิ้นเดิมให้เรียบร้อยก่อน
3. คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจลูก เล่นกับลูก อย่าปล่อยให้เล่นคนเดียว และไม่เล่นมือถือต่อหน้าลูก
4. ถ้าลูกไม่กินข้าวก็ช่างมัน ทีเรายังกินไม่ครบทุกมื้อเลย (เออ!! จริงหว่ะ) มื้อนี้ไม่กินให้ข้ามไปเลย เค้าหิวเค้ากินเอง
5.ให้รู้สึกสนุกเวลาอยู่กับลูก ไม่อารมณ์เสีย ปล่อยวาง ถ้าพ่อแม่มีจิตนิ่ง เด็กเค้าจะนิ่งตามเอง
6. ข้อนี้สำคัญ เลิกรู้ใจลูกได้แล้ว ลูกร้องแอะ รู้เลยว่าจะให้หยิบอะไร ชี้ปุ๊บรู้เลยจะเอาชิ้นไหน โทรจิตกันเก่งละเกิ๊นนน
ตอนแรกก็เครียด ๆ แต่เราก็พยายามทำให้มันไม่เครียด เลยคุยกันว่า "ต่อไปนี้ปัญหาที่ลูกไม่พูดไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่เป็นปัญหาของลูก อยากได้อะไรแล้วไม่พูดก็อดไป" เออ...... คิดได้แบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย 555555 ต่อตอนหน้า วันที่พาล่ำเข้าเรียนชั้นเด็กเล็ก เจอครูดีมีเมตตา พาล่ำเติบโต และดีงาม
ตอน 2 ขวบครึ่ง ช่วงที่เริ่มพาไปปรึกษาคุณหมอ แล้วก็เริ่มพาเที่ยวเยอะ ๆ ค่ะ