Day 1 : 9 Feb 2019
ออกเดินทางด้วย XJ 638 จากดอนเมือง 02.15 - นาโกย่า 09.40 ใจจดใจจ่อว่าจะออกไปทันรถไฟด่วนเข้าเมืองรอบ 10.07 น.มั้ย สุดท้ายก็ไม่ทัน เพราะว่าจะผ่านตม. แลกบัตรโดยสาร สุดท้ายก็ต้องนั่งรถไฟรอบ 10.47 ไปถึงนาโกย่า 11.24 แพลนไว้ว่าจะนั่งรถบัสแทนรถไฟ JR เพราะว่าซื้อคูปองมาแล้ว + อยากประหยัด แต่คิดว่าคงไปไม่ทันรถบัสรอบ 11.30 เลยตัดสินใจซื้อรถไฟ JR Hida View ไปทาคายาม่า รอบ 11.43 คนขายตั๋วบอกว่าขบวน reserved seat เต็มแล้ว ให้นั่งแบบ non-reserved seat ไอ้เราก็รีบๆ ได้ขึ้นรถไฟก่อนก็ขึ้นไป ไม่รู้ว่าตู้ไหนเป็น non-reserved ก็นั่งๆลุกๆ เวลาเจ้าของที่มา จะถามคนญี่ปุ่นก็พูดอังกฤษกันไม่ได้ จนสุดท้ายนั่งไปนั่งมา ก็ไปได้ที่ว่างของ reserved seat ที่ไม่มีคน ก็เลยจ่ายเงินเพิ่ม ขาไปวิวแห้งๆหน่อยไม่มีหิมะเลย
พอไปถึงทาคายาม่า 14.18 ก็ต้องรีบไปต่อรถบัส Nohi 14.30 ที่จองไว้แล้ว เกือบจะไม่ทัน ถ้าตกรถรอบนี้ คงไปเข้าหมู่บ้านไม่ทันแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ทันพอดี ได้เข้าหมู่บ้านตอน15.30 ทันเวลา check-in พอดี
เดินลากกระเป๋าไปที่ Kidoya Guest House ที่จองไว้ 1 คืน เป็นบ้านที่น่ารักมากๆ สะอาดมากๆ ต้องเช็ดล้อกระเป๋าก่อน และห้ามลากกระเป๋า เพราะเดี๋ยวพื้นจะเป็นรอย ตอนเย็นคนเยอะเหมือนกัน หิมะดำๆแหว่งๆไปหมดเลย แต่แล้วหิมะก็เริ่มโปรยปราย พร้อมกับการกินซาลาเปา hida beef ร้อนๆ ฟินเวอร์ เสียดายไม่ได้แช่ออนเซ็น และไม่ได้ดู lights up แต่ได้นอนในหมู่บ้านแล้วตื่นเช้ามาเจอหิมะใหม่ฟูๆขาวๆก็ฟินแล้วแหละ
ค่าใช้จ่าย
ค่ารถไฟ Limited Express เข้าเมือง คนละ 870 เยน
รถไฟ JR คนละ 6030 เยน
ค่าที่พัก Kidoya Guest House 28200 เยน จองผ่าน
http://www.japaneseguesthouses.com/ryokan-single/?ryokan=Kidoya
ค่ารถบัส Nohi ไม่ได้เสีย เพราะซื้อ Shoryudo Bus Pass มาจากไทย แต่ต้องโทรจองรอบรถบัส Nohi
Day 2 : 10 Feb 2019
ตื่นนอน 6 โมงเช้า เพราะ heater ดังทุก 3 ชม. แต่ตื่นมาเห็นวิวหิมะขาวๆหน้าบ้านตอนเช้านี่มันฟินจริงๆ หิมะตกทั้งคืน หลังคาหมู่บ้านเลยเต็มไปด้วยหิมะใหม่ๆขาวๆ สวยมากๆ ได้แต่เดินถ่ายเล่นหน้าบ้าน เพราะยังไม่ได้เปลี่ยนชุด บรรยากาศเงียบสงบ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้าน ที่บ้านพักเรามีคนพักทั้งหมดแค่ 8 คนเท่านั้น อาหารเช้าเสริฟตอน 7.30 เป็นอาหารเช้าดูหน้าตาธรรมดาแต่อร่อยมาก