เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ฟรองก์ ริเบรี จรดปากกาเซ็นสัญญากับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค พร้อมกับภารกิจและความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าของค่าตัวเป็นสถิติสูงสุดของบาเยิร์นในขณะนั้น มาถึงวันนี้เขาจัดการความกดดันทุกอย่างได้หมดสิ้น และกำลังจะขึ้นหิ้งเป็นอีกหนึ่งสุดยอดตำนานของทีมเสือใต้ที่คงไม่มีใครทดแทนได้
จุดเริ่มต้นของตำนานเรื่องนี้บังเกิดขึ้นในศึก ฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์ คัพ เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2007 (ปัจจุบันการแข่งขันนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว) ซึ่งในตอนนั้นบาเยิร์นใช้แมตช์นี้เป็นเกมอำลานักเตะชื่อดัง 2 คน ได้แก่ รอย มาคาย หัวหอกเลือดดัตช์ที่ยิงให้เสือใต้ไป 102 ประตูจาก 178 เกม
แม้เขาไม่ได้ลงเล่นในเกมนั้น แต่ก็ถือเป็นโอกาสได้กล่าวขอบคุณแฟนบอลในสนาม ส่วนอีกคนก็คือตำนานหมายเลข 7 ของทีมอย่าง เมห์เม็ต โชล ที่ลงสนามในสีเสื้อบาเยิร์นเป็นครั้งสุดท้ายของอาชีพค้าแข้งก่อนแขวนสตั๊ดในวัย 36 ปี โชลถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 53 ซึ่งนักเตะที่ลงสนามแทนเขาก็คือริเบรีนั่นเอง
โดยโชลได้กล่าวไว้ว่า “ตอนนี้หมายเลข 7 เป็นของริเบรีแล้ว นักเตะแบบนี้แหละที่ผมมองว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจากผม” หมายเลข 7 คนใหม่
ผลการแข่งขันในเกมนั้นจบลงโดยบาเยิร์นเป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 ประตูจากลูกวอลเล่ย์สุดสวยของเลโอเนล เมสซี แต่เกมนี้ถือเป็นโอกาสที่ริเบรีได้โชว์ฟอร์มต่อหน้าแฟนบอลอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก
จากนั้นไม่กี่วันเขาก็เบิกสกอร์แรกในบุนเดสลีกาได้ในเกมนัดที่ 2 ที่เสือใต้บุกไปถล่มแวร์เดอร์ เบรเมน 0-4 ประตู แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์และความมั่นใจในการเข้ามาแทนที่เมห์เม็ต โชล ได้อย่างรวดเร็ว หมายเลข 7 คนเดิม
แม้ริเบรีจะสามารถแสดงให้คนส่วนใหญ่เห็นได้ว่าเสือใต้สามารถคว้าตัวนักเตะที่ยิ่งใหญ่มาได้ แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าการเซ็นสัญญาครั้งนี้จะคุ้มค่า บ้างก็ว่ามันยังเร็วไปที่จะเอาริเบรีไปเทียบกับตำนานผู้เป็นที่รักอย่างเมห์เม็ต โชล
โชล คืออดีตมิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาติอินทรีเหล็กที่คว้าแชมป์บุนเดสลีกาถึง 8 สมัย มากกว่านักเตะบาเยิร์นคนไหนๆ เขาเล่นบอลได้เนียนตาทั้งเท้าซ้ายและขวา สามารถเลี้ยงหลบคู่แข่งได้ดีเยี่ยม แถมยังยิงประตูได้ดีและเป็นเจ้าพ่อลูกฟรีคิกอีกด้วย หลังย้ายมาบาเยิร์นด้วยวัย 21 ปี ในฤดูกาลที่ 2 ของเขา
โชลสามารถยิงประตูได้ถึง 11 ลูก ในเกมยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 1995/96 รอบรองชนะเลิศ โชลยิงประตูได้ทั้ง 2 เลกพาทีมเอาชนะบอร์กโดซ์ 5-1 ประตู เบ็ดเสร็จแล้วในฤดูกาลนั้นโชลยิงให้บาเยิร์นไปถึง 32 ประตู อีก 8 สัปดาห์ต่อมา
