เที่ยวหาดใหญ่ ไปสตูล มุดถ้ำ ดำน้ำ ข้ามกาลเวลา " เที่ยววันธรรมดา...ที่ไม่ธรรมดา " แบบ กินกระจุย เที่ยวกระจาย 5 5 5
วันที่สอง หาดใหญ่ - สงขลา
วันนี้มีชื่อตอนว่า " ข้ามกาลเวลาไปตามหาช้างดึกดําบรรพ์ซากฟอสซิลผ่านกลางหัวใจ " อิอิอิ เป็นไงละฟังไม่ผิดหลอกนะแต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปเที่ยวไหนต่อไหนกันเรื่องสำคัญที่ขาดกันไม่ได้คือกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราจึงรีบเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าลงเลยแล้วไปนั่งทานอาหารของทางโรงแรมแบบอิ่มเอมเปรมปีดามากเพราะอาหารเช้าแบบจัดเต็มก็เลยจัดเต็มเหมือนกัน กินมันทุกอย่างที่ขวางหน้า อร่อยมากๆ ยิ่งโรตีกับแกงกะหรี่ไก่เข้ากันแบบสุดๆ แถมมีข้าวยำปักษ์ใต้ไว้ให้ได้ทานอีกด้วย แบบงานนี้เติมพลังได้แบบจัดหนักกันไป เมื่ออิ่มแล้วเราก็ check out และออกเดินทางไปสถานที่ต่อไปกันเลย
และเมื่ออิ่มท้อง เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องละนั้นก็ขึ้นรถออกเดินทางต่อจากหาดใหญ่ ไป สวนควนข้อง จ.สตูล ตอนนี้ก็จากหาดใหญ่ไป สตูลใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง อันนี้หลับเอาแรงไปเลยดีกว่า แนะนำอย่างเป็นทางการ 5 5 5 เพราะจะได้อิ่มเอมเวลาได้เจอที่สวยๆ ได้ถ่ายรุปแบบเก๋ๆ เท่ๆ ได้เต็มที่ แต่ยังไงละ มันตื่นเต้นเลย ระหว่างเดินทางเลยนั่งหาข้อมูลศึกษากันไปแบบว่าจะได้พูดได้ ถามได้ ตอบได้ เป็นอับดุลกันไป เพราะที่
บ้านสวนควนข้อง เป็นจุดเพาะขยายพันธุ์ “หม้อข้าวหม้อแกงลิง” ที่กำลังจะสูญพันธุ์ และมีหม้อใบใหญ่ขนาดเท่าหน้าคน เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ และขนมพื้นเมืองระดับชุมชนที่ยั่งยืน ของอุทยานธรณีประเทศไทย จ.สตูล ที่บ้านสวนควนข้อง หมู่ 8 ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล อีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ของทริปการท่องเที่ยวของกลุ่มสตูล จีโอปาร์ค อุทยานธรณีแห่งประเทศไทย จ.สตูล ที่ได้รับความสนใจ หลังจากที่บ้านสวนควนข้อง แห่งนี้ได้นำพันธุ์ไม้ “หม้อข้าวหม้อแกงลิง” ที่กำลังจะสูญพันธุ์มาทำการเพาะขยาย ผสมสายพันธุ์หายาก มีมากกว่า 1 พันต้น ถึง 6 สายพันธุ์ เช่น พันธุ์มิราบิลิด, พันธุ์ไวกิ้ง, พันธุ์ไทเกอร์, พันธุ์กาซิลิส, พันธุ์แอมโพดาเรีย และพันธุ์กุงชิง มาไว้ที่สวนแห่งนี้ เพื่อจำหน่ายหลากหลายราคาด้วยนะ