กินมิโสะคลุกข้าวญี่ปุ่น+ไข่ต้ม ธรรมดาๆ แต่ว่าต้องขอเติมข้าว 2 ถ้วยเลย จากนั้นก็ check out จ่ายเงินค่าที่พัก แล้วออกไปขึ้น shuttle bus เพื่อไปขึ้นจุดชมวิวที่จะมองเห็นทั้งหมู่บ้าน ตอนเดินไปก็ลื่นไปหลายที แต่ไม่ถึงกับล้มเพราะรองเท้าเราไม่ใช่รองเท้าลุยหิมะ ต้องเดินบนหิมะ อย่าเดินบนรอยล้อรถที่อัดหิมะจนแน่นแล้วมันลื่นมากๆ
รถไปจุดชมวิวรอบแรกออก 9.00 ใช้เวลา 5 นาทีก็ถึงที่หมาย ข้างบนมองลงมาเห็นหมู่บ้านก็สวยดี หิมะขาวโพลนตลอดทางที่รถผ่าน แต่ว่าพื้นที่ยืนนั้นน้อยมาก กำลังคิดว่าถ้าคืนนี้มาดู lights up มันจะเป็นอย่างไร คนคงเบียดเสียดน่าดู แถมพยากรณ์อากาศบอกว่าหิมะตกทั้งคืน คงไม่ไหวแน่ๆ ดีแล้วแหละที่นอนที่หมู่บ้านแล้วตื่นเช้ามาดูวิวหิมะ แค่นี้ก็ประทับใจสุดๆแล้วสำหรับการเห็นหิมะครั้งแรกของเรา มีจุดให้ถ่ายรูป(ขายรูป) คนถ่ายพูดไทยว่า "ถ่ายรูปด้าย ไม่ซื้อไม่เป็นราย" 555 ทั้งภาษาไทย จีน พูดได้หมด งั้นก็จัดไปถ่ายรูปแต่ไม่ซื้อค่ะ
ขากลับก็นั่งรถ shuttle bus ลงมารอบ 9.30 ก็พบกับประชาชนจำนวนมากต่อคิวรอขึ้นรถที่จะขึ้นไปดูวิว ดีแล้วที่เรารีบไปแต่รอบแรก ไม่งั้นคนเยอะแยะวุ่นวาย เบียดกันถ่ายรูปแน่ๆ
ตอนแรกจองรถบัส Nohi ไว้ 12.35 เพราะคิดว่าจะกินข้าวเที่ยงที่นี่ก่อนไปทาคายาม่า แต่เปลี่ยนใจเลยยกเลิกตั๋วไปแล้วรอรถรอบ 10.45 แทน ซึ่งเป็นรถแบบ first come first serve พอ 10.20 ก็มายืนหัวคิวเลย กลัวไม่มีที่นั่งบนรถ คนกลับรอบนี้เยอะเหมือนกัน ขากลับวิวสวยหน่อย เห็นหิมะตามทางไปจนถึงทาคายาม่าก็เห็นรอยหิมะหน่อยๆ
ตอนถึงทาคายาม่าก็ไปจองรถบัสที่จะกลับนาโกย่า แต่ปรากฏว่าเต็ม เลยต้องนั่งรถไฟ JR กลับเหมือนเดิม แต่ทีนี้ซื้อแบบ non-reserved seat (แอบเสียดายที่ไม่ได้ใช้คูปองรถบัส Shoryudo bus pass เลย กะจะประหยัดค่าเดินทางสักหน่อย) แล้วก็ไปเดินตรอกที่ว่าดังๆ ของกินเยอะๆ ตอนเดินไปในเมืองก็ไม่เห็นมีคนเลยนะ แต่พอไปถึงซอยนั้นเท่านั้นแหละ คนเพียบ คือทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่ซอยนั้น แล้วก็ต่อคิวซื้อซูชิ hida beef เจ้าดังHida Kotte Ushi
ที่เราไม่ได้กิน เพราะคิวยาวมากกกกกก เลยลองกินอีกร้านนึง ร้าน Sakaguchiya แทน รอคิวไม่นานเท่าร้านแรก อยากรู้นักว่าจะอร่อยแค่ไหน ได้กินแล้วก็เออก็อร่อยดี เนื้อละลายในปาก แล้วก็เลาะกินดังโงะ ข้าวเหนียวปิ้ง ร้าน MITARASHI DANGO ซาลาเปา hida beef bun กินร้อนๆทุกอย่างอร่อยหมด เดินผ่านไปดูสะพานแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของทาคายาม่า