โชลจะสวมบทเป็นเพลย์เมกเกอร์คนสำคัญของทีมชาติเยอรมนีในศึกยูโร 96 เขี่ยอังกฤษเจ้าภาพตกรอบรองชนะเลิศ ก่อนเบียดเอาชนะสาธารณรัฐเช็กได้ในนัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ที่สนามเวมบลีย์ได้สำเร็จ
จากมิดฟิลด์เยอรมัน สู่ปีกจรวดเลือดน้ำหอม
โชล กับ ริเบรี มีอะไรคล้ายกันอยู่บ้าง ทั้งคู่มักเจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เสมอ และอกหักในรอบชิงฟุตบอลสโมสรยุโรปทั้งคู่ ก่อนจะประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ได้ในภายหลัง
หลายๆ คนน่าจะจำได้ดีถึงการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศศึกยูเอฟ่า แชมเปียนส์ลีกปี 1999 ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลิกชนะบาเยิร์นท้ายเกม 2-1 ประตู ทำให้โชลอกหักทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ แต่สองปีต่อมาพวกเขาก็คว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จหลังเอาชนะบาเลนเซียในการดวลจุดโทษชี้ขาดแม้ว่าโชลจะพลาดจุดโทษในตอนนั้นก็ตาม
สรุปแล้วตลอดอาชีพการค้าแข้งกับทีมเสือใต้ โชลยิงไปทั้งหมด 117 ประตู ทำ 105 แอสซิสต์จาก 469 เกมรวมทุกรายการ
ส่วนริเบรีก็ไม่น้อยหน้า ทำ 11 ประตูกับ 8 แอสซิสต์ตั้งแต่ฤดูกาลแรกในเสื้อทีมบาเยิร์น ช่วยทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ ต่อมาเขาคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมนีในปี 2008 ซึ่งเป็นเพียงนักเตะต่างชาติคนที่สองเท่านั้นที่เคยคว้ารางวัลนี้ได้ และยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศสอีกด้วย
แนวรุกของบาเยิร์นอันตรายยิ่งขึ้นอีกเมื่อได้ตัวอาร์เยน ร็อบเบน มาร่วมทีมในฤดูกาล 2009/10 ทั้งคู่กลายเป็นคู่หูที่ผนึกกำลังเป็นปีกจรวดสองฝั่งของบาเยิร์นที่เล่นเกมสวนกลับได้น่ากลัวสุดๆ จนแฟนๆ พากันเรียกดูโอ้คู่นี้ว่า “ร็อบเบรี”
ก่อนคู่หูคู่นี้จะเข้ามาร่วมทีมเสือใต้ ตำนานมิดฟิลด์ทีมอินทรีเหล็กอย่างบาสเตียน ชไวน์ชไตเกอร์ มักได้รับหน้าที่เล่นตำแหน่งปีกอยู่บ่อยครั้ง แต่นับตั้งแต่มีปีกจรวดคู่นี้เข้ามา บาสตี้ก็มาประจำการเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางอย่างถาวร โดยในขณะนั้นก็ยังมี โทมัส มึลเลอร์ ที่เริ่มพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาได้ด้วยการฝึกฝนและลงเล่นร่วมกับริเบรีนั่นเอง
นักเตะผู้ไม่เคยท้อถอย
แม้ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของบาเยิร์นในเยอรมนี แต่ริเบรียังคงมุ่งหน้าพาทีมก้าวไปเป็นแชมป์ระดับทวีปให้จงได้ น่าเสียดายที่เจ้าตัวมาโชคร้ายติดโทษแบนในนัดชิงชนะเลิศศึกยูเอฟ่า แชมเปียนส์ลีกปี 2010