มาที่นี่ได้ความรู้ความเข้าใจอีกเยอะเลย แถมได้หัดทำขนมจากต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงด้วย ตอนแรกก็กลัวๆ กล้าๆ ที่จะลองชิม พอ ชิมเข้าไปแล้วสิ เหมือนตัวยื่อไผ่ในข้าวหลามเลย อร่อยดีนะ แปลกหนึบๆ แต่อร่อย และยังกลายมาเป็นขนมไทยภูมิปัญญาพื้นบ้าน ของทางภาคใต้ ที่สืบทอดกันมานาน แต่ขณะนี้เริ่มหาซื้อกินยาก ตามท้องตลาดเพราะมีคนทำน้อย อย่าง “หม้อข้าวหม้อแกงลิง” ก็หายากขึ้น เนื่องจากมีจำนวนลดน้องลงมากในธรรมชาตินะจะบอกให้และเสร็จจากการเยี่ยมชม สวนควนข้องแล้วเราก็ไปตามหาฟอสซิลกันต่อเลย
และแล้วก็มาถึงเวลาที่โปรดที่สุดเพราะเป้นเวลาเที่ยวเราต้องเติมพลังกันกันแล้วเพราะต้องไปมุดถ้ำแต่ยังไม่บอกนะว่าถ้ำอะไรให้ตื่นเต้นกันไปก่อนแต่ตอนนี้ได้เวลามาทานข้าวแล้ว และเป็นมื้อหนึ่งชอบมากๆเพราะเป็นอาหารจากฝีมือชาวบ้านทำมาให้ทานและอร่อยสุดๆ
เห็นหน้าตาแบบนี้บ้านๆ แต่เอาสเต็กมาแลกก็ไม่ยอม ที่พูลขนาดนี้เวลาทานกันบอกเลยไม่เหลือแม้แต่ซากเกลี้ยงทุกจานไม่ได้อวยนะแต่อร่อยแบบแม่ช้อยไม่ต้องมารำ เชลล์ไม่ต้องมาชิมก็การันตีได้เลยว่ ร่อยแรง ร่อยจังฮู้ ถ้าใครมีโอกาศได้ไปแนะนำไปทานให้ได้ นะแล้วที่สำคัญติดมือมาฝากด้วยจะเป้นการดีมากๆ อิอิอิ เมื่ออิ่มแล้วก็ออกเดินทางมาที่ ถ้ำเลสเตโกดอน จะบอกว่าที่ถ้ำนี้เป็นที่น่าภูมิใจมากๆเพราะ UNESCO ประกาศให้จังหวัดสตูลเป็นพื้นที่แห่งอุทยานธรณี (Global Geopark) แห่งแรกของประเทศไทย และถือลำดับที่ 5 ในอาเซียน หลังชาวสตูลพยายามผลักดันประเด็นดังกล่าวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 เนื่องจากมีการค้นพบฟอสซิลมากมายในพื้นที่ โดยเฉพาะฟอสซิลกรามของช้างดึกดำบรรพ์สกุล ‘สเตโกดอน’ ที่มีชีวิตอยู่ในยุคไมโอซีนตอนปลายถึงต้นยุคไพลสโตซีน อายุราว 1.8 ล้านปีมาแล้ว ที่สำคัญ ยังมีการค้นพบฟอสซิลของสัตว์ครบทั้ง 6 ยุค ในมหายุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic) ซึ่งมีอายุประมาณ 542-251 ล้านปี (ก่อนยุคไดโนเสาร์) โดยช่วงดังกล่าวถือเป็นยุคแห่งสัตว์ทะเล สิ่งมีชีวิตพวกสาหร่ายดึกดำบรรพ์ และภูเขาสาหร่าย ก่อนที่จะมีสัตว์มีครีบเกิดขึ้นบนโลก โดยซากสัตว์ต่างๆ นั้นต่างพบอยู่ในก้อนหิน ภูเขาต่างๆ รวมถึงถ้ำในเขตจังหวัดสตูลอย่างมากมาย จนถูกขนานนามว่า “ฟอสซิลแลนด์ แดนสตูล” แล้วคนอย่างเราจะพลาดที่จะไปได้ไง แต่ก่อนที่จะเข้าถ้ำต้องมาเรียวตัวเปลี่ยนชุดใส่เสื้อชูชีพพร้อมหมวกกันน๊อคกันซะก่อนแล้วมาแอคท่าสวยๆ บันทึกความทรงจำเอาไว้ เพราะเราเข้าทางปากถ้ำแต่เราจะไปออกตรงหัวใจถ้ำ 5 5 5 ได้ยินไม่ผิดหลอกออกมาจากหัวใจถ้ำจะเป็นไงนะหรอมาดูกัน แต่ตอนนี้ขอตามหาช้างก่อน ช้างกูอยู่ไหน .....