ขากลับได้แวะกินราเมนกับเชฟคนทาคายาม่าชิ 40 ปีมาแล้ว ชวนคุยเล่น แกเคยไปทำงานที่ไต้หวัน 2 ปี แล้วก็ไปแข่งราเมนโลกที่สิงคโปร์มาด้วย
กินเสร็จก็รีบไปสถานี JR Boarding time 14.15 พอดี ต้องรีบไปตู้สำหรับ non-reserved คิวยาวเลย แต่ก็ได้มีที่นั่งกันทุกคน หลับยาวๆไปจนถึงนาโกย่าเลย เดินลากกระเป๋าจากสถานีนาโกย่าไปที่พัก Kikunoya hostel เดินไกลเหมือนกัน ประมาณ 15 นาที ไปถึงเจอเจ้าของบ้านคอยต้อนรับแนะนำเรื่องการพักที่นี่ เป็น hostel ที่น่ารักดี สไตล์ญี่ปุ่น ได้นอนในบรรยากาศบ้านญี่ปุ่นอีก 2 คืน
มื้อเย็นวันนี้จัดเป็นซูชิดีๆสักมื้อ ที่ Sushi Kamon ใน JR Gate Tower ชั้น 12 คิวยาวรอตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้กิน มีจอ touch screen เป็นภาษาอังกฤษไว้ให้สั่งอาหารด้วย ไม่ต้องกังวลว่าจะสั่งอาหารไม่ถูก แล้วอาหารที่สั่งก็จะไหลมาตามสายพานวิ่งเข้าที่โต๊ะเราเลย ไม่อิ่มก็มีร้านขนม minimart ที่สถานีนาโกย่าให้เลือกซื้ออีกเพียบ
ค่าใช้จ่าย
ค่าราเมน 2450 เยน
ค่ารถไฟ JR คนละ 5510 เยน
ค่าที่พัก 2คืน 17200 เยน
ค่าซูชิ 5020 เยน
Day 3 : 11 Feb 2019
วันเที่ยวนาโกย่า ตื่น 6 โมงออกไปตลาดปลาตอนเช้า ตลาดปิด จากภาพที่คิดไว้ว่าจะได้กินปลาสดในตลาดกลายเป็นกินอาหารจาก7-11แทน เนื่องจาก 11 ก.พ. เป็นวันชาติญี่ปุ่น เลยนั่งรถเมล์ไปปราสาทนาโกย่า แต่กว่าจะหาสถานีรถเมล์เจอก็ปาไปครึ่งชม. เปลี่ยนสายรถเมล์อีกกว่าจะถึงปราสาทก็ 10 โมง เข้าไปชมปราสาท ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิก็น่าจะสวยกว่านี้ เพราะมีต้นดอกซากุระรอบปราสาทเพียบ เดินชมปราสาทแล้วก็หิวข้าว มื้อนี้เลือกกินข้าวหมูทอด Yabaton ร้านดังของนาโกย่า รอคิวครึ่งชม.กว่าจะได้กิน แต่ก็อร่อยสมใจอยาก ไม่ผิดหวังกินอิ่มพุงกาง มีแรงเดินต่อไป Osu Cannon เสียดายกินอิ่มมาแล้ว ไม่งั้นจะเดินเลาะกิน street food ไปเรื่อยๆ
ตอนเย็นจะไปดูไฟ Nabana No Sato กว่าจะหาสถานีรถ Meitetsu bus เจอก็ครึ่งชม. ทั้งถามเด็กวัยรุ่น ถามเจ้าหน้าที่สถานี ก็ชี้กันไปคนละทางหมด จนสุดท้ายถามคนขับรถบัส บอกว่าอยู่ชั้น3 แล้วชั้น3มันไปทางไหนอะ ถามคนอีกพอดีเจอคนญี่ปุ่นพาไปลิฟท์ เลยได้เจอสถานีรถบัสที่ชั้น 3 จริงๆ แต่....