".. ไม่ได้คบใครหรือไม่ได้มีใคร" ประโยคที่ฉันฟังแล้วเศร้า และอารมณ์หม่นหมอง

ประโยคที่ว่า "... ไม่ได้มีใครหรือไม่มีคนอื่น" เป็นประโยคสุดท้ายที่ทำให้ผมตัดสินใจได้ว่า ผมควรจะยุติความสัมพันธ์ระหว่างผมกับผู้หญิงที่ผมชอบคนนั้น ความสัมพันธ์ที่ผมรู้สึกอยู่เสมอว่า คลุมเครือ ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนควรเรียกว่าอะไร
เรื่องที่ผมอยากเล่าอยากแชร์นี้ เป็นเรื่องที่อยากระบาย แค่ขอให้มีพื้นที่ให้ผมได้บอกออกไป

เริ่มเรื่อง (Part 1)

มากกว่า 9-10 ปี ที่ผมได้รู้จักเธอ เรารู้จักกันผ่านโปรแกรมสังคมออนไลน์ ทุกคนอาจคิดว่ามันคือเฟสบุ๊ค แต่ไม่ใช่ครับ มันเป็นโปรแกรมประเภทแสดงการเช็คอิน แชร์ที่อยู่ มันชื่อว่า Foursquare (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Swarm) สำหรับเมืองไทย มันเป็นโปรแกรมวงเล็กๆ ที่ไม่ได้กว้างขวางเช่นเฟสบุ๊ค ความสนุกของมันในตอนนั้น คือ การที่เราเช็คอินสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม สถานีรถไฟ ห้าง ฯลฯ เมื่อเช็คอินแล้ว เราจะได้ Badges ที่มีลักษณะสถานที่ที่เราเช็คอินนั่นเอง
ผมกับเธอ แรกเริ่มรู้จักกัน เพียงเพราะเรามีการพูดคุยถึงวิธีการปลดล็อค Badges แต่ละตัวต้องทำอย่างไร ช่วยกันแนะนำ ช่วยกันปลดล็อค Badges รูปแบบต่างๆ จนสนิทกัน หลังจากนั้น ก็ถึงเวลาที่เหมาะสม ว่าเราควรทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ก็แบบที่ผู้ชายคนหนึ่งอยากรู้จักผู้หญิงอีกคนให้มากขึ้น จริงจังมากขึ้น  เริ่มด้วยการนัดเจอกัน ทานข้าวร่วมกัน มื้อแรกของการทานข้าวเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเลข8 (บางอย่างก็ดันจำได้อย่างแจ่มชัด บางอย่างก็เลือนลาง) ตามด้วยไปดูหนัง กิจกรรมปกติของคนที่จะทำความรู้จักกันมากขึ้นทั่วๆไปนั่นแหละ การใช้เวลาร่วมกันพวกนั้น ก็ไม่ได้บ่อยแบบทุกวันเจอกัน แค่นัดเจอกันเป็นระยะ เวลาและการงานทำให้เจอกันไม่บ่อยมากนัก แต่แชทคุยกันเสมอ ความสัมพันธ์ของเราสองคนที่ไปทานข้าว ดูหนัง เดินเล่น เป็นไปแบบไม่ได้บอกใคร ผมก็ไม่ได้บอกเพื่อนๆ เค้าก็ไม่ได้บอกเพื่อนของเค้า เราไม่ได้แสดงอะไรที่ทำให้คนอื่นรู้ว่าไปไหนมาไหนกับคนนี้นะ อะไรแบบนั้น แต่ในความคิด ผมพร้อมที่จะบอกกับคนอื่นๆ ได้เลยว่า คบเธอคนนี้อยู่ แค่ผมไม่ได้ประกาศลงในโซเชียลหรือโปรแกรมเฟสบุ๊คก็เท่านั้นเองครับ และผมก็คิดไปอีกว่า เคารพในความเป็นส่วนตัวของเธอ หากเธออยากบอกเพื่อนหรือคนแวดล้อม ผมก็ไม่ขัดข้อง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงให้ใครต่อใครต้องทราบเช่นกัน
นิสัยโดยส่วนตัวผมเป็นคนไม่ผลีผลามจีบผู้หญิง ด้วยวัยที่ไม่ใช่เด็กวัยรุ่น โตแล้ว งานมาก แต่ถ้าตัดสินใจคบหาไปแล้ว เหมือนมองความมั่นคง มองอนาคตที่จะมีร่วมกัน เพราะฉะนั้น จึงลองเลียบๆเคียงๆ ยิงคำถามแบบคิดกับเรายังไง เราชอบเธออย่างจริงจังนะ ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมา ในตอนนั้นนะครับ เท่าที่จำได้และรู้สึกได้เลย คือ เธอไม่ได้รังเกียจ แต่ยังไม่ได้คิดอะไรไปไกล พอใจกับความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในตอนนี้ พอได้รับรู้ท่าทีของเธอในตอนนั้น แม้จะพยามสื่อว่า ตัวเองคิดอย่างไร อยากได้ความชัดเจนจากเธออยากรู้ว่าเธอคิดกับผมอย่างไร คำตอบของเธอ ไม่ได้ตอบ yes or no แต่เป็นคำตอบที่ไม่สามารถหาความแน่นอนได้ อารมณ์ที่รู้สึกอยู่เสมอว่า สำหรับตัวผมแล้ว เป็นอะไรในสายตาของเธอกันแน่
จึงเป็นที่มาของการถอยออกมา แบบเฮิทร์นอย์ดไประยะหนึ่ง แต่ก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ไปทำงาน กลับบ้านปกติ ไม่ได้ฟูมฟายให้ใครเห็น (แต่เพ้อเจ้อในเฟสบ้าง) แต่ไม่มากครับ เพราะไม่ชอบแสดงความรู้สึกส่วนตัวลงบนเฟสบุ๊ค เป็นอันยุติความสัมพันธ์ช่วงที่ 1 (Part 1)
ปล 1. ภายหลังจากจบความสัมพันธ์ไปในครั้งนั้น ก็ใช้ชีวิตปกติ แต่หากเวลาผ่านไปสถานที่ที่เธอทำงานอยู่ใช้ชีวิตอยู่ มันจะแอบหวังที่จะได้สวนทางกันบ้าง แต่ไม่มีครับ ไม่เคยเจอเลย จนมาเจออีกครั้ง จึงรู้ว่าเธอมีการเปลี่ยนสถานที่ทำงานเช่นกัน

