รำลึกอาลัยเติ้งเสี่ยวผิง.....ชู 1 นิ้ว.....ลดกำลังพล 1 ล้านคน cnck

ย้อนไปเมื่อ 22 ปีที่แล้ว 19 กุมภาพันธ์ 1997  จีนได้สูญเสียรัฐบุรุษผู้นำจีนเข้าสู่ยุครุ่งเรือง

วางรากฐานให้กับจีนยุคใหม่ จนก้าวไปสู่มหาอำนาจของโลกในปัจจุบัน เติ้ง เสี่ยว ผิง 邓小平



เติ้ง เสี่ยว ผิง จัดเป็นผู้นำจีนยุคที่ 2 ต่อจาก เหมา เจ๋อ ตง 毛泽东

ตลอดชีวิตของ เติ้ง เต็มไปด้วยความพลิกแพลง เคยสูญเสียอำนาจถึง 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งก็กลับมาใหญ่กว่าเก่า

จนได้สมญาแมวเก้าชีวิต


ผลงานในการบริหารประเทศมีมากมาย แต่ที่เด่นๆคือ นโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ 一国两制

ที่รัฐบาลกลางปักกิ่ง ใช้บริหารฮ่องกง และ มาเก๊า


พูดถึงฮ่องกง  เมื่อวันที่ 24 กันยายนปี 1982  นางสิงห์เหล็ก มากาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ

ได้เปิดฉากเจรจากับ เติ้ง เสี่ยว ผิง เรื่องปัญหาเกาะฮ่องกง ที่จะครบกำหนดคืนให้จีนในปี 1997




นางสิงห์เหล็กมาด้วยท่าทีมั่นใจ เพราะเพิ่งได้ชัยชนะเหนือ อาร์เจนติน่า ในศึก เกาะฟอล์คแลนด์

แต่เมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง นางสิงห์เหล็ก ก็กลายสภาพเป็น แมวเชื่อง เมื่อเจอท่าทีอันแข็งกร้าว และ เด็ดเดี่ยว

ของผู้นำอย่าง เติ้ง เสี่ยว ผิง  ซึ่งจบการเจรจาโดยได้ข้อยุติคือ


อังกฤษ ต้องคืน เกาะฮ่องกง ให้จีนบริหารแต่ผู้เดียว ในวันที่ 1 กรกฎาคม 1997


มีเรื่องเล่ากันว่า ในช่วงก่อนที่จะถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 1997

หลายครั้งที่ เติ้ง ไปตรวจงานแถว เซินเจิ้น 1 ใน 4 เขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ติดกับฮ่องกง

ผู้ติดตามเติ้งมักจะชวนเติ้งข้ามไปฝั่งฮ่องกง แต่เติ้งตอบว่า


เวลานี้ไม่ข้ามไปหรอก เพราะมันยังไม่ใช่ของเรา เอาไว้วันนั้นก่อน

เราจะถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่า เหยียบดินแดนฮ่องกงให้ชุ่มชื่นใจ .



ภาพ เซินเจิ้น ก่อนจะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ เมื่อเป็นเศรษฐกิจพิเศษแล้ว





อีกหนึ่งนโยบายของเติ้ง ที่บังเอิญอยู่ในกระแสความสนใจของคนไทย

เพราะมีพรรคการเมืองอย่างน้อย 2 พรรค ชูประเด็นคล้ายคลึงกัน นั่นคือ


การปรับลดงบประมาณทหาร และ การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร


ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ 1985 ในที่ประชุมใหญ่คณะกรรมาธิการทหารจีน

ตอนนั้นจีนมีทหารประจำการประมาณ 4 ล้านคน ระหว่างการประชุม เติ้ง เสี่ยว ผิง

ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ ได้ชูนิ้วขึ้น 1 นิ้ว ดังภาพ




แล้วกล่าวนโยบายที่สร้างความตกตะลึงให้กับทั้งโลกว่า


จีนจะลดกำลังพลประจำการให้ได้ 1 ล้านคน ภายใน 1 ปี


หลังจากให้นโยบายไปแล้ว กองทัพจีนปั่นป่วนทันที ทหารจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่า

การลดกำลังพลถึง 1 ล้านคนภายในเวลาสั้นๆจะทำได้อย่างไร ?

บางส่วนของ ผู้บังคับบัญชาหลายหน่วย หลายระดับ ต่างกังวลและโกรธ

แต่ไม่ถึงกับเปิดเพลง หนักแผ่นดิน เวอร์ชั่นจีน  ได้แต่นิ่งรอฟังคำอธิบายจากส่วนกลาง


วิธีการลดกำลังพลของเติ้ง ส่วนใหญ่จะใช้วิธีจัดหางานใหม่ให้กำลังพลที่ถูกปลด

เนื่องจากตอนนั้น เติ้ง กำลังใช้นโยบายเปิดประเทศ เงินทุนจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามามหาศาล

เติ้ง เปิดรัฐวิสาหกิจใหม่ๆเน้นด้านการก่อสร้าง การคมนาคม โดยใช้ทหารที่จะปลดเหล่านี้ ไปทำงานที่แห่งใหม่

ทหาร เมื่อมีงานใหม่ที่มีรายได้ดี งานมั่นคง และยังคงสภาพเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