ตอนซื้อตั๋ว อ้าว เงินเยนไม่พอ ต้องแลกเงินเพิ่ม คนขายตั๋วบอกอยู่ชั้น B1 พอลงไปก็มืดแปดด้าน ถามคนโน้นคนนี้ก็ชี้ไปคนละทางอีก สุดท้ายได้เจ้าหน้าที่สถานีใต้ดินนำทางไปร้านแลกเงินถูก จนได้แลกเงินแล้วมาซื้อตั๋วรถบัสรอบ 18.30 (gate 22) ไปถึง Nabana No Sato 19.00 เข้าไปในงานชมไฟประดับในงาน จริงๆที่นี่เหมือนเป็นสวนอาหาร แล้วมีสวนประดับไฟตรงกลาง เพราะมีคนไปกินข้าวเย็นแล้วก็เดินดูไฟหลังกินข้าวเสร็จ ค่าเข้าดูก็มีคูปองอาหารให้คนละ 1000 เยน ก็เลยรวมกันไปกินอาหารญี่ปุ่นได้ 1 เซ็ท จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย กินอิ่มพอดีๆ เดินชมไฟต่อที่อุโมงค์ที่เป็นไฮไลท์ สวยจริงๆแหละ แปลกใจว่าคนไม่เยอะเท่าไหร่ทั้งๆที่เป็นวันชาติ นึกว่าคนจะมหาศาลเป็นวันหยุดของไทย แต่คนกลับไม่เยอะเลย จริงๆที่นี่หน้าฤดใบไม้ผลิก็น่ามาดูอีกเหมือนกันเพราะมีดอกไม้เป็นสวนเลยก็น่าจะสวยอีกเหมือนกัน จากนั้นก็ไปรอรถเมล์กลับนาโกย่ารอบ 20.25 วันนี้วันหยุดเลยมีรอบรถถี่กว่าปกติ ก็เป็นข้อดีของการเที่ยววันหยุดของญีปุ่น
ค่าใช้จ่าย
ตั๋วรถเมล์+subway Donichi Eco Kippu คนละ 600 เยน
ข้าวหมูทอด 4104 เยน
ค่ารถเมล์ คนละ 890 เยน
ค่าเข้าดูไฟ คนละ 2300 เยน
ค่าดูปราสาทนาโกย่า คนละ 400 เยน (มีส่วนลดจากคูปอง Shoryudo bus pass 100 เยน)
Day 4 : 12 Feb 2019
วันเดินทางกลับ ตื่นตั้งแต่ตี 5 เก็บของ แล้วก็ออกไปขึ้นรถไฟ Limited Express รอบ 6.30 ไปถึงสนามบิน 7.15 รอเช็คอิน 7.55 ไฟล์ท XJ 639 เครื่องออก 10.55 แต่ว่าเครื่องดีเลย์กว่าจะได้ออก รอ 20 นาที ถึงไทย 15.45 น.
ค่าใช้จ่าย
ค่ารถไฟ Limited Express คนละ 870 เยน
สรุปค่าใช้จ่าย 3 คืน ประมาณ 139000 เยน สำหรับ 3 คน
คิดว่าระยะเวลากำลังดีสำหรับอากาศหนาว และพ่อแม่ที่ต้องมาเดินลุยด้วย ถ้านานกว่านี้คิดว่าคงจะเดินเที่ยวต่อไม่ไหว
การมาเที่ยวครั้งนี้ ขนาดเตรียมตัวมาแล้ว ก็ยังขลุกขลักในการเดินทาง เนื่องจาก ภาษาญี่ปุ่น และป้ายบอกทางต่างๆที่คิดว่าดูยาก ถามทางคนญีุ่่ปุ่นก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่มี google map, google translate และ internet ก็ไม่รู้จะทำไงเลย แต่ถ้าเจอคนญี่ปุ่นที่ nice ยินดีช่วยก็โชคดีไป บางคนก็พูดภาษาอังกฤษกับเราเลย พยายามช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถ้าได้มาเที่ยวอีกก็คงจะชำนาญขึ้นกว่านี้แล้วแหละ อยากเที่ยวฤดูใบไม้ผลิดูดอกไม้ ดอกซากุระอีกซักรอบจัง....
