รู้สึกตัวครั้งแรกว่าหัวใจไม่ปกติเมื่อตอนอายุ 18 หัวใจเต้นแรงแบบกระโดดออกมานอกเสื้อ
สัก 5 นาทีก็หายไป ปรึกษาหมอ ตรวจแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ จึงใช้ชีวิตเรื่อยมา มีหัวใจเต้นแรงบ้าง
ปีละครั้ง 2 ครั้ง ครั้งนึงไม่เกิน 5-10 นาที ไม่ได้เดือดร้อนในการใช้ชีวิตมากนักเลยปล่อยมันผ่านไป
มันมาพีคตรงปีนี้แหล่ะ อาจจะด้วยอายุที่เยอะขึ้น การใช้ชีวิตแบบสุดเหวี้ยงที่ผ่านมา อาการจึงบ่อยขึ้น
และนานขึ้นจากนาทีเป็นชั่วโมง จนต้องเข้าห้องฉุกเฉินเป็นครั้งแรก พอได้ตรวจ EKG ขณะเกิดอาการ
จึงรู้ว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หลังจากหาหมอๆ ลงความเห็นเดียวเลยว่าต้องทำการจี้ไฟฟ้าหัวใจ
ถ้าไม่อยากจะกินยาตลอดชีวิตและการกินยาเป็นแค่การป้องกันไม่ใช่การรักษา จึงตัดสินใจผ่า
ข้ามมาจนถึงเช้าวันนัดจี้ไฟฟ้า วันที่ 11 มีนาคม 2562 ประคองอาการมา 1 อาทิตย์เต็มๆ ก่อนผ่าตัดเนื่องจากหมอให้หยุดยา
เพราะถ้าฤทธิ์ยายังอยู่จะกระตุ้นไม่ขึ้น มาเหมือนมีอาการตอนรอผ่าตัดเนี้ยแหล่ะ เพราะตื่นเต้นมากกก
มาแอดมิทตั้งแต่ 6 โมงเช้า ได้คิวผ่าตอน 9 โมงครึ่ง ลืมบอกไปว่าโดนบวชพระ โกนขนมือ หน้าอกและขาบางส่วน
จะได้ไม่เจ็บตอนดึงเทปกาวเหนียวๆ ออก พอถูกเข็นขึ้นเตียงผ่า ห้องผ่าจะหนาวไปไหน แถมถูกทายาฆ่าเชื้อทั่วขาหนีบ
ทั้ง 2 ข้างด้วย ยิ่งหนาวไปกันอีก พอเริ่มก็โดนฉีดยาชาที่โคนขาหนีบ เป็นการฉีดยาชาที่เจ็บมาก ทั้งการลงเข็มและเดินยา
หลังถูกฉีดก็รู้สึกว่าถูกสอดอะไรเข้ามาในขาหนีบ เสร็จข้างแรกก็ต่อด้วยข้างที่ 2 ในความเจ็บที่พอๆ กัน
การสอดสายเข้ามาที่หัวใจนั้นแทบไม่รู้สึกอะไรเลย มาหาข้อมูลภายหลังว่าเส้นเลือดไม่มีประสาทรับความรู้สึก
แต่จะรู้สึกแน่นๆ ที่ขาหนีบและรู้สึกเหมือนมีอะไรพยายามคืบเข้าหาหน้าอก เมื่อเข้าที่แล้วคุณหมอได้ทำการกระตุ้น
ให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติ โชคดีที่กระตุ้นครั้งแรกก็เจอจุดแรกเลย อาการตอนที่เจอเหมือน
อาการตอนที่เข้าห้องฉุกเฉินเปี๊ยบ คือเต้นแรงและเร็วเหมือนหัวใจจะหลุดออกมา จุดที่ 2 ขณะกระตุ้นมี
อาการเจ็บที่ก้นกบอย่างมาก มากกว่าอาการ office syndrome 5 ปีรวมกัน จึงบอกคุณหมอ
มีการหมุนๆ ขึ้นๆ ลงๆ ของเตียงผ่าแบบนึง อาการจึงหายไปแล้วกระตุ้นครั้งที่ 2 ก็เจออีก
พอกระตุ้นครั้งที่ 3 มีอาการกระตุกที่ซี่โครงข้างขวา 2-3 ครั้งจนหมอสังเกตุได้ จึงขยับเตียงแบบเดิม อาการก็หายไป
หลังจากกระตุ้นแล้วจึงทำการจี้ไฟฟ้า ขณะจี้หน้าอกก็จะร้อนๆ บางจังหวะเหมือนเจ็บแปล่บๆ ที่หน้าอกแบบพอทนได้
เมื่อจี้หมดแล้ว รวมเวลาจี้ 3.25 นาที หมอก็คาสายไว้ที่เดิมพร้อมกระตุ้นให้เกิดอาการเรื่อยๆ
เพื่อดูว่าหัวใจจะเต้นผิดจังหวะอีกไหม สักพักคุณหมอก็เข้ามาบอกว่ายินดีด้วยนะ หายแล้ว