แล้วเมื่อพร้อมเราก็เข้าไปลุยดูในถ้ำกันเลย ก่อนเข้าไปคิดว่าต้องอับ ต้องชื้น ต้องหายใจลำบากแน่ๆ เพราะมีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่บอกมาว่า “ถ้ำเลสเตโกดอน” ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นถ้ำอยู่ในเทือกเขาหินปูนทอดยาวมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ใต้ภูเขาความยาว 4 กิโลเมตร จึงถือเป็นถ้ำน้ำเค็มที่ยาวที่สุดในเมืองไทย ภายในมีหินงอกหินย้อยหลายแบบสวยงาม โดยสถานที่แห่งนี้นี่เองที่เป็นจุดค้นพบซากกระดูกขากรรไกรพร้อมฟันกราม ซี่ที่ 2 และ 3 ด้านล่างขวาของช้างสเตโกดอนนั่นเอง
ตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจมากๆ ภายในถ้ำทั้งมืดทั้งเย็น ต้องมีไฟฉายติดไปด้วย ไม่งั้นต้องร้องเลย มืดตี๊ดตือ ทำไมมันมืดตี๊อตื๊อ 5 5 5 ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ไม่รุ้แต่รุ้ว่าเพลินมากๆ ทางในถ้าก็เป็นซอกหินวกไปวนมา มั้งหินงอกหินย้อน หลากหลายสีสัน เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องใช้จินตนาการณ์ด้วยนะ ว่าเราเห้นหินเป็นรูปอะไร มีแปลกมากมายหลายอย่าง สวยจริงๆต้องเข้ามาเห้นด้วยตาตัวเอง เพราะทั้งความระยิบระยับเวลาหินกระทบแสงเห็นเหมือนแสงเพชรที่สะท้อนออกมาเลย เพราะรูปที่ถ่ายคงบรรยายความรุ้สึกออกไปได้ไม่หมดเหมือนสายตาตัวเองได้ไปเห็นกับตา และก็มาถึงทางออกเป็นไง ออกทางหัวใจถ้ำ อันนี้ต้องใช้จินตนาการอีกนิด แล้วบอกเลยว่าสวยมาก คุ้มค่ากับการเดินทางจริงๆ
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่การสิ้นสุดของการเดินทาง เพราะเราต้องขึ้นจากถ้ำตรงนี้แล้วเดินบนสะพานเพื่อออกไปทางอีกทางเพื่อไปต่อเรือหางยาวออกไปขึ้นที่ท่าเรืออีกที่ แต่ถาพที่ได้มันช่างสวยงามจริงๆ
นี่ไงแบบนี้ไงที่เขาว่าผู้ชายพายเรือ 5 5 5 ผู้หญิงยิงเรือ เอ้ยนั่งเรือ 5 5 5 เดินทางกันอย่างสนุกสนาน เพื่อไปลงต่อเรือหางยาวลำใหญ่เพื่อไปขึ้นที่ปากแม่น้ำอีกทีกลับมาด้วยรอยยิ้ม และอิ่มเอมกับความสุขที่ได้รับกับความสวยงามที่ได้ชื่นชม ภายในถ้ำ กันทุกคน
และเมื่อมาถึงจุดนี้เราก็จะครบภาระกิจอย่างที่บอก เหลือการข้าวกาลเวลา 5 5 5 ไม่ได้โม้นะเดียวจะพาไปข้ามการเวลา กาลเวลาจะมีค่ามากแค่ไหนมันจะขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักษาเวลานั้นได้นานแค่ไหน ... แอบซึ้งไปอีก
มันคือความโรแมนติกกับตวามทรงจำดีๆ ที่ข้ามกาลเวลาจากวันนี้ไปตราบนานเท่านาน มันคงจะหวาน กิ๊ว ก็ว น่าดูเนอะ อิอิอิ ขนลุก
ความสวยของการเวลามันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆนะ เอาเป็นว่ามืดแล้วตอนนี้ต้องไปเติมพลังใส่ท้องละเหนื่อยมาทั้งวัน มื้อเย็นเราไปกินอาหารทะเลกันแบบชิวๆดีกว่าที่ร้านริมเล
หนังท้องตึงในส่วนกระเพาะที่หนึ่งคือของคาว ต่อไปต้องของหวานสิ ไม่งั้นจะครบสูตรได้ไงเพราะกระเพาะเราแบ่งได้เป็นสองกระเพาะ ครึ่งนึงของคาวอีกครึ่งของหวาน 5 5 5 5เมื่อสนุกสนานกับอาหารคาวเป็นที่อิ่มหน่ำสำราญใจ ก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไปเพื่อหาของหวานแสนอร่อยกับของขึ้นชื่ออีกร้านห่างกันไม่ถึง 500 เมตร แต่ถามว่าจะเดินไหม ไม่จ้า นั่งรถตู้มุ่งหน้าไป เพราะอิ่มนะสิขี้เกียดเดิน 5 5 5 แล้วเราก็มาถึงร้านที่ว่าคือร้าน ชาชัก ปากบารา
แบบว่าไม่อยากพูดเยอะ ไม่ได้เจ็บคอหลอกนะแต่หิวอีกละ ได้เวลากินของอร่อย ถ้ามาสตูลแล้วไม่มานั่งกินที่นี่นะ พลดมั๊กๆ ต้องมา ต้องกิน จะฟิน ตั้งแต่ท่าชักของพี่แกแล้วละ ชักยาวเชียว 5 5 5 บางทีแกมีหมุนตัวโชว์อีกต่างหาก แต่บอกว่า อร่อยทุกเมนูเลย ล่วงเลยเวลามาดึกมากๆแล้วก็ต้องถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับเข้าที่พัก เพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ไปต่อในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันที่ต้องตื่นเต้นอีกวันเพราะเราจะออกทะเลกัน คืนนี้เอาไปนอนฝันหวาน นอนร้องเพลง โอ้ทะเล แสนงาม ฟ้าสีครามสดใส มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล 5 5 5 ไป ๆ ๆ ๆ รีบกลับไปพักผ่อนว่าแล้วก็รีบกระโดนขึ้นรถแบบไม่รอช้าเพราะอยากอาบน้ำอาบท่า ตั้งหน้ารอจะไปเที่ยวพรุ่งนี้ รีบบอกพี่คนขับรถ รีบไปเลยพี่ เข้าที่พัก ที่ เลคเทอเรสรีสอร์ท พามาพักกันที่นี่เพราะ โรงแรมแห่งนี้ ตั้งอยู่ใจกลางธรรมชาติอันร่มรื่น เหมาะสำหรับการพักผ่อนในวันหยุด ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ ดุจดั่งสวรรค์ในการพักผ่อนสำหรับนักเดินทาง จะเป็นไงนะหรอดูจากรูปเลย ฟินปะละ น่ามาปะละ แต่ตอนที่มาถึงถึงตอนมืดแล้ว แต่นี่ถ่ายตอนเช้า เลยได้อีกบรรยากาศนึงมาให้ชม
วันนี้เดียวไปนอนก่อนนะ เพลียมากๆ เดียวมาเขียนต่อนะ 5 5 5 เพราะต้องเก็บแรงไปลั้ลล้า ตอนเช้า สาย บ่าย เย็น สรุปคือทั้งวัน จ้า มาต่อกัน อีกภาคจบนะจ้า ของจังหวัดสตูต ใน รีวีวถัดไป 5 5 5
เที่ยวหาดใหญ่ ไปสตูล มุดถ้ำ ดำน้ำ ข้ามกาลเวลา " เที่ยววันธรรมดา...ที่ไม่ธรรมดา " แบบ กินกระจุย เที่ยวกระจาย ตอน 2