จบ
ปล. ถึงแม้อากาศหนาว แต่ก็อาบน้ำนะ
เที่ยวนาโกย่า ทาคายาม่า ชิราคาวาโกะ ด้วยตัวเอง
ออกเดินทางด้วย XJ 638 จากดอนเมือง 02.15 - นาโกย่า 09.40 ใจจดใจจ่อว่าจะออกไปทันรถไฟด่วนเข้าเมืองรอบ 10.07 น.มั้ย สุดท้ายก็ไม่ทัน เพราะว่าจะผ่านตม. แลกบัตรโดยสาร สุดท้ายก็ต้องนั่งรถไฟรอบ 10.47 ไปถึงนาโกย่า 11.24 แพลนไว้ว่าจะนั่งรถบัสแทนรถไฟ JR เพราะว่าซื้อคูปองมาแล้ว + อยากประหยัด แต่คิดว่าคงไปไม่ทันรถบัสรอบ 11.30 เลยตัดสินใจซื้อรถไฟ JR Hida View ไปทาคายาม่า รอบ 11.43 คนขายตั๋วบอกว่าขบวน reserved seat เต็มแล้ว ให้นั่งแบบ non-reserved seat ไอ้เราก็รีบๆ ได้ขึ้นรถไฟก่อนก็ขึ้นไป ไม่รู้ว่าตู้ไหนเป็น non-reserved ก็นั่งๆลุกๆ เวลาเจ้าของที่มา จะถามคนญี่ปุ่นก็พูดอังกฤษกันไม่ได้ จนสุดท้ายนั่งไปนั่งมา ก็ไปได้ที่ว่างของ reserved seat ที่ไม่มีคน ก็เลยจ่ายเงินเพิ่ม ขาไปวิวแห้งๆหน่อยไม่มีหิมะเลย
พอไปถึงทาคายาม่า 14.18 ก็ต้องรีบไปต่อรถบัส Nohi 14.30 ที่จองไว้แล้ว เกือบจะไม่ทัน ถ้าตกรถรอบนี้ คงไปเข้าหมู่บ้านไม่ทันแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ทันพอดี ได้เข้าหมู่บ้านตอน15.30 ทันเวลา check-in พอดี
เดินลากกระเป๋าไปที่ Kidoya Guest House ที่จองไว้ 1 คืน เป็นบ้านที่น่ารักมากๆ สะอาดมากๆ ต้องเช็ดล้อกระเป๋าก่อน และห้ามลากกระเป๋า เพราะเดี๋ยวพื้นจะเป็นรอย ตอนเย็นคนเยอะเหมือนกัน หิมะดำๆแหว่งๆไปหมดเลย แต่แล้วหิมะก็เริ่มโปรยปราย พร้อมกับการกินซาลาเปา hida beef ร้อนๆ ฟินเวอร์ เสียดายไม่ได้แช่ออนเซ็น และไม่ได้ดู lights up แต่ได้นอนในหมู่บ้านแล้วตื่นเช้ามาเจอหิมะใหม่ฟูๆขาวๆก็ฟินแล้วแหละ
ค่าใช้จ่าย
ค่ารถไฟ Limited Express เข้าเมือง คนละ 870 เยน
รถไฟ JR คนละ 6030 เยน
ค่าที่พัก Kidoya Guest House 28200 เยน จองผ่าน http://www.japaneseguesthouses.com/ryokan-single/?ryokan=Kidoya
ค่ารถบัส Nohi ไม่ได้เสีย เพราะซื้อ Shoryudo Bus Pass มาจากไทย แต่ต้องโทรจองรอบรถบัส Nohi
Day 2 : 10 Feb 2019
ตื่นนอน 6 โมงเช้า เพราะ heater ดังทุก 3 ชม. แต่ตื่นมาเห็นวิวหิมะขาวๆหน้าบ้านตอนเช้านี่มันฟินจริงๆ หิมะตกทั้งคืน หลังคาหมู่บ้านเลยเต็มไปด้วยหิมะใหม่ๆขาวๆ สวยมากๆ ได้แต่เดินถ่ายเล่นหน้าบ้าน เพราะยังไม่ได้เปลี่ยนชุด บรรยากาศเงียบสงบ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้าน ที่บ้านพักเรามีคนพักทั้งหมดแค่ 8 คนเท่านั้น