พบกันครั้งที่ 2 (Part 2)

ผ่านไปอีกหลายปีพอควร ผมได้มีโอกาสกลับไปพบเธออีกครั้งหนึ่ง เวลาอาจจะสักช่วง 3-4 ปีก่อน เริ่มจากการที่ วันหนึ่งผมเห็นเฟสบุ๊คของเธอ จำไม่ได้ว่าทำไมถึงเห็น เห็นได้อย่างไร ปกติ ผมไม่เคยบล็อคเพื่อนในเฟสบุ๊คเลย แต่เอาล่ะ ผ่านมาหลายปี แผลในหัวใจหายดีแล้ว พร้อมกับความรู้สึกที่นิ่งแล้ว ต้องขอบอกว่า การถอยออกมาในครั้งก่อน ไม่ใช่เพราะคนสองคนเกลียดกัน ทะเลาะกัน แต่ต้องจบความสัมพันธ์เพราะความคลุมเครือไม่ชัดเจนในตอนนั้น
ดังนั้น ครั้งนี้เมื่อผมเป็นฝ่ายติดต่อเธอกลับไปอีกครั้ง และเธอก็ตอบรับกลับมาด้วยดี จึงเป็นเพียงการพูดคุยบนเฟสบุ๊คแบบธรรมดา เหมือนเป็นแค่เพื่อนกันทั่วๆไป ซึ่งความตั้งใจผมในตอนแรก ก็แค่บอกตัวเองว่า คุยกันแบบเพื่อนที่รู้จัก เพราะปกติผมก็คุยกับเพื่อนบนเฟสบุ๊คคนอื่นๆ เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องบอกไว้ก็คือ เราสองคนไม่เคยพูดถึงระยะเวลาที่หายไป ไม่กลับไปพูดเรื่องสาเหตุในตอนนั้นที่หายไป ผมไม่พูดเธอก็ไม่พูด จนถึงจังหวะหนึ่ง ผมเองนั่นแหละ ที่เป็นฝ่ายไปพบเธอ ด้วยความคิดตื้นๆ ที่ว่า ก็นัดเจอกัน กินข้าวกับเพื่อนธรรมดา ไม่มีอะไรต้องไปกลัว เราก็คิดกับเธอเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ เท่านั้นพอ
เรานัดเจอกันอีกครั้ง ภายหลังจากที่แยกกันไปหลายปี แต่ครั้งนี้ผมจำไม่ได้ว่านัดเจอกันที่ไหน แต่อาจจะใกล้ละแวกคอนโดกับที่ทำงานของเธอเช่นเดิมแหละ คิดว่าคงแค่ดื่มกาแฟกันในตอนนั้น ซึ่งการพบกันครั้งนี้ จึงทำให้รู้เช่นกันว่า ที่ไม่เคยเจอเธออีกเลย(เหมือนที่แอบหวัง) เพราะเธอก็โยกย้ายที่ทำงานกับที่พักเช่นกัน แถมมันอยู่คนละทางกับที่บ้านกับที่ทำงานผมนั่นเอง ครั้งนี้ ผมเตรียมใจมาแค่ว่า คบหาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ มีกินข้าวกันบ้างตามประสา ...แต่ใช่สินะ กินข้าวกับเพื่อนธรรมดาทำไมจะต้องไปกันแค่สองคน ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นเพื่อนกันได้ด้วยหรือ (ประโยคในซีรีย์เกาหลี The Beauty Inside ลอยมาในความคิดเลย) ผมอ่อนหัดเองที่คิดว่าตัวเองจะคิดได้เช่นนั้น ผมพบเธอหลายครั้ง ทานข้าว ดูหนัง ดื่มกาแฟ เดินซื้อของ (คงเห็นแล้วว่าถ้าเพื่อนธรรมดา ก็ไม่ต้องไปทำอะไรแบบนั้นหรอก) ผมคิดของผมไปเองว่าผมคงไม่คิดอะไรกับเธอ แม้ผมจะพยายามทำตัวว่าผมไม่คิด เดินไม่จับมือ ดูหนังก็ไม่ต้องกุมมือกันก็ตาม แต่ผมก็คิดผิดเอง ตัวผมเองแหละที่ปล่อยให้ตัวเองเตลิดไปกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ เพราะก็ดูว่าเธอยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะไปด้วยกัน บอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของกันและกัน ไปทำงานอันนู้นมา ไปงานนี้มา จริงๆ มันก็หัวข้อพูดคุยทั่วไปนั่นแหละครับ และเธอก็ยังมีการปฏิบัติที่ปกติกับผม สิ่งนั้นคือ แชทไปไม่ตอบบ้าง ตอบช้าบ้าง หายไปบ้าง นั่นแหละ ปัญหากวนใจผมเสมอมา ส่วนตัวนิสัยผมก็ไม่ค่อยเซ้าซี้ เจอหน้าไม่ถาม ทำไมไม่ค่อยตอบ เพราะผมก็ไม่อยากเริ่มด้วยสิ่งนี้ที่มันกวนใจผมเสมอมา เลยคิดว่า ไม่ถามน่าจะดีกว่า ไม่ต้องหงุดหงิด เลยใช้การนิ่งไป
ครั้งนี้ เราคบกันได้นานขึ้นกว่าครั้งแรก และครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ของเราว่ามันคืออะไรแบบครั้งแรก อยากจะคบไปนานๆ แต่ส่วนตัวผมกลับเริ่มคิดว่า เธอก็คือผู้หญิงที่ผมพร้อมจะเริ่มต้นอนาคตด้วยกันนั่นเองไม่ใช่ใครอื่น ขอเพียงเธอยอมรับผม และคิดว่าวัยวุฒิที่เพิ่มขึ้นของเธอ อาจทำให้เธอเริ่มต้นอยากสร้างครอบครัวในวันอันสมควร แต่เหตุการณ์กับไม่เป็นเช่นนั้น
อย่างที่บอก มันมีปมที่กวนใจผมเสมอมาถึงความไม่ค่อยใส่ใจของเธอที่จะใส่ใจความรู้สึกของผม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่ตอบช้า ไม่ตอบ ไม่บอกเหตุผล นานวันเข้า มันจึงสะสมแล้ววนกลับมาเป็นปัญหาคาใจและเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ครั้งที่ 2 นี้
สาเหตุแห่งการจบความสัมพันธ์มันเริ่มมาจากการแค่ เราคุยแชทกันอยู่ ไม่ใช่เวลาดึกเลย หัวค่ำเอง คุยกันอยู่เธอก็เงียบไปแบบไร้เสียงตอบรับ เราก็เริ่มหงุดหงิด รอจนเช้า ไม่มีการทักกลับมาบอกสาเหตุ ครั้งนี้ ผมก็ทำเฉย เธอก็ทำเฉย แต่อย่างที่บอก เพราะถึงจุดหนึ่ง เรื่องแค่นี้ที่ปกติไม่เป็นปัญหา ผมก็ทำให้มันเกิดปัญหา โดยผมเงียบ ไม่ติดต่อไปเลยเป็นอาทิตย์ ครั้งนี้ ผมก็เงียบ เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าผมไม่พอใจ ผมเศร้า ผมเสียใจ ผมปิดเฟสหายไป1อาทิตย์  แต่เธอก็คือเธอ เธอทำท่าทีเหมือนปกติ ทักผมกลับมาแบบไม่มีอะไร แต่ครั้งนี้ ผมก็คงจะเหมือนฟางเส้นสุดท้ายเช่นครั้งก่อน ผมก็แค่บอกความรู้สึก ความไม่มั่นใจต่อเธอ ว่าไม่รู้จริงๆ ว่าเธอไม่รู้หรือว่าผมคิดอย่างไรก็เธอ
เธอจึงตอบกลับมาด้วยประโยคด้านบน "... ไม่ได้คบใครหรือไม่ได้มีใคร" ซึ่งนั่นทำให้ผมเสียใจ ไม่ได้มีใคร = ผมก็ไม่ใช่ใครคนนั้นเหมือนกัน เธอไม่เคยคิดกับผมมากไปกว่าเพื่อนธรรมดาคนหนึ่ง
บทสรุปครั้งนี้ของผมก็คือ ผมก็ถอยออกมาเช่นเดิม (ทำไมเหตุการณ์แบบนี้มันคุ้นจัง) ผมทำเหมือนครั้งก่อน ถอยออกมา บล็อคทุกอย่าง ไม่ใช่อะไรนะ เพื่อไม่ให้ตัวผมเองใจอ่อนกลับไปเจอเหตุการณ์เช่นครั้งก่อน ตัดโอกาสทุกทางที่ผมจะเห็นเธอได้อีก จบความสัมพันธ์ครั้งที่ 2 (Part 2)