ซึ่งทีมพ่ายให้กับอินเตอร์ มิลาน ไป 2-0 ประตู แม้ต่อมาริเบรีจะยังคงรักษาฟอร์มยิงประตูและทำแอสซิสต์ได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ยังไม่สามารถพาทีมไปถึงฝันได้ โดยในฤดูกาล 2011/12 พวกเขาต้องมาพ่ายให้กับเชลซีในศึกแชมเปียนส์ลีกอีก แต่ริเบรีนั้นมีจิตใจแข็งแกร่งไม่เคยคิดย่อท้อ
ก่อนจะมาถึงจุดนี้เขาเคยทำงานใช้แรงงานร่วมกับคุณพ่อในวัยเด็กมาก่อน และแล้วฝันของเขาก็เป็นจริงในฤดูกาล 2012/13 เมื่อบาเยิร์นคว่ำดอร์ทมุนด์ คู่ปรับจากประเทศเดียวกันได้สำเร็จในนัดชิงชนะเลิศศึกยูเอฟ่า แชมเปียนส์ลีก แถมยังคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้สำเร็จอีกด้วย
ทำให้ซีซั้นนั้นกลายเป็นปีที่น่าจดจำของบาเยิร์น มิวนิค รวมทั้ง ฟรองก์ ริเบรี นักเตะเลือดน้ำหอมที่เป็นกำลังสำคัญของความสำเร็จครั้งนี้ ซึ่งพ่วงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์มาด้วย นอกจากนี้ในปีเดียวกันเขายังได้รับคะแนนโหวตเป็นอันดับ 3 ในการประกาศรางวัลบัลลงดอร์ต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เลโอเนล เมสซี อีกด้วย
ฟอร์มแจ่มสุดฉุดไม่อยู่ แม้จะต้องปวดหัวกับปัญหาการบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง แต่ริเบรีก็พยายามรักษาตัวเองให้กลับมาฟิตสมบูรณ์อยู่เสมอ หลายปีที่ผ่านมา เขาเล่นเข้าขากับดาวิด อลาบาในแนวริมเส้นฝั่งซ้ายได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
ซึ่งไม่ว่าทีมจะมีลูก้า โทนี่ มิโรสลาฟ โคลเซ่อ มาริโอ โกเมซ มาริโอ มานซูคิช โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ หรือร็อบเบนก็ตามที ขอให้มีริเบรีอยู่ในสนามเท่านั้นแหละ บรรดากองหน้าที่ว่ามาก็จะมีโอกาสยิงประตูเพิ่มขึ้นมากโขเลยทีเดียว
ปีกจรวดชาวฝรั่งเศสรายนี้เพิ่มสถิติการยิงประตูของตนเองได้อย่างสม่ำเสมอตลอด 12 ฤดูกาลในถิ่นบาเยิร์น จนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 เขาลงเล่นไปทั้งสิ้น 414 นัด ยิงไปแล้ว 122 ประตู ทำสถิติเป็นนักเตะต่างชาติที่ลงแข่งบุนเดสลีกาให้บาเยิร์นมากที่สุด แซงหน้า ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช อดีตนักเตะและสปอร์ตติ้ง ไดเร็คเตอร์คนปัจจุบันของเสือใต้
“ไม่มีนักเตะที่แก่ มีแต่นักเตะที่ดีและดีน้อยกว่าเท่านั้นเอง” คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเกอ ซีอีโอของบาเยิร์นกล่าวหลังเกมที่ริเบรีเบิ้ลสองประตูพาทีมเอาชนะแฟรงค์เฟิร์ต 3-0 ประตู “แล้วเราก็ได้เห็นแล้วว่าฟรองก์เป็นผู้เล่นที่ดีมากๆ”
ณ ตอนนี้ ริเบรีทำสถิติเทียบเท่าโอลิเวอร์ คาห์น ชไวน์ชไตเกอร์ ฟิลิปป์ ลาห์ม และเมห์เม็ต โชล ในการคว้าแชมป์บุนเดสลีกาถึง 8 สมัยกับบาเยิร์น ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรคนหนึ่ง ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้เขาจะมีอายุครบ 36 ปีแล้ว
และหากนี่จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาในสีเสื้อบาเยิร์น มิวนิค เขาก็คงหวังสุดหัวใจว่าจะสามารถคว้าแชมป์ลีกอีกสักสมัยเพื่อแซงหน้าสถิติของทุกคนข้างต้นให้ได้ก่อนจะจากไป...
