ทำไมผมถึงเริ่มสับสนกับทิศทางของพรรคอนาคตใหม่

ผมในฐานะคนไทยที่ไม่มีศาสนา หรือ "Thai Atheist" ตอนแรกที่คุณธนาธรบอกว่าจะให้รัฐไทยไม่อุปถัมภ์ศาสนาใดๆเลย ผมรู้สึกดีใจมาก จากการที่ได้อยู่ในแวดวงศาสนวิทยาและศาสนเปรียบเทียบมาเป็นเวลานาน คุณเป็นนักการเมืองคนแรกในชีวิตผมที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้ ผมอยากที่จะเห็นคนอย่างคุณธนาธร ที่เป็นคนจริง ชัดเจนไม่อ้อมค้อม และไม่เกรงกลัวต่ออำนาจผู้มีอิทธิพล ได้พาประเทศของเรา การศึกษาของเรา เน้นไปสู่หลักจริยธรรม เปิดโอกาสให้เด็กได้รู้จักได้คิดวิเคราะห์เอง ใช้เหตุผล รู้จักตั้งคำถาม โดยที่ไม่มีผู้ใหญ่หรือวัฒนธรรม จารีตประเพณี มาปิดกั้นความคิดของเด็ก อยากที่จะได้เห็นวันที่ไทยกลายเป็นรัฐโลกวิสัยเต็มตัว

ผมจึงติดตามนโยบายของ พรรคอนาคตใหม่มาตลอด ทั้งในเรื่องของการศึกษา และ ศาสนาวัฒนธรรม ซึ่งหลายๆอย่างประทับใจผมมาก ทั้งนโยบายการเอาทหารออก และพัฒนาเศรษฐกิจสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนโยบายสร้างความเท่าเทียมกันในทุกศาสนา ซึ่งไทยในปัจจุบันดูค่อนไปทางศาสนาพุทธเป็นอย่างมาก
แต่กระนั้นในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ผมเริ่มรู้สึกว่าทิศทางของการไปสู่รัฐโลกวิสัยของพรรคนี้เริ่มมีการเอนเอียงอย่างเห็นได้ชัด โดยชัดเจนที่สุดคือการ ปฏิรูปการศึกษาของคุณกุลธิดา และคุณนิรมาน

ในประเทศของเรานั้น แนวความคิดที่ล้าหลังและยึดติดกับวัฒนธรรมได้แสดงให้เห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า มันอาจทำให้ผู้คนออกห่างจากเส้นทางของการใช้เหตุผล กลายเป็นสังคมที่ท่องจำมาจากผู้หลักผู้ใหญ่ และเกรงกลัวที่จะแสดงความเห็นต่าง เช่น เด็กที่ยึดติดกับการหมอบกราบ ไม่กล้าที่จะออกมาวิจารณ์เนื่องจากถูกผู้ใหญ่สอนมาว่าการหมอบกราบเป็นสิ่งที่ดี และคนที่ไม่เห็นด้วยเป็นพวกเด็กไม่มีมารยาทไร้การศึกษา, การสอนให้เคารพแนวคิดครูผู้ใหญ่มากเกินไป จนเด็กที่แสดงแนวคิดก้าวหน้าและทันสมัยกว่าครูกลายเป็นคนนอกคอก ไม่ได้รับการยอมรับแทน

หลักศาสนาเองก็เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่ทำให้คนยึดติดมากเช่นกัน คนที่มีความเห็นออกต่างมักถูกสังคมรังเกียจและต่อต้านอย่างรุนแรง ถูกหาว่าเป็น "พวกชาวนรก" เป็น "พวกเปรต" หรือเป็น "มารศาสนา" ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องพัฒนาอย่างยิ่ง

โดยจากที่คุณกุลธิดาได้กล่าวไป การศึกษาสามัญไทย ถึงแม้จะล้าหลังเมื่อเทียบกับการศึกษาสามัญโลก แต่กระนั้นก็ยังถือว่าเป็นกลาง ไม่ได้อิงไปตามหลักความเชื่อ และเป็นการสอนวิชาความรู้ตามหลักการคิด และหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของรัฐไทยจริง แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของวัฒนธรรมศาสนาที่ล้าหลังเช่นกัน ทั้งการเกลียด LGBT ทั้งการขับไล่คนที่ออกจากศาสนาหรือคนไม่มีศาสนา ทั้งการบังคับเปลี่ยนศาสนาในการแต่งงาน ดังนั้นการที่เราจะเปลี่ยนความคิดของคนเหล่านี้ มิใช่การไปทำลายวัฒนธรรมหรือศาสนาของพวกเค้า แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ และเยาวชนผู้ใฝ่รู้ที่เกิดในนั้นได้เรียนรู้ถึง หลักการคิดและตั้งคำถามกับวิธีชีวิตของตนเองอย่างมีเหตุผล ได้เปิดกว้างและเรียนรู้กับโลกมากขึ้น
โดยถ้าจะให้ผมสรุปวิธีการพัฒนาการศึกษาของเราในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรง สรุปได้สองวิธีคือ