แต่อนาคตอาจจะมีโอกาสสัก 5% ที่อาการจะกลับมาอีกได้ เมื่อมีอาการก็ให้มาตรวจอีกครั้ง
จึงทำการถอดสายและวางถุงทรายทับที่แผลทั้ง 2 ข้าง ห้ามงอขา 6 ชั่วโมงเพราะเจาะที่เส้นเลือดใหญ่
ขณะพักฟื้นจะติดเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจไว้ตลอด พยาบาลก็เข้ามาวัดความดันและ EKG เป็นระยะๆ
มีอาการเหมือนใจหายบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อแจ้งพยาบาลก็ทราบว่าอัตราการเต้นของหัวใจปกติ อาจจะแค่รู้สึกไปเอง
จนตอนเช้าพยาบาลเข้ามาทำแผลที่ขาหนีบทั้ง 2 ข้างตอนตี 5 ก็เห็นว่าแผลที่ขาหนีบข้างขวายังบวมอยู่
แต่อาการทั่วไปโดยรวมดีจึงให้กลับบ้านได้ตอน 6 โมงเช้าและห้ามลงน้ำหนักที่ขา ห้ามนั่งขัดสมาธิ พับเพียบ ยืนหรือเดินนานๆ
สาเหตุหลักๆ ของอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะมีเยอะมาก ทั้ง พักผ่อนไม่เพียงพอ แพ้ยา ผลข้างเคียงจากยาบ้างตัว
การออกกำลังกายที่หนักเกินไป เหล้า บุหรี่ ซึ่งการใช้ชีวิตที่ผ่านมาน่าจะเป็นสาเหตุของอาการได้แทบทั้งนั้นเลย
คุยๆ กับพยาบาล พยาบาลหลายคนก็เป็น และคนที่มารักษาโรคนี้ก็ค่อยข้างเยอะ มีหลายคนที่อาจจะกำลังเป็นอยู่
แต่อาจจะไม่รู้ตัว อยากให้รักษาสุขภาพกันเยอะๆ ครับ สังเกตุตัวเองดีๆ รีบมาหาหมอปรึกษาซะตั้งแต่เนิ่นๆ
อย่าให้รู้ตัวเมื่อเข้าห้องฉุกเฉินกันเลยครับ
หวังว่าเราคงไม่เจอกันอีก หัวใจเต้นผิดจังหวะ
สัก 5 นาทีก็หายไป ปรึกษาหมอ ตรวจแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ จึงใช้ชีวิตเรื่อยมา มีหัวใจเต้นแรงบ้าง
ปีละครั้ง 2 ครั้ง ครั้งนึงไม่เกิน 5-10 นาที ไม่ได้เดือดร้อนในการใช้ชีวิตมากนักเลยปล่อยมันผ่านไป
มันมาพีคตรงปีนี้แหล่ะ อาจจะด้วยอายุที่เยอะขึ้น การใช้ชีวิตแบบสุดเหวี้ยงที่ผ่านมา อาการจึงบ่อยขึ้น
และนานขึ้นจากนาทีเป็นชั่วโมง จนต้องเข้าห้องฉุกเฉินเป็นครั้งแรก พอได้ตรวจ EKG ขณะเกิดอาการ
จึงรู้ว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หลังจากหาหมอๆ ลงความเห็นเดียวเลยว่าต้องทำการจี้ไฟฟ้าหัวใจ
ถ้าไม่อยากจะกินยาตลอดชีวิตและการกินยาเป็นแค่การป้องกันไม่ใช่การรักษา จึงตัดสินใจผ่า
ข้ามมาจนถึงเช้าวันนัดจี้ไฟฟ้า วันที่ 11 มีนาคม 2562 ประคองอาการมา 1 อาทิตย์เต็มๆ ก่อนผ่าตัดเนื่องจากหมอให้หยุดยา
เพราะถ้าฤทธิ์ยายังอยู่จะกระตุ้นไม่ขึ้น มาเหมือนมีอาการตอนรอผ่าตัดเนี้ยแหล่ะ เพราะตื่นเต้นมากกก
มาแอดมิทตั้งแต่ 6 โมงเช้า ได้คิวผ่าตอน 9 โมงครึ่ง ลืมบอกไปว่าโดนบวชพระ โกนขนมือ หน้าอกและขาบางส่วน
จะได้ไม่เจ็บตอนดึงเทปกาวเหนียวๆ ออก พอถูกเข็นขึ้นเตียงผ่า ห้องผ่าจะหนาวไปไหน แถมถูกทายาฆ่าเชื้อทั่วขาหนีบ