อาหารเช้าเสริฟตอน 7.30 เป็นอาหารเช้าดูหน้าตาธรรมดาแต่อร่อยมาก กินมิโสะคลุกข้าวญี่ปุ่น+ไข่ต้ม ธรรมดาๆ แต่ว่าต้องขอเติมข้าว 2 ถ้วยเลย จากนั้นก็ check out จ่ายเงินค่าที่พัก แล้วออกไปขึ้น shuttle bus เพื่อไปขึ้นจุดชมวิวที่จะมองเห็นทั้งหมู่บ้าน ตอนเดินไปก็ลื่นไปหลายที แต่ไม่ถึงกับล้มเพราะรองเท้าเราไม่ใช่รองเท้าลุยหิมะ ต้องเดินบนหิมะ อย่าเดินบนรอยล้อรถที่อัดหิมะจนแน่นแล้วมันลื่นมากๆ
รถไปจุดชมวิวรอบแรกออก 9.00 ใช้เวลา 5 นาทีก็ถึงที่หมาย ข้างบนมองลงมาเห็นหมู่บ้านก็สวยดี หิมะขาวโพลนตลอดทางที่รถผ่าน แต่ว่าพื้นที่ยืนนั้นน้อยมาก กำลังคิดว่าถ้าคืนนี้มาดู lights up มันจะเป็นอย่างไร คนคงเบียดเสียดน่าดู แถมพยากรณ์อากาศบอกว่าหิมะตกทั้งคืน คงไม่ไหวแน่ๆ ดีแล้วแหละที่นอนที่หมู่บ้านแล้วตื่นเช้ามาดูวิวหิมะ แค่นี้ก็ประทับใจสุดๆแล้วสำหรับการเห็นหิมะครั้งแรกของเรา มีจุดให้ถ่ายรูป(ขายรูป) คนถ่ายพูดไทยว่า "ถ่ายรูปด้าย ไม่ซื้อไม่เป็นราย" 555 ทั้งภาษาไทย จีน พูดได้หมด งั้นก็จัดไปถ่ายรูปแต่ไม่ซื้อค่ะ
ขากลับก็นั่งรถ shuttle bus ลงมารอบ 9.30 ก็พบกับประชาชนจำนวนมากต่อคิวรอขึ้นรถที่จะขึ้นไปดูวิว ดีแล้วที่เรารีบไปแต่รอบแรก ไม่งั้นคนเยอะแยะวุ่นวาย เบียดกันถ่ายรูปแน่ๆ
ตอนแรกจองรถบัส Nohi ไว้ 12.35 เพราะคิดว่าจะกินข้าวเที่ยงที่นี่ก่อนไปทาคายาม่า แต่เปลี่ยนใจเลยยกเลิกตั๋วไปแล้วรอรถรอบ 10.45 แทน ซึ่งเป็นรถแบบ first come first serve พอ 10.20 ก็มายืนหัวคิวเลย กลัวไม่มีที่นั่งบนรถ คนกลับรอบนี้เยอะเหมือนกัน ขากลับวิวสวยหน่อย เห็นหิมะตามทางไปจนถึงทาคายาม่าก็เห็นรอยหิมะหน่อยๆ
ตอนถึงทาคายาม่าก็ไปจองรถบัสที่จะกลับนาโกย่า แต่ปรากฏว่าเต็ม เลยต้องนั่งรถไฟ JR กลับเหมือนเดิม แต่ทีนี้ซื้อแบบ non-reserved seat (แอบเสียดายที่ไม่ได้ใช้คูปองรถบัส Shoryudo bus pass เลย กะจะประหยัดค่าเดินทางสักหน่อย) แล้วก็ไปเดินตรอกที่ว่าดังๆ ของกินเยอะๆ ตอนเดินไปในเมืองก็ไม่เห็นมีคนเลยนะ แต่พอไปถึงซอยนั้นเท่านั้นแหละ คนเพียบ คือทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่ซอยนั้น แล้วก็ต่อคิวซื้อซูชิ hida beef เจ้าดังHida Kotte Ushi
ที่เราไม่ได้กิน เพราะคิวยาวมากกกกกก เลยลองกินอีกร้านนึง ร้าน Sakaguchiya แทน รอคิวไม่นานเท่าร้านแรก อยากรู้นักว่าจะอร่อยแค่ไหน ได้กินแล้วก็เออก็อร่อยดี เนื้อละลายในปาก แล้วก็เลาะกินดังโงะ ข้าวเหนียวปิ้ง ร้าน MITARASHI DANGO ซาลาเปา hida beef bun กินร้อนๆทุกอย่างอร่อยหมด เดินผ่านไปดูสะพานแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของทาคายาม่า