วันที่สอง หาดใหญ่ - สงขลา
วันนี้มีชื่อตอนว่า " ข้ามกาลเวลาไปตามหาช้างดึกดําบรรพ์ซากฟอสซิลผ่านกลางหัวใจ " อิอิอิ เป็นไงละฟังไม่ผิดหลอกนะแต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปเที่ยวไหนต่อไหนกันเรื่องสำคัญที่ขาดกันไม่ได้คือกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราจึงรีบเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าลงเลยแล้วไปนั่งทานอาหารของทางโรงแรมแบบอิ่มเอมเปรมปีดามากเพราะอาหารเช้าแบบจัดเต็มก็เลยจัดเต็มเหมือนกัน กินมันทุกอย่างที่ขวางหน้า อร่อยมากๆ ยิ่งโรตีกับแกงกะหรี่ไก่เข้ากันแบบสุดๆ แถมมีข้าวยำปักษ์ใต้ไว้ให้ได้ทานอีกด้วย แบบงานนี้เติมพลังได้แบบจัดหนักกันไป เมื่ออิ่มแล้วเราก็ check out และออกเดินทางไปสถานที่ต่อไปกันเลย
และเมื่ออิ่มท้อง เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องละนั้นก็ขึ้นรถออกเดินทางต่อจากหาดใหญ่ ไป สวนควนข้อง จ.สตูล ตอนนี้ก็จากหาดใหญ่ไป สตูลใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง อันนี้หลับเอาแรงไปเลยดีกว่า แนะนำอย่างเป็นทางการ 5 5 5 เพราะจะได้อิ่มเอมเวลาได้เจอที่สวยๆ ได้ถ่ายรุปแบบเก๋ๆ เท่ๆ ได้เต็มที่ แต่ยังไงละ มันตื่นเต้นเลย ระหว่างเดินทางเลยนั่งหาข้อมูลศึกษากันไปแบบว่าจะได้พูดได้ ถามได้ ตอบได้ เป็นอับดุลกันไป เพราะที่ บ้านสวนควนข้อง เป็นจุดเพาะขยายพันธุ์ “หม้อข้าวหม้อแกงลิง” ที่กำลังจะสูญพันธุ์ และมีหม้อใบใหญ่ขนาดเท่าหน้าคน เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ และขนมพื้นเมืองระดับชุมชนที่ยั่งยืน ของอุทยานธรณีประเทศไทย จ.สตูล ที่บ้านสวนควนข้อง หมู่ 8 ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล อีกหนึ่งแหล่งเรียนรู้ของทริปการท่องเที่ยวของกลุ่มสตูล จีโอปาร์ค อุทยานธรณีแห่งประเทศไทย จ.สตูล ที่ได้รับความสนใจ หลังจากที่บ้านสวนควนข้อง แห่งนี้ได้นำพันธุ์ไม้ “หม้อข้าวหม้อแกงลิง” ที่กำลังจะสูญพันธุ์มาทำการเพาะขยาย ผสมสายพันธุ์หายาก มีมากกว่า 1 พันต้น ถึง 6 สายพันธุ์ เช่น พันธุ์มิราบิลิด, พันธุ์ไวกิ้ง, พันธุ์ไทเกอร์, พันธุ์กาซิลิส, พันธุ์แอมโพดาเรีย และพันธุ์กุงชิง มาไว้ที่สวนแห่งนี้ เพื่อจำหน่ายหลากหลายราคาด้วยนะ