credit : www.siamsport.co.th
เส้นทางสู่ตำนานหมายเลข 7 ของ ฟรองก์ ริเบรี
จุดเริ่มต้นของตำนานเรื่องนี้บังเกิดขึ้นในศึก ฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์ คัพ เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2007 (ปัจจุบันการแข่งขันนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว) ซึ่งในตอนนั้นบาเยิร์นใช้แมตช์นี้เป็นเกมอำลานักเตะชื่อดัง 2 คน ได้แก่ รอย มาคาย หัวหอกเลือดดัตช์ที่ยิงให้เสือใต้ไป 102 ประตูจาก 178 เกม
แม้เขาไม่ได้ลงเล่นในเกมนั้น แต่ก็ถือเป็นโอกาสได้กล่าวขอบคุณแฟนบอลในสนาม ส่วนอีกคนก็คือตำนานหมายเลข 7 ของทีมอย่าง เมห์เม็ต โชล ที่ลงสนามในสีเสื้อบาเยิร์นเป็นครั้งสุดท้ายของอาชีพค้าแข้งก่อนแขวนสตั๊ดในวัย 36 ปี โชลถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 53 ซึ่งนักเตะที่ลงสนามแทนเขาก็คือริเบรีนั่นเอง
โดยโชลได้กล่าวไว้ว่า “ตอนนี้หมายเลข 7 เป็นของริเบรีแล้ว นักเตะแบบนี้แหละที่ผมมองว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจากผม” หมายเลข 7 คนใหม่
ผลการแข่งขันในเกมนั้นจบลงโดยบาเยิร์นเป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 ประตูจากลูกวอลเล่ย์สุดสวยของเลโอเนล เมสซี แต่เกมนี้ถือเป็นโอกาสที่ริเบรีได้โชว์ฟอร์มต่อหน้าแฟนบอลอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก
จากนั้นไม่กี่วันเขาก็เบิกสกอร์แรกในบุนเดสลีกาได้ในเกมนัดที่ 2 ที่เสือใต้บุกไปถล่มแวร์เดอร์ เบรเมน 0-4 ประตู แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์และความมั่นใจในการเข้ามาแทนที่เมห์เม็ต โชล ได้อย่างรวดเร็ว หมายเลข 7 คนเดิม
แม้ริเบรีจะสามารถแสดงให้คนส่วนใหญ่เห็นได้ว่าเสือใต้สามารถคว้าตัวนักเตะที่ยิ่งใหญ่มาได้ แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าการเซ็นสัญญาครั้งนี้จะคุ้มค่า บ้างก็ว่ามันยังเร็วไปที่จะเอาริเบรีไปเทียบกับตำนานผู้เป็นที่รักอย่างเมห์เม็ต โชล
โชล คืออดีตมิดฟิลด์ตัวรุกทีมชาติอินทรีเหล็กที่คว้าแชมป์บุนเดสลีกาถึง 8 สมัย มากกว่านักเตะบาเยิร์นคนไหนๆ เขาเล่นบอลได้เนียนตาทั้งเท้าซ้ายและขวา สามารถเลี้ยงหลบคู่แข่งได้ดีเยี่ยม แถมยังยิงประตูได้ดีและเป็นเจ้าพ่อลูกฟรีคิกอีกด้วย หลังย้ายมาบาเยิร์นด้วยวัย 21 ปี ในฤดูกาลที่ 2 ของเขา
โชลสามารถยิงประตูได้ถึง 11 ลูก ในเกมยูฟ่าคัพ ฤดูกาล 1995/96 รอบรองชนะเลิศ โชลยิงประตูได้ทั้ง 2 เลกพาทีมเอาชนะบอร์กโดซ์ 5-1 ประตู เบ็ดเสร็จแล้วในฤดูกาลนั้นโชลยิงให้บาเยิร์นไปถึง 32 ประตู อีก 8 สัปดาห์ต่อมา
โชลจะสวมบทเป็นเพลย์เมกเกอร์คนสำคัญของทีมชาติเยอรมนีในศึกยูโร 96 เขี่ยอังกฤษเจ้าภาพตกรอบรองชนะเลิศ ก่อนเบียดเอาชนะสาธารณรัฐเช็กได้ในนัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ที่สนามเวมบลีย์ได้สำเร็จ