ต่างยินดีที่จะลาออกเป็นจำนวนมาก โครงการลดกำลังพล 1 ล้านคน จึงสำเร็จโดยง่าย





กลับมาที่เมืองไทย

แทนที่พรรคการเมืองจะหาเสียงแบบพุ่งหอกเข้าหากองทัพ สร้างความเผชิญหน้า

ทำให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ดี ทำไมไม่ลองช่วยกันหาวิธีที่ วิน วิน ทุกฝ่าย


ส่วนตัว จขกท มีความเห็นส่วนตัวต่อเรื่องการลดงบประมาณ และ ลดกำลังพล ดังนี้


จากรูปข้างบน กรมทางหลวงจะมีงบประมาณมหาศาล โดยเฉพาะปี 62 นี้ ได้งบไปถึง แสนกว่าล้านบาท

เป็นไปได้หรือไม่ ที่รัฐบาลจะตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมา เพื่อรองรับโครงการบางส่วนของกรมทางหลวง

โดยบุคลากรก็เอามาจากทหารที่สมัครใจมาที่รัฐวิสาหกิจที่ตั้งใหม่ โดยเฉพาะทหารช่างที่เราต่างก็รู้ดีว่า

มีฝีมือดีกว่าเอกชนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ  ถ้ารัฐแบ่งงานและกำไรให้เหมาะสมพร้อมกับดูแลเรื่องรายได้

และสวัสดิการให้ดีแล้ว เชื่อว่าจะมีทหารจำนวนมาก ยินยอมพร้อมใจกันลาออกมาสร้างอนาคตใหม่แน่นอน




นอกจากรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับการก่อสร้างแล้ว กรมสรรพาวุธ 3 เหล่าทัพ ก็น่าจะพัฒนาให้เป็นรัฐวิสาหกิจได้

ทุกวันนี้ ประเทศเราต้องซื้ออาวุธจำนวนมากจากประเทศต่างๆ ถ้าสามารถยุบกรมสรรพาวุธของ 3 เหล่าทัพ

มาปรับโครงสร้างใหม่ ใส่งบประมาณด้านวิจัยและเครื่องมือเข้าไป ให้มีขีดความสามารถในการผลิตอาวุธ

หรือยุทโธปกรณ์ทั้งหลายทั้งปวง เริ่มจากทำใช้เอง จนถึง ส่งออก ก็จะสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ




เมื่อหลายๆโครงการยังทำให้ลดกำลังพลได้ไม่ถึงเป้า การให้ทหารที่สมัครใจ เออลี่รีไทร์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง

แต่ผลประโยชน์ตอบแทนการ เออลี่รีไทร์ ต้องมากกว่าปกติ

ยิ่งสามารถทำให้ ทหารที่เลือกช่องทางนี้ มีหลักประกันรายได้ มีหลักทรัพย์เช่น บ้าน หรือ ห้องพัก

ที่สามารถผ่อนได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เหมือนเมื่อครั้งยังรับราชการ

และถ้าทำให้ได้สิทธิพิเศษบางอย่างเฉกเช่นองค์กรทหารผ่านศึก

ก็อาจเป็นแรงจูงใจให้ทหารสมัครใจเลือกช่องทางนี้มากขึ้น




พรรคการเมืองทุกพรรคครับ


การจะออกนโยบายอะไรที่จะใช้หาเสียง ควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ และ บรรยากาศโดยรวมด้วย

การพูดเอามัน พูดไม่คิด พูดแล้วทำไม่ได้ พูดหาเรื่อง พูดให้เกิดประเด็น อย่าทำเลยครับ

ประเทศเราบอบช้ำเกินกว่าจะมีเวลาทะเลาะกันอีกแล้ว เห็นใจคนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดบ้าง


สรุป มุมมอง จขกท เกี่ยวกับงบประมาณและกำลังพลของทหาร

1 โยกกำลังพลบางส่วนไปอยู่รัฐวิสาหกิจใหม่ ที่มีรายได้และความมั่นคงดีกว่ารับราชการทหาร

2 เปลี่ยนงบประมาณที่ได้จากการลดกำลังพล มาเพิ่มให้กับงบประมาณด้านวิจัยและอาวุธ

3 ลดตำแหน่งนายพลให้เหลือสัดส่วนที่เหมาะสม โดยไม่มีการปลดออกจากตำแหน่ง

แต่เสนอเรื่อง เออลี่รีไทร์ กับ การไปมีตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจใหม่ที่รัฐเปิดขึ้น

4 เมื่อตำแหน่งว่างลงแล้ว ให้ปิดตำแหน่งนั้นเสีย โดยเฉพาะตำแหน่ง ประจำ ที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ ฯ


ทั้งหลายทั้งปวง ควรทำด้วยความละมุนละม่อม ปรึกษากันด้วยพื้นฐานผลประโยชนืประเทศชาติเป็นหลัก


ป.ล ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร  (ไว้พูดเหตุผลในกระทู้หน้า)

ป.ล 2 ไม่เห็นด้วยกับทุกฝ่ายที่กำลังเล่นเกมส์เผชิญหน้าอย่างไร้สติ

ป.ล 3 เห็นพรรคการเมืองหาเสียงแบบนี้แล้ว ยังคงยืนยันที่จะ "โหวตโน"

ป.ล 4 เสียดายแทน เติ้ง เสี่ยว ผิง ขาดอีกแค่ 4 เดือนเศษ ก็จะได้เห็น ฮ่องกงกลับคืนสู่อ้อมอกแม่

แต่มาเสียชีวิตเสียก่อน


cnck
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่