มาที่นี่ได้ความรู้ความเข้าใจอีกเยอะเลย แถมได้หัดทำขนมจากต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงด้วย ตอนแรกก็กลัวๆ กล้าๆ ที่จะลองชิม พอ ชิมเข้าไปแล้วสิ เหมือนตัวยื่อไผ่ในข้าวหลามเลย อร่อยดีนะ แปลกหนึบๆ แต่อร่อย และยังกลายมาเป็นขนมไทยภูมิปัญญาพื้นบ้าน ของทางภาคใต้ ที่สืบทอดกันมานาน แต่ขณะนี้เริ่มหาซื้อกินยาก ตามท้องตลาดเพราะมีคนทำน้อย อย่าง “หม้อข้าวหม้อแกงลิง” ก็หายากขึ้น เนื่องจากมีจำนวนลดน้องลงมากในธรรมชาตินะจะบอกให้และเสร็จจากการเยี่ยมชม สวนควนข้องแล้วเราก็ไปตามหาฟอสซิลกันต่อเลย
และแล้วก็มาถึงเวลาที่โปรดที่สุดเพราะเป้นเวลาเที่ยวเราต้องเติมพลังกันกันแล้วเพราะต้องไปมุดถ้ำแต่ยังไม่บอกนะว่าถ้ำอะไรให้ตื่นเต้นกันไปก่อนแต่ตอนนี้ได้เวลามาทานข้าวแล้ว และเป็นมื้อหนึ่งชอบมากๆเพราะเป็นอาหารจากฝีมือชาวบ้านทำมาให้ทานและอร่อยสุดๆ
เห็นหน้าตาแบบนี้บ้านๆ แต่เอาสเต็กมาแลกก็ไม่ยอม ที่พูลขนาดนี้เวลาทานกันบอกเลยไม่เหลือแม้แต่ซากเกลี้ยงทุกจานไม่ได้อวยนะแต่อร่อยแบบแม่ช้อยไม่ต้องมารำ เชลล์ไม่ต้องมาชิมก็การันตีได้เลยว่ ร่อยแรง ร่อยจังฮู้ ถ้าใครมีโอกาศได้ไปแนะนำไปทานให้ได้ นะแล้วที่สำคัญติดมือมาฝากด้วยจะเป้นการดีมากๆ อิอิอิ เมื่ออิ่มแล้วก็ออกเดินทางมาที่ ถ้ำเลสเตโกดอน จะบอกว่าที่ถ้ำนี้เป็นที่น่าภูมิใจมากๆเพราะ UNESCO ประกาศให้จังหวัดสตูลเป็นพื้นที่แห่งอุทยานธรณี (Global Geopark) แห่งแรกของประเทศไทย และถือลำดับที่ 5 ในอาเซียน หลังชาวสตูลพยายามผลักดันประเด็นดังกล่าวมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 เนื่องจากมีการค้นพบฟอสซิลมากมายในพื้นที่ โดยเฉพาะฟอสซิลกรามของช้างดึกดำบรรพ์สกุล ‘สเตโกดอน’ ที่มีชีวิตอยู่ในยุคไมโอซีนตอนปลายถึงต้นยุคไพลสโตซีน อายุราว 1.8 ล้านปีมาแล้ว ที่สำคัญ ยังมีการค้นพบฟอสซิลของสัตว์ครบทั้ง 6 ยุค ในมหายุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic) ซึ่งมีอายุประมาณ 542-251 ล้านปี (ก่อนยุคไดโนเสาร์) โดยช่วงดังกล่าวถือเป็นยุคแห่งสัตว์ทะเล สิ่งมีชีวิตพวกสาหร่ายดึกดำบรรพ์ และภูเขาสาหร่าย ก่อนที่จะมีสัตว์มีครีบเกิดขึ้นบนโลก โดยซากสัตว์ต่างๆ นั้นต่างพบอยู่ในก้อนหิน ภูเขาต่างๆ รวมถึงถ้ำในเขตจังหวัดสตูลอย่างมากมาย จนถูกขนานนามว่า “ฟอสซิลแลนด์ แดนสตูล” แล้วคนอย่างเราจะพลาดที่จะไปได้ไง แต่ก่อนที่จะเข้าถ้ำต้องมาเรียวตัวเปลี่ยนชุดใส่เสื้อชูชีพพร้อมหมวกกันน๊อคกันซะก่อนแล้วมาแอคท่าสวยๆ บันทึกความทรงจำเอาไว้ เพราะเราเข้าทางปากถ้ำแต่เราจะไปออกตรงหัวใจถ้ำ 5 5 5 ได้ยินไม่ผิดหลอกออกมาจากหัวใจถ้ำจะเป็นไงนะหรอมาดูกัน แต่ตอนนี้ขอตามหาช้างก่อน ช้างกูอยู่ไหน .....