จากมิดฟิลด์เยอรมัน สู่ปีกจรวดเลือดน้ำหอม
โชล กับ ริเบรี มีอะไรคล้ายกันอยู่บ้าง ทั้งคู่มักเจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เสมอ และอกหักในรอบชิงฟุตบอลสโมสรยุโรปทั้งคู่ ก่อนจะประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ได้ในภายหลัง
หลายๆ คนน่าจะจำได้ดีถึงการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศศึกยูเอฟ่า แชมเปียนส์ลีกปี 1999 ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลิกชนะบาเยิร์นท้ายเกม 2-1 ประตู ทำให้โชลอกหักทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ แต่สองปีต่อมาพวกเขาก็คว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จหลังเอาชนะบาเลนเซียในการดวลจุดโทษชี้ขาดแม้ว่าโชลจะพลาดจุดโทษในตอนนั้นก็ตาม
สรุปแล้วตลอดอาชีพการค้าแข้งกับทีมเสือใต้ โชลยิงไปทั้งหมด 117 ประตู ทำ 105 แอสซิสต์จาก 469 เกมรวมทุกรายการ
ส่วนริเบรีก็ไม่น้อยหน้า ทำ 11 ประตูกับ 8 แอสซิสต์ตั้งแต่ฤดูกาลแรกในเสื้อทีมบาเยิร์น ช่วยทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ ต่อมาเขาคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมนีในปี 2008 ซึ่งเป็นเพียงนักเตะต่างชาติคนที่สองเท่านั้นที่เคยคว้ารางวัลนี้ได้ และยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศสอีกด้วย
แนวรุกของบาเยิร์นอันตรายยิ่งขึ้นอีกเมื่อได้ตัวอาร์เยน ร็อบเบน มาร่วมทีมในฤดูกาล 2009/10 ทั้งคู่กลายเป็นคู่หูที่ผนึกกำลังเป็นปีกจรวดสองฝั่งของบาเยิร์นที่เล่นเกมสวนกลับได้น่ากลัวสุดๆ จนแฟนๆ พากันเรียกดูโอ้คู่นี้ว่า “ร็อบเบรี”
ก่อนคู่หูคู่นี้จะเข้ามาร่วมทีมเสือใต้ ตำนานมิดฟิลด์ทีมอินทรีเหล็กอย่างบาสเตียน ชไวน์ชไตเกอร์ มักได้รับหน้าที่เล่นตำแหน่งปีกอยู่บ่อยครั้ง แต่นับตั้งแต่มีปีกจรวดคู่นี้เข้ามา บาสตี้ก็มาประจำการเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางอย่างถาวร โดยในขณะนั้นก็ยังมี โทมัส มึลเลอร์ ที่เริ่มพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาได้ด้วยการฝึกฝนและลงเล่นร่วมกับริเบรีนั่นเอง
นักเตะผู้ไม่เคยท้อถอย
แม้ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของบาเยิร์นในเยอรมนี แต่ริเบรียังคงมุ่งหน้าพาทีมก้าวไปเป็นแชมป์ระดับทวีปให้จงได้ น่าเสียดายที่เจ้าตัวมาโชคร้ายติดโทษแบนในนัดชิงชนะเลิศศึกยูเอฟ่า แชมเปียนส์ลีกปี 2010
ซึ่งทีมพ่ายให้กับอินเตอร์ มิลาน ไป 2-0 ประตู แม้ต่อมาริเบรีจะยังคงรักษาฟอร์มยิงประตูและทำแอสซิสต์ได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ยังไม่สามารถพาทีมไปถึงฝันได้ โดยในฤดูกาล 2011/12 พวกเขาต้องมาพ่ายให้กับเชลซีในศึกแชมเปียนส์ลีกอีก แต่ริเบรีนั้นมีจิตใจแข็งแกร่งไม่เคยคิดย่อท้อ