ทั้ง 2 ข้างด้วย ยิ่งหนาวไปกันอีก พอเริ่มก็โดนฉีดยาชาที่โคนขาหนีบ เป็นการฉีดยาชาที่เจ็บมาก ทั้งการลงเข็มและเดินยา
หลังถูกฉีดก็รู้สึกว่าถูกสอดอะไรเข้ามาในขาหนีบ เสร็จข้างแรกก็ต่อด้วยข้างที่ 2 ในความเจ็บที่พอๆ กัน
การสอดสายเข้ามาที่หัวใจนั้นแทบไม่รู้สึกอะไรเลย มาหาข้อมูลภายหลังว่าเส้นเลือดไม่มีประสาทรับความรู้สึก
แต่จะรู้สึกแน่นๆ ที่ขาหนีบและรู้สึกเหมือนมีอะไรพยายามคืบเข้าหาหน้าอก เมื่อเข้าที่แล้วคุณหมอได้ทำการกระตุ้น
ให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติ โชคดีที่กระตุ้นครั้งแรกก็เจอจุดแรกเลย อาการตอนที่เจอเหมือน
อาการตอนที่เข้าห้องฉุกเฉินเปี๊ยบ คือเต้นแรงและเร็วเหมือนหัวใจจะหลุดออกมา จุดที่ 2 ขณะกระตุ้นมี
อาการเจ็บที่ก้นกบอย่างมาก มากกว่าอาการ office syndrome 5 ปีรวมกัน จึงบอกคุณหมอ
มีการหมุนๆ ขึ้นๆ ลงๆ ของเตียงผ่าแบบนึง อาการจึงหายไปแล้วกระตุ้นครั้งที่ 2 ก็เจออีก
พอกระตุ้นครั้งที่ 3 มีอาการกระตุกที่ซี่โครงข้างขวา 2-3 ครั้งจนหมอสังเกตุได้ จึงขยับเตียงแบบเดิม อาการก็หายไป
หลังจากกระตุ้นแล้วจึงทำการจี้ไฟฟ้า ขณะจี้หน้าอกก็จะร้อนๆ บางจังหวะเหมือนเจ็บแปล่บๆ ที่หน้าอกแบบพอทนได้
เมื่อจี้หมดแล้ว รวมเวลาจี้ 3.25 นาที หมอก็คาสายไว้ที่เดิมพร้อมกระตุ้นให้เกิดอาการเรื่อยๆ
เพื่อดูว่าหัวใจจะเต้นผิดจังหวะอีกไหม สักพักคุณหมอก็เข้ามาบอกว่ายินดีด้วยนะ หายแล้ว
แต่อนาคตอาจจะมีโอกาสสัก 5% ที่อาการจะกลับมาอีกได้ เมื่อมีอาการก็ให้มาตรวจอีกครั้ง
จึงทำการถอดสายและวางถุงทรายทับที่แผลทั้ง 2 ข้าง ห้ามงอขา 6 ชั่วโมงเพราะเจาะที่เส้นเลือดใหญ่
ขณะพักฟื้นจะติดเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจไว้ตลอด พยาบาลก็เข้ามาวัดความดันและ EKG เป็นระยะๆ
มีอาการเหมือนใจหายบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อแจ้งพยาบาลก็ทราบว่าอัตราการเต้นของหัวใจปกติ อาจจะแค่รู้สึกไปเอง
จนตอนเช้าพยาบาลเข้ามาทำแผลที่ขาหนีบทั้ง 2 ข้างตอนตี 5 ก็เห็นว่าแผลที่ขาหนีบข้างขวายังบวมอยู่
แต่อาการทั่วไปโดยรวมดีจึงให้กลับบ้านได้ตอน 6 โมงเช้าและห้ามลงน้ำหนักที่ขา ห้ามนั่งขัดสมาธิ พับเพียบ ยืนหรือเดินนานๆ
สาเหตุหลักๆ ของอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะมีเยอะมาก ทั้ง พักผ่อนไม่เพียงพอ แพ้ยา ผลข้างเคียงจากยาบ้างตัว
การออกกำลังกายที่หนักเกินไป เหล้า บุหรี่ ซึ่งการใช้ชีวิตที่ผ่านมาน่าจะเป็นสาเหตุของอาการได้แทบทั้งนั้นเลย
คุยๆ กับพยาบาล พยาบาลหลายคนก็เป็น และคนที่มารักษาโรคนี้ก็ค่อยข้างเยอะ มีหลายคนที่อาจจะกำลังเป็นอยู่
แต่อาจจะไม่รู้ตัว อยากให้รักษาสุขภาพกันเยอะๆ ครับ สังเกตุตัวเองดีๆ รีบมาหาหมอปรึกษาซะตั้งแต่เนิ่นๆ
อย่าให้รู้ตัวเมื่อเข้าห้องฉุกเฉินกันเลยครับ