ขากลับได้แวะกินราเมนกับเชฟคนทาคายาม่าชิ 40 ปีมาแล้ว ชวนคุยเล่น แกเคยไปทำงานที่ไต้หวัน 2 ปี แล้วก็ไปแข่งราเมนโลกที่สิงคโปร์มาด้วย
กินเสร็จก็รีบไปสถานี JR Boarding time 14.15 พอดี ต้องรีบไปตู้สำหรับ non-reserved คิวยาวเลย แต่ก็ได้มีที่นั่งกันทุกคน หลับยาวๆไปจนถึงนาโกย่าเลย เดินลากกระเป๋าจากสถานีนาโกย่าไปที่พัก Kikunoya hostel เดินไกลเหมือนกัน ประมาณ 15 นาที ไปถึงเจอเจ้าของบ้านคอยต้อนรับแนะนำเรื่องการพักที่นี่ เป็น hostel ที่น่ารักดี สไตล์ญี่ปุ่น ได้นอนในบรรยากาศบ้านญี่ปุ่นอีก 2 คืน
มื้อเย็นวันนี้จัดเป็นซูชิดีๆสักมื้อ ที่ Sushi Kamon ใน JR Gate Tower ชั้น 12 คิวยาวรอตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้กิน มีจอ touch screen เป็นภาษาอังกฤษไว้ให้สั่งอาหารด้วย ไม่ต้องกังวลว่าจะสั่งอาหารไม่ถูก แล้วอาหารที่สั่งก็จะไหลมาตามสายพานวิ่งเข้าที่โต๊ะเราเลย ไม่อิ่มก็มีร้านขนม minimart ที่สถานีนาโกย่าให้เลือกซื้ออีกเพียบ
ค่าใช้จ่าย
ค่าราเมน 2450 เยน
ค่ารถไฟ JR คนละ 5510 เยน
ค่าที่พัก 2คืน 17200 เยน
ค่าซูชิ 5020 เยน
Day 3 : 11 Feb 2019
วันเที่ยวนาโกย่า ตื่น 6 โมงออกไปตลาดปลาตอนเช้า ตลาดปิด จากภาพที่คิดไว้ว่าจะได้กินปลาสดในตลาดกลายเป็นกินอาหารจาก7-11แทน เนื่องจาก 11 ก.พ. เป็นวันชาติญี่ปุ่น เลยนั่งรถเมล์ไปปราสาทนาโกย่า แต่กว่าจะหาสถานีรถเมล์เจอก็ปาไปครึ่งชม. เปลี่ยนสายรถเมล์อีกกว่าจะถึงปราสาทก็ 10 โมง เข้าไปชมปราสาท ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิก็น่าจะสวยกว่านี้ เพราะมีต้นดอกซากุระรอบปราสาทเพียบ เดินชมปราสาทแล้วก็หิวข้าว มื้อนี้เลือกกินข้าวหมูทอด Yabaton ร้านดังของนาโกย่า รอคิวครึ่งชม.กว่าจะได้กิน แต่ก็อร่อยสมใจอยาก ไม่ผิดหวังกินอิ่มพุงกาง มีแรงเดินต่อไป Osu Cannon เสียดายกินอิ่มมาแล้ว ไม่งั้นจะเดินเลาะกิน street food ไปเรื่อยๆ
ตอนเย็นจะไปดูไฟ Nabana No Sato กว่าจะหาสถานีรถ Meitetsu bus เจอก็ครึ่งชม. ทั้งถามเด็กวัยรุ่น ถามเจ้าหน้าที่สถานี ก็ชี้กันไปคนละทางหมด จนสุดท้ายถามคนขับรถบัส บอกว่าอยู่ชั้น3 แล้วชั้น3มันไปทางไหนอะ ถามคนอีกพอดีเจอคนญี่ปุ่นพาไปลิฟท์ เลยได้เจอสถานีรถบัสที่ชั้น 3 จริงๆ แต่....