ก่อนจะมาถึงจุดนี้เขาเคยทำงานใช้แรงงานร่วมกับคุณพ่อในวัยเด็กมาก่อน และแล้วฝันของเขาก็เป็นจริงในฤดูกาล 2012/13 เมื่อบาเยิร์นคว่ำดอร์ทมุนด์ คู่ปรับจากประเทศเดียวกันได้สำเร็จในนัดชิงชนะเลิศศึกยูเอฟ่า แชมเปียนส์ลีก แถมยังคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้สำเร็จอีกด้วย
ทำให้ซีซั้นนั้นกลายเป็นปีที่น่าจดจำของบาเยิร์น มิวนิค รวมทั้ง ฟรองก์ ริเบรี นักเตะเลือดน้ำหอมที่เป็นกำลังสำคัญของความสำเร็จครั้งนี้ ซึ่งพ่วงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์มาด้วย นอกจากนี้ในปีเดียวกันเขายังได้รับคะแนนโหวตเป็นอันดับ 3 ในการประกาศรางวัลบัลลงดอร์ต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เลโอเนล เมสซี อีกด้วย
ฟอร์มแจ่มสุดฉุดไม่อยู่ แม้จะต้องปวดหัวกับปัญหาการบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง แต่ริเบรีก็พยายามรักษาตัวเองให้กลับมาฟิตสมบูรณ์อยู่เสมอ หลายปีที่ผ่านมา เขาเล่นเข้าขากับดาวิด อลาบาในแนวริมเส้นฝั่งซ้ายได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
ซึ่งไม่ว่าทีมจะมีลูก้า โทนี่ มิโรสลาฟ โคลเซ่อ มาริโอ โกเมซ มาริโอ มานซูคิช โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ หรือร็อบเบนก็ตามที ขอให้มีริเบรีอยู่ในสนามเท่านั้นแหละ บรรดากองหน้าที่ว่ามาก็จะมีโอกาสยิงประตูเพิ่มขึ้นมากโขเลยทีเดียว
ปีกจรวดชาวฝรั่งเศสรายนี้เพิ่มสถิติการยิงประตูของตนเองได้อย่างสม่ำเสมอตลอด 12 ฤดูกาลในถิ่นบาเยิร์น จนกระทั่งถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 เขาลงเล่นไปทั้งสิ้น 414 นัด ยิงไปแล้ว 122 ประตู ทำสถิติเป็นนักเตะต่างชาติที่ลงแข่งบุนเดสลีกาให้บาเยิร์นมากที่สุด แซงหน้า ฮาซาน ซาลิฮามิดซิช อดีตนักเตะและสปอร์ตติ้ง ไดเร็คเตอร์คนปัจจุบันของเสือใต้
“ไม่มีนักเตะที่แก่ มีแต่นักเตะที่ดีและดีน้อยกว่าเท่านั้นเอง” คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเกอ ซีอีโอของบาเยิร์นกล่าวหลังเกมที่ริเบรีเบิ้ลสองประตูพาทีมเอาชนะแฟรงค์เฟิร์ต 3-0 ประตู “แล้วเราก็ได้เห็นแล้วว่าฟรองก์เป็นผู้เล่นที่ดีมากๆ”
ณ ตอนนี้ ริเบรีทำสถิติเทียบเท่าโอลิเวอร์ คาห์น ชไวน์ชไตเกอร์ ฟิลิปป์ ลาห์ม และเมห์เม็ต โชล ในการคว้าแชมป์บุนเดสลีกาถึง 8 สมัยกับบาเยิร์น ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรคนหนึ่ง ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้เขาจะมีอายุครบ 36 ปีแล้ว
และหากนี่จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาในสีเสื้อบาเยิร์น มิวนิค เขาก็คงหวังสุดหัวใจว่าจะสามารถคว้าแชมป์ลีกอีกสักสมัยเพื่อแซงหน้าสถิติของทุกคนข้างต้นให้ได้ก่อนจะจากไป...
credit : www.siamsport.co.th