สวัสดีค่ะ วันนี้อยากลองมาเล่าประสบการณ์ความรักส่วนตัวกันหน่อย
ไหน ๆ ก็เนอะ ตอนนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังฮิตเลยค่ะ “Friendzone ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน”
ไม่ต้องเกริ่นกันให้มากนะคะ เราว่าหลายท่านคงเคยผ่านประสบการณ์นี้กันมาแล้ว
เราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ และส่วนมากก็ก้าวข้ามเส้นเฟรนด์โซนได้ตลอด
ประเด็นหลักก็คือ ประโยคนี้ค่ะ “คนบางคน เหมาะกับความสัมพันธ์แบบเพื่อนไม่ใช่แฟน”
ใช่ค่ะ ตอนเป็นเพื่อนกันมันดีมาก สนิทกันจนรู้ไส้รู้พุง คิดว่าก็รู้กันอยู่แล้วอะเนอะ
แต่มันเป็นแค่ความคิดเบสิกค่ะ เพราะชื่อมันก็นิยามตัวมันเองอยู่แล้ว
เฟรนด์ก็คือเพื่อน ส่วนแฟน มันมีหน้าที่และข้อบังคับมากกว่าเฟรนด์แล้วค่ะ
คนแรก: “เพื่อนรัก อดีตดีกรีปั๊บปี้เลิฟ”
เราถูกส่งไปเรียนประจำที่ประเทศอินเดียตั้งแต่ 14 ค่ะ
โรงเรียนนี้ตั้งอยู่บนเขา มีเอเจนซี่ชาวไทยส่งเด็กไปที่โรงเรียนนี้เรื่อย ๆ
ปีแรกที่เราเข้าไป ช็อคพอตัวค่ะ เด็กนักเรียนใส่สูทผูกไมด์ออกันให้แน่นดอนเมือง
ให้พูดขำ ๆ คือ เหมาครึ่งลำเพื่อกลับไปต้อนรับเปิดเทอมนั่นแหละค่ะ
เรารู้จักเพื่อนคนนี้ เพราะความที่เด็กไทยมีน้อย เราเลยจะรู้ทั่วถึงกัน
ตอนนั้นปีที่เราอยู่ จำนวนเด็กไทยน่าจะเกือบ 200 คนได้มั้งคะ ถ้าจำไม่ผิด
ทุกวันอาทิตย์เราจะมีคลาสพุทธศาสนา สอนโดยครูไทยค่ะ สำหรับคนไทย
เราก็จะเจอเค้าบ่อย เพราะอยู่ middle school เหมือนกัน senior อยู่อีกแคมปัส
เราเริ่มมาสนใจคุยกันตอนซัมเมอร์ค่ะ เนื่องด้วยเค้าเป็นคนเหนือใช่มั้ยคะ
พอลงมากรุงเทพฯ ที ต้องมาเสียค่าโรงแรม แม่เราเลยเสนอให้พักที่บ้าน
ก็เลยเริ่มคุยกัน ออกแนวปั๊บปี้เลิฟมากกว่าค่ะ อยู่ภายใต้สายตาพ่อกับแม่
ไปทานข้าว ดูหนัง เล่นโบว์ลิ่ง ประมาณ 2 อาทิตย์เค้าก็ต้องกลับไปบ้าน
ตอนนั้นโทรศัพท์รุ่น 3310 เริ่มมาค่ะ และสมัยนั้นค่าโทรนาทีละ 3 บาท
เราสองคนก็คุยกันทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง เค้าจะใช้โทรศัพท์บ้านเค้าโทรหาเรา
พอกลับโรงเรียน ก็พอมีคุยกันบ้าง แล้วทีนี้คือ เค้าได้ double promoted มาอยู่คลาสเดียวกับเรา
หลังจากนั้น อาจเพราะด้วยวัยที่เริ่มโตขึ้น และสนิทกันมากขึ้น ก็น่าจะเดาได้ค่ะ
เราสองคนก็เหมือนไม่ชัดเจนกันแต่แรกว่ายังไงกัน มันเหมือนปั๊บปี้เลิฟเด็กจริง ๆ
สุดท้ายเราก็สนิทกันมากขึ้น จนต่างคนต่างรู้ว่า เรารู้จักกันดีมากเกินไป 55555555555
สุดท้ายเริ่มแบบงง ๆ ก็จบแบบงงกว่า แต่ทุกวันนี้ฮีคือหนึ่งในเพื่อนรักนะคะ
ปล. ยังไม่จบเท่านี้นะคะ มีอีกหลายคน (เหมือนชะนีใจง่ายอะ) 55555555555
แต่คือ เราจะเป็นคนที่ไม่ทนกับความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนและไม่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ยิ่งความสัมพันธ์ที่ทำให้เราดูไร้ค่า เราจะไม่ลังเลที่จะเดินออกมาเลย
นี่ก็เลยจะเป็นข้อแก้ตัว เอ้ย เราหมายถึงเหตุผลค่ะ ว่าทำไมเราจะมีประสบการณ์มาเม้าท์มอยเยอะ
เฟรนด์โซน เข้าแล้วออกยากจริงหรือ? การตัดสินใจทุกอย่าง เมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องรับผลลัพธ์มันให้ได้นะ!