1) ผลักดันให้หลักสูตรสามัญของเราให้เปิดกว้างมากขึ้น ให้เด็กรู้จักตั้งคำถามเอง รู้จักวัฒนธรรมอื่นๆ และมีการเรียนรู้อย่างมีเหตุผล สักวันหนึ่งเมื่อเด็กรุ่นใหม่เติบโตขึ้น สังคมก็จะหัวก้าวหน้ามากขึ้น เปิดรับกันและกัน ความรุนแรงก็จะหมดไปเอง
2) ผลักดันให้หลักสูตรสามัญของเราล้าหลังยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความพึงพอใจกับประชาชนในพื้นที่ ใส่แนวความคิดและวัฒนธรรมล้าหลังเข้าไป บิดามารดาที่กลัวเด็กจะตีตัวออกห่างจากกฎเกณฑ์ของสังคมที่ตนยึดติดจะได้พึงพอใจ ปิดโอกาสที่เด็กๆหลายคนจะได้เกิดความสงสัยและตั้งคำถามลงอย่างยิ่ง

ซึ่งน่าประหลาดใจมากที่พรรคอนาคตใหม่ เลือกที่จะปราศรัยวิธีที่สอง

และในเรื่องที่คุณนิรมานบอกว่าจะเพิ่ม สส. มุสลิมเข้าไปมากขึ้นเพื่อให้ออกกฎที่มุสลิมพอใจ

ทั้งสองอย่างนี้คือการให้สิทธิพิเศษด้วยเหตุผลทางศาสนาแก่ใครหรือคนกลุ่มใดอย่างเห็นได้ชัด

และจากแนวความคิดของคุณเปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ ที่กล่าวไว้ว่า จะทำตามข้อเสนอของหะยีสุหรงเรื่องข้าราชการ 3 จังหวัดภาคใต้ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ มีกฎหมายทางศาสนา และศาลศาสนา นี่ย่อมเป็นการกระจายอำนาจที่ขัดกับหลักการของ secular state เช่นกัน

โดยหลังจากกระแสวิจารณ์ คุณเปรมปพัทธ ก็ได้ตอบกลับมาว่ากฎที่ใช้จะถูกพิจารณาให้เข้ากับสังคมไทยมากขึ้น

สุดท้ายแล้วผมไม่เคยเห็นคุณธนาธรได้เคยประกาศกล่าวในเรื่องของให้สิทธิพิเศษเช่นนี้กับศาสนาพุทธเลยแม้แต่น้อย และคุณธนาธรผู้ซึ่งกล้าวิจารณ์วัฒนธรรมไทยที่ล้าหลังมากมาย แต่ก็ไม่เคยกล้าเปิดปากวิจารณ์วัฒนธรรมที่ล้าหลังในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เลยเช่นกัน เพราะพวกเขาถูกรังแกเลยมีสิทธิพิเศษที่จะหลบหลีกการวิจารณ์เช่นนั้นหรือ? หรือพรรคอนาคตใหม่เองก็มีความกลัวที่จะสูญเสียคะแนนเสียงจากมุสลิมภาคใต้เช่นกัน

สรุปแล้ว ถึงแม้ว่าพรรคการเมืองหลายพรรคในอดีตและปัจจุบัน จะมีการออกนโยบายที่ขัดแย้งกับวิสัยทัศน์ที่ตนเองประกาศออกมาในตอนแรก ไม่ว่าจะเป็น พรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ปชป หรือที่เห็นได้ชัดที่สุดคือรัฐบาลปัจจุบันของนายประยุทธ์ จันโอชา แต่การที่ผมเห็นการกระทำแบบนี้ในพรรคอนาคตใหม่ด้วย และจากความหวังที่ผมมีให้มากกับคนที่พูดจริงทำจริงเช่นคุณธนาธร ก็ทำให้ความชื่นชอบของพรรคนี้ในตัวผมเริ่มเอนเอียงไปมิน้อย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่