ตอนซื้อตั๋ว อ้าว เงินเยนไม่พอ ต้องแลกเงินเพิ่ม คนขายตั๋วบอกอยู่ชั้น B1 พอลงไปก็มืดแปดด้าน ถามคนโน้นคนนี้ก็ชี้ไปคนละทางอีก สุดท้ายได้เจ้าหน้าที่สถานีใต้ดินนำทางไปร้านแลกเงินถูก จนได้แลกเงินแล้วมาซื้อตั๋วรถบัสรอบ 18.30 (gate 22) ไปถึง Nabana No Sato 19.00 เข้าไปในงานชมไฟประดับในงาน จริงๆที่นี่เหมือนเป็นสวนอาหาร แล้วมีสวนประดับไฟตรงกลาง เพราะมีคนไปกินข้าวเย็นแล้วก็เดินดูไฟหลังกินข้าวเสร็จ ค่าเข้าดูก็มีคูปองอาหารให้คนละ 1000 เยน ก็เลยรวมกันไปกินอาหารญี่ปุ่นได้ 1 เซ็ท จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย กินอิ่มพอดีๆ เดินชมไฟต่อที่อุโมงค์ที่เป็นไฮไลท์ สวยจริงๆแหละ แปลกใจว่าคนไม่เยอะเท่าไหร่ทั้งๆที่เป็นวันชาติ นึกว่าคนจะมหาศาลเป็นวันหยุดของไทย แต่คนกลับไม่เยอะเลย จริงๆที่นี่หน้าฤดใบไม้ผลิก็น่ามาดูอีกเหมือนกันเพราะมีดอกไม้เป็นสวนเลยก็น่าจะสวยอีกเหมือนกัน จากนั้นก็ไปรอรถเมล์กลับนาโกย่ารอบ 20.25 วันนี้วันหยุดเลยมีรอบรถถี่กว่าปกติ ก็เป็นข้อดีของการเที่ยววันหยุดของญีปุ่น
ค่าใช้จ่าย
ตั๋วรถเมล์+subway Donichi Eco Kippu คนละ 600 เยน
ข้าวหมูทอด 4104 เยน
ค่ารถเมล์ คนละ 890 เยน
ค่าเข้าดูไฟ คนละ 2300 เยน
ค่าดูปราสาทนาโกย่า คนละ 400 เยน (มีส่วนลดจากคูปอง Shoryudo bus pass 100 เยน)
Day 4 : 12 Feb 2019
วันเดินทางกลับ ตื่นตั้งแต่ตี 5 เก็บของ แล้วก็ออกไปขึ้นรถไฟ Limited Express รอบ 6.30 ไปถึงสนามบิน 7.15 รอเช็คอิน 7.55 ไฟล์ท XJ 639 เครื่องออก 10.55 แต่ว่าเครื่องดีเลย์กว่าจะได้ออก รอ 20 นาที ถึงไทย 15.45 น.
ค่าใช้จ่าย
ค่ารถไฟ Limited Express คนละ 870 เยน
สรุปค่าใช้จ่าย 3 คืน ประมาณ 139000 เยน สำหรับ 3 คน
คิดว่าระยะเวลากำลังดีสำหรับอากาศหนาว และพ่อแม่ที่ต้องมาเดินลุยด้วย ถ้านานกว่านี้คิดว่าคงจะเดินเที่ยวต่อไม่ไหว
การมาเที่ยวครั้งนี้ ขนาดเตรียมตัวมาแล้ว ก็ยังขลุกขลักในการเดินทาง เนื่องจาก ภาษาญี่ปุ่น และป้ายบอกทางต่างๆที่คิดว่าดูยาก ถามทางคนญีุ่่ปุ่นก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่มี google map, google translate และ internet ก็ไม่รู้จะทำไงเลย แต่ถ้าเจอคนญี่ปุ่นที่ nice ยินดีช่วยก็โชคดีไป บางคนก็พูดภาษาอังกฤษกับเราเลย พยายามช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถ้าได้มาเที่ยวอีกก็คงจะชำนาญขึ้นกว่านี้แล้วแหละ อยากเที่ยวฤดูใบไม้ผลิดูดอกไม้ ดอกซากุระอีกซักรอบจัง....
จบ
ปล. ถึงแม้อากาศหนาว แต่ก็อาบน้ำนะ