ขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.share2trade.com/index.php?mod=news&file=view&id=244
SUPER ใส่เกียร์ห้าเดินหน้าขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเต็มเหนี่ยว บอร์ดไฟเขียวส่ง 2 บริษัทย่อย “SWE” และ “SUPERE” เข้าลงทุนโครงการพลังงานลมเวียดนาม 250 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนรวม 577 ล้านบาท บิ๊กบอส “จอมทรัพย์ โลจายะ” ลั่นปี 62 เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยว หลังทุ่มลงทุนโซลาร์ฟาร์ม-วินด์ฟาร์ม ทั้งในและต่างแดน
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SUPER) ดำเนินธุรกิจการให้บริการด้านการปฏิบัติการดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งบริการ ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจพลังงานทดแทน ประกอบด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานขยะและพลังงานลม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทย่อย ได้แก่บริษัท ซุปเปอร์ วินด์ เอนเนอร์ยี จำกัด (SWE) และบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี กรุ๊ป จำกัด (SUPERE) เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นในบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 2 โครงการขนาดกำลังการผลิตรวม 250 เมกะวัตต์ ได้แก่โครงการ HBRE PHU YEN และโครงการ HBRE GIA LAI มูลค่าการเข้าทำรายการสูงสุดไม่เกิน 577 ล้านบาท
โดยปัจจุบันบริษัทฯเจ้าของโครงการอยู่ระหว่างขั้นตอนการขอและออกใบอนุญาตต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศเวียดนาม
“การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการแช่งขันในการดำเนินธุรกิจ และสร้างรายได้ในอนาคตให้แก่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นการขยายการลงทุนของบริษัทไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจากรัฐบาลเวียดนาม เช่น สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน”
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนในโครงการพลังงานลมดังกล่าวถือว่านอกเหนือจากโครงการพลังงานลม กำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ ที่ก่อนหน้าบริษัทฯ ได้มีการลงนามไว้ และจะทยอยก่อสร้างตามแผนงานและตามความพร้อมของบริษัท คาดว่าจะเริ่มเห็นเฟสแรกในไตรมาส 3/2562 ซึ่งเชื่อว่าการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้การสร้างรายได้และกำไรของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต สอดคล้องกับปัจจุบันที่ความต้องการใช้พลังงานในประเทศเวียดนามเพิ่มมากขึ้น
ในส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิตรวม 236.72 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีการดำเนินการก่อสร้าง และมีกำหนดที่จะเริ่มทยอยจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือนมิถุนายน 2562 นี้ จะเริ่มรับรู้รายได้และทยอย COD อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
“แผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศบริษัทมีโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะทั้งที่ดำเนินการแล้วและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ ปีนี้ถือเป็นปีที่เริ่มเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะในประเทศเวียดนามในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์”
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประเทศเวียดนามแล้ว SUPER มีแผนที่จะขยายการลงทุนในตลาดต่างประเทศอื่นๆ อาทิ จีนและญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น รวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติม โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในช่วง 1-2 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และวางเป้าก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนในภูมิภาคเอเชีย ภายในปี 2563
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2561 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561) ของบริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 5,729.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.98% จากปีก่อน หลังจากที่บริษัทฯ ได้ทยอย COD โครงการต่างๆ เข้ามาใน โครงการโรงไฟฟ้าสหกรณ์การเกษตร เฟส 2 ขนาดกำลังการผลิต 28 เมกะวัตต์ในช่วงปลายปี และโรงไฟฟ้าขยะ จ.สระแก้ว ขนาดกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์
บอร์ด SUPER ไฟเขียวทุ่ม 577 ลบ.ลุยวินด์ฟาร์มเวียดนาม 2 โครงการ กำลังผลิตรวม 250 MW
SUPER ใส่เกียร์ห้าเดินหน้าขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเต็มเหนี่ยว บอร์ดไฟเขียวส่ง 2 บริษัทย่อย “SWE” และ “SUPERE” เข้าลงทุนโครงการพลังงานลมเวียดนาม 250 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนรวม 577 ล้านบาท บิ๊กบอส “จอมทรัพย์ โลจายะ” ลั่นปี 62 เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยว หลังทุ่มลงทุนโซลาร์ฟาร์ม-วินด์ฟาร์ม ทั้งในและต่างแดน
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SUPER) ดำเนินธุรกิจการให้บริการด้านการปฏิบัติการดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งบริการ ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจพลังงานทดแทน ประกอบด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานขยะและพลังงานลม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทย่อย ได้แก่บริษัท ซุปเปอร์ วินด์ เอนเนอร์ยี จำกัด (SWE) และบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี กรุ๊ป จำกัด (SUPERE) เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นในบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 2 โครงการขนาดกำลังการผลิตรวม 250 เมกะวัตต์ ได้แก่โครงการ HBRE PHU YEN และโครงการ HBRE GIA LAI มูลค่าการเข้าทำรายการสูงสุดไม่เกิน 577 ล้านบาท
โดยปัจจุบันบริษัทฯเจ้าของโครงการอยู่ระหว่างขั้นตอนการขอและออกใบอนุญาตต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศเวียดนาม
“การเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการแช่งขันในการดำเนินธุรกิจ และสร้างรายได้ในอนาคตให้แก่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นการขยายการลงทุนของบริษัทไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจากรัฐบาลเวียดนาม เช่น สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน”
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนในโครงการพลังงานลมดังกล่าวถือว่านอกเหนือจากโครงการพลังงานลม กำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ ที่ก่อนหน้าบริษัทฯ ได้มีการลงนามไว้ และจะทยอยก่อสร้างตามแผนงานและตามความพร้อมของบริษัท คาดว่าจะเริ่มเห็นเฟสแรกในไตรมาส 3/2562 ซึ่งเชื่อว่าการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนให้การสร้างรายได้และกำไรของบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต สอดคล้องกับปัจจุบันที่ความต้องการใช้พลังงานในประเทศเวียดนามเพิ่มมากขึ้น
ในส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิตรวม 236.72 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีการดำเนินการก่อสร้าง และมีกำหนดที่จะเริ่มทยอยจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือนมิถุนายน 2562 นี้ จะเริ่มรับรู้รายได้และทยอย COD อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
“แผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศบริษัทมีโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะทั้งที่ดำเนินการแล้วและที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ ปีนี้ถือเป็นปีที่เริ่มเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะในประเทศเวียดนามในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์”
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประเทศเวียดนามแล้ว SUPER มีแผนที่จะขยายการลงทุนในตลาดต่างประเทศอื่นๆ อาทิ จีนและญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น รวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติม โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในช่วง 1-2 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และวางเป้าก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทนในภูมิภาคเอเชีย ภายในปี 2563
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานงวดปี 2561 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561) ของบริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 5,729.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.98% จากปีก่อน หลังจากที่บริษัทฯ ได้ทยอย COD โครงการต่างๆ เข้ามาใน โครงการโรงไฟฟ้าสหกรณ์การเกษตร เฟส 2 ขนาดกำลังการผลิต 28 เมกะวัตต์ในช่วงปลายปี และโรงไฟฟ้าขยะ จ.สระแก้ว ขนาดกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์