ไหน ๆ ก็เนอะ ตอนนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังฮิตเลยค่ะ “Friendzone ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน”
ไม่ต้องเกริ่นกันให้มากนะคะ เราว่าหลายท่านคงเคยผ่านประสบการณ์นี้กันมาแล้ว
เราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ และส่วนมากก็ก้าวข้ามเส้นเฟรนด์โซนได้ตลอด
ประเด็นหลักก็คือ ประโยคนี้ค่ะ “คนบางคน เหมาะกับความสัมพันธ์แบบเพื่อนไม่ใช่แฟน”
ใช่ค่ะ ตอนเป็นเพื่อนกันมันดีมาก สนิทกันจนรู้ไส้รู้พุง คิดว่าก็รู้กันอยู่แล้วอะเนอะ
แต่มันเป็นแค่ความคิดเบสิกค่ะ เพราะชื่อมันก็นิยามตัวมันเองอยู่แล้ว
เฟรนด์ก็คือเพื่อน ส่วนแฟน มันมีหน้าที่และข้อบังคับมากกว่าเฟรนด์แล้วค่ะ
คนแรก: “เพื่อนรัก อดีตดีกรีปั๊บปี้เลิฟ”
เราถูกส่งไปเรียนประจำที่ประเทศอินเดียตั้งแต่ 14 ค่ะ
โรงเรียนนี้ตั้งอยู่บนเขา มีเอเจนซี่ชาวไทยส่งเด็กไปที่โรงเรียนนี้เรื่อย ๆ
ปีแรกที่เราเข้าไป ช็อคพอตัวค่ะ เด็กนักเรียนใส่สูทผูกไมด์ออกันให้แน่นดอนเมือง
ให้พูดขำ ๆ คือ เหมาครึ่งลำเพื่อกลับไปต้อนรับเปิดเทอมนั่นแหละค่ะ
เรารู้จักเพื่อนคนนี้ เพราะความที่เด็กไทยมีน้อย เราเลยจะรู้ทั่วถึงกัน
ตอนนั้นปีที่เราอยู่ จำนวนเด็กไทยน่าจะเกือบ 200 คนได้มั้งคะ ถ้าจำไม่ผิด
ทุกวันอาทิตย์เราจะมีคลาสพุทธศาสนา สอนโดยครูไทยค่ะ สำหรับคนไทย
เราก็จะเจอเค้าบ่อย เพราะอยู่ middle school เหมือนกัน senior อยู่อีกแคมปัส
เราเริ่มมาสนใจคุยกันตอนซัมเมอร์ค่ะ เนื่องด้วยเค้าเป็นคนเหนือใช่มั้ยคะ
พอลงมากรุงเทพฯ ที ต้องมาเสียค่าโรงแรม แม่เราเลยเสนอให้พักที่บ้าน
ก็เลยเริ่มคุยกัน ออกแนวปั๊บปี้เลิฟมากกว่าค่ะ อยู่ภายใต้สายตาพ่อกับแม่
ไปทานข้าว ดูหนัง เล่นโบว์ลิ่ง ประมาณ 2 อาทิตย์เค้าก็ต้องกลับไปบ้าน
ตอนนั้นโทรศัพท์รุ่น 3310 เริ่มมาค่ะ และสมัยนั้นค่าโทรนาทีละ 3 บาท
เราสองคนก็คุยกันทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง เค้าจะใช้โทรศัพท์บ้านเค้าโทรหาเรา
พอกลับโรงเรียน ก็พอมีคุยกันบ้าง แล้วทีนี้คือ เค้าได้ double promoted มาอยู่คลาสเดียวกับเรา
หลังจากนั้น อาจเพราะด้วยวัยที่เริ่มโตขึ้น และสนิทกันมากขึ้น ก็น่าจะเดาได้ค่ะ
เราสองคนก็เหมือนไม่ชัดเจนกันแต่แรกว่ายังไงกัน มันเหมือนปั๊บปี้เลิฟเด็กจริง ๆ
สุดท้ายเราก็สนิทกันมากขึ้น จนต่างคนต่างรู้ว่า เรารู้จักกันดีมากเกินไป 55555555555
สุดท้ายเริ่มแบบงง ๆ ก็จบแบบงงกว่า แต่ทุกวันนี้ฮีคือหนึ่งในเพื่อนรักนะคะ
ปล. ยังไม่จบเท่านี้นะคะ มีอีกหลายคน (เหมือนชะนีใจง่ายอะ) 55555555555
แต่คือ เราจะเป็นคนที่ไม่ทนกับความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนและไม่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ยิ่งความสัมพันธ์ที่ทำให้เราดูไร้ค่า เราจะไม่ลังเลที่จะเดินออกมาเลย
นี่ก็เลยจะเป็นข้อแก้ตัว เอ้ย เราหมายถึงเหตุผลค่ะ ว่าทำไมเราจะมีประสบการณ์มาเม้าท์มอยเยอะ