Part 3 : บทส่งท้าย บทสรุป

ผ่านมาปีครึ่งแล้วสินะ ผมถอยห่างจากเธอตั้งแต่ ก.ย. 2560 ที่ผมยอมตัดใจจากคนที่ผมยอมรับว่า ชอบ...ไปจนถึงคำว่า "รัก" แต่ระยะเวลาที่คบหา หรือเรียนรู้ ทำความรู้จัก หรือจะเรียกว่าจีบก็ได้ ระยะทางที่ผ่านมา นอกเหนือจากอารมณ์หวานชื่น (เวลาที่ได้พบหน้า) มันจะมีอารมณ์ควบคู่ไปอีกอย่าง ที่แวบขึ้นมาอยู่เสมอ อย่างช่วยไม่ได้ นั่นคือ เธอเคยรักผมบ้างมั้ย มันเป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวผมอยู่เสมอเวลาผมตั้งคำถามกับตัวเองเพื่อทำความเข้าใจกับท่าทีที่แสดงออกของเธอ แต่ตอนนี้ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ผมยอมตัดใจ เพื่อรักษาแผลในหัวใจของผมไปอย่างเงียบๆ จะดีกว่า
เพื่อนๆ คงสงสัย แล้วทำไมผมจะต้องมาเขียนอะไรยืดยาวในวันนี้ ที่ผ่านมาปีกว่าๆ นั่นก็เพราะ ถึงแม้ตัวผมจะบอกว่าผมตัดช่องทางทุกอย่างที่จะทำให้ตัวเองเห็นเธอได้อีกต่อไป แต่...แต่ผมดันเปิดโอกาสให้ตัวเองไป แว็บเห็นเฟสบุ๊คของเธอ ที่มีรูปที่มีความสุขยิ้มแย้ม (เฟสบุ๊คเธอปิดสถานะไว้ทำให้มองไม่เห็นอะไรมากนักหรอก แต่มากพอที่ผมจะผ่านไปเห็นได้ว่า เธอมีเหตุผลแห่งความสุขนั้น นั่นคือ เธอมีผู้ชายที่เธอน่าจะคบหาและเธอยอมรับมากกว่าที่เธอเคยแสดงออกกับผม พีคกว่าตรงที่ เธอน่าจะเริ่มคบหากันช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2560 (ใช่ ปีที่ผมถอยออกมานั่นเอง) ที่ผมบอกว่าเธอน่าจะยอมรับว่าคบหามากกว่าที่แสดงออกกับผม เพราะรูปที่เธอถ่าย มันเป็นรูปเดียวกันกับที่ฝ่ายชายเธอลง แค่ต่างมุม 2-3 ครั้ง นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ผมเกิดอารมณ์เศร้า หม่นหมอง
เรื่องเศร้าของผมจึงดำเนินมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว ผมได้แต่ยินดีไปกับเธอ (โดยที่เธอก็ไม่มีโอกาสรับรู้ด้วยหรอก) และผมหวังว่าผมจะกลับมามีอารมณ์ที่นิ่งไม่เศร้า หม่นหมองได้เร็วต่อไป
ขอจบเรื่องเศร้าของผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเพียงเท่านี้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่