แล้วเมื่อพร้อมเราก็เข้าไปลุยดูในถ้ำกันเลย ก่อนเข้าไปคิดว่าต้องอับ ต้องชื้น ต้องหายใจลำบากแน่ๆ เพราะมีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ที่บอกมาว่า “ถ้ำเลสเตโกดอน” ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นถ้ำอยู่ในเทือกเขาหินปูนทอดยาวมีลักษณะคล้ายอุโมงค์ใต้ภูเขาความยาว 4 กิโลเมตร จึงถือเป็นถ้ำน้ำเค็มที่ยาวที่สุดในเมืองไทย ภายในมีหินงอกหินย้อยหลายแบบสวยงาม โดยสถานที่แห่งนี้นี่เองที่เป็นจุดค้นพบซากกระดูกขากรรไกรพร้อมฟันกราม ซี่ที่ 2 และ 3 ด้านล่างขวาของช้างสเตโกดอนนั่นเอง
ตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจมากๆ ภายในถ้ำทั้งมืดทั้งเย็น ต้องมีไฟฉายติดไปด้วย ไม่งั้นต้องร้องเลย มืดตี๊ดตือ ทำไมมันมืดตี๊อตื๊อ 5 5 5 ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ไม่รุ้แต่รุ้ว่าเพลินมากๆ ทางในถ้าก็เป็นซอกหินวกไปวนมา มั้งหินงอกหินย้อน หลากหลายสีสัน เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องใช้จินตนาการณ์ด้วยนะ ว่าเราเห้นหินเป็นรูปอะไร มีแปลกมากมายหลายอย่าง สวยจริงๆต้องเข้ามาเห้นด้วยตาตัวเอง เพราะทั้งความระยิบระยับเวลาหินกระทบแสงเห็นเหมือนแสงเพชรที่สะท้อนออกมาเลย เพราะรูปที่ถ่ายคงบรรยายความรุ้สึกออกไปได้ไม่หมดเหมือนสายตาตัวเองได้ไปเห็นกับตา และก็มาถึงทางออกเป็นไง ออกทางหัวใจถ้ำ อันนี้ต้องใช้จินตนาการอีกนิด แล้วบอกเลยว่าสวยมาก คุ้มค่ากับการเดินทางจริงๆ
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่การสิ้นสุดของการเดินทาง เพราะเราต้องขึ้นจากถ้ำตรงนี้แล้วเดินบนสะพานเพื่อออกไปทางอีกทางเพื่อไปต่อเรือหางยาวออกไปขึ้นที่ท่าเรืออีกที่ แต่ถาพที่ได้มันช่างสวยงามจริงๆ
นี่ไงแบบนี้ไงที่เขาว่าผู้ชายพายเรือ 5 5 5 ผู้หญิงยิงเรือ เอ้ยนั่งเรือ 5 5 5 เดินทางกันอย่างสนุกสนาน เพื่อไปลงต่อเรือหางยาวลำใหญ่เพื่อไปขึ้นที่ปากแม่น้ำอีกทีกลับมาด้วยรอยยิ้ม และอิ่มเอมกับความสุขที่ได้รับกับความสวยงามที่ได้ชื่นชม ภายในถ้ำ กันทุกคน
และเมื่อมาถึงจุดนี้เราก็จะครบภาระกิจอย่างที่บอก เหลือการข้าวกาลเวลา 5 5 5 ไม่ได้โม้นะเดียวจะพาไปข้ามการเวลา กาลเวลาจะมีค่ามากแค่ไหนมันจะขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักษาเวลานั้นได้นานแค่ไหน ... แอบซึ้งไปอีก
มันคือความโรแมนติกกับตวามทรงจำดีๆ ที่ข้ามกาลเวลาจากวันนี้ไปตราบนานเท่านาน มันคงจะหวาน กิ๊ว ก็ว น่าดูเนอะ อิอิอิ ขนลุก
ความสวยของการเวลามันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆนะ เอาเป็นว่ามืดแล้วตอนนี้ต้องไปเติมพลังใส่ท้องละเหนื่อยมาทั้งวัน มื้อเย็นเราไปกินอาหารทะเลกันแบบชิวๆดีกว่าที่ร้านริมเล
หนังท้องตึงในส่วนกระเพาะที่หนึ่งคือของคาว ต่อไปต้องของหวานสิ ไม่งั้นจะครบสูตรได้ไงเพราะกระเพาะเราแบ่งได้เป็นสองกระเพาะ ครึ่งนึงของคาวอีกครึ่งของหวาน 5 5 5 5เมื่อสนุกสนานกับอาหารคาวเป็นที่อิ่มหน่ำสำราญใจ ก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไปเพื่อหาของหวานแสนอร่อยกับของขึ้นชื่ออีกร้านห่างกันไม่ถึง 500 เมตร แต่ถามว่าจะเดินไหม ไม่จ้า นั่งรถตู้มุ่งหน้าไป เพราะอิ่มนะสิขี้เกียดเดิน 5 5 5 แล้วเราก็มาถึงร้านที่ว่าคือร้าน ชาชัก ปากบารา
แบบว่าไม่อยากพูดเยอะ ไม่ได้เจ็บคอหลอกนะแต่หิวอีกละ ได้เวลากินของอร่อย ถ้ามาสตูลแล้วไม่มานั่งกินที่นี่นะ พลดมั๊กๆ ต้องมา ต้องกิน จะฟิน ตั้งแต่ท่าชักของพี่แกแล้วละ ชักยาวเชียว 5 5 5 บางทีแกมีหมุนตัวโชว์อีกต่างหาก แต่บอกว่า อร่อยทุกเมนูเลย ล่วงเลยเวลามาดึกมากๆแล้วก็ต้องถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับเข้าที่พัก เพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ไปต่อในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันที่ต้องตื่นเต้นอีกวันเพราะเราจะออกทะเลกัน คืนนี้เอาไปนอนฝันหวาน นอนร้องเพลง โอ้ทะเล แสนงาม ฟ้าสีครามสดใส มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล 5 5 5 ไป ๆ ๆ ๆ รีบกลับไปพักผ่อนว่าแล้วก็รีบกระโดนขึ้นรถแบบไม่รอช้าเพราะอยากอาบน้ำอาบท่า ตั้งหน้ารอจะไปเที่ยวพรุ่งนี้ รีบบอกพี่คนขับรถ รีบไปเลยพี่ เข้าที่พัก ที่ เลคเทอเรสรีสอร์ท พามาพักกันที่นี่เพราะ โรงแรมแห่งนี้ ตั้งอยู่ใจกลางธรรมชาติอันร่มรื่น เหมาะสำหรับการพักผ่อนในวันหยุด ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ ดุจดั่งสวรรค์ในการพักผ่อนสำหรับนักเดินทาง จะเป็นไงนะหรอดูจากรูปเลย ฟินปะละ น่ามาปะละ แต่ตอนที่มาถึงถึงตอนมืดแล้ว แต่นี่ถ่ายตอนเช้า เลยได้อีกบรรยากาศนึงมาให้ชม
วันนี้เดียวไปนอนก่อนนะ เพลียมากๆ เดียวมาเขียนต่อนะ 5 5 5 เพราะต้องเก็บแรงไปลั้ลล้า ตอนเช้า สาย บ่าย เย็น สรุปคือทั้งวัน จ้า มาต่อกัน อีกภาคจบนะจ้า ของจังหวัดสตูต ใน รีวีวถัดไป 5 5 5