@@@ สองฝั่งโขง ตอน 2 - หนทางในการพัฒนาเพื่อความเจริญก้าวหน้าของลาว @@@

........

                   ความเดิมจากตอนที่แล้ว ...

                   https://ppantip.com/topic/38546155

.........

      ลาวและไทยผูกพันกันมาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งสายเลือด ประเพณี วัฒนธรรม ภาษา  และ ชีวิตความเป็นอยู่ที่คล้ายคลึงกัน   แต่ภายหลังด้วยลัทธิการปกครอง  ทำให้บ้านทั้งสองหลังถูกกีดกันออกจนห่างไกล  

      แต่เมื่อโลกเปิดกว้างขึ้น  สื่อต่าง ๆ และโลกโซเชียลได้ไหลเวียนแลกเปลี่ยน  อีกทั้งคนลาวได้หลั่งไหลเข้ามาเรียนและทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก   ทำให้วัฒนธรรมใหม่  ภาษา  สินค้า และสื่อต่าง ๆ จากไทยไหลวนกลับเข้าไปในลาวอีกครั้ง  

      การพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิทธิและเสรีภาพของคนในประเทศ ถูกยกขึ้นมาพูดกันอย่างกว้างขวาง ได้มีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะบ้านใกล้เรือนเคียงที่ทั้งรักและเกลียดกันมานานอย่างไทย

      พร้อมกับกระแสอันเชี่ยวกรากของทุนนิยมและข้อมูลข่าวสาร  ประเทศลาวซึ่งเคยปิดกั้นไว้  และแนบแน่นอยู่แต่กับเวียดนาม  จะปรับตัวอย่างไร   ..

                                                         ................................      

      ...  ขอแจ้งท่านผู้อ่านเล็กน้อยครับ   ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ผู้เขียนได้เปลี่ยนชื่อของตัวละคร  จากภิญญดา  เป็น  จันทิรา  

           โดยเริ่มเปลี่ยนในตอนที่ 2 นี้    และต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ ..

                                                       .....................................  

ตอน 2 .. ต่อ ..


               ภายหลังจากประโยคคำถามนั้นของจันทิราที่ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่  วงสนทนาเลี่ยงที่จะกล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองนั้นอีก  เปลี่ยนเป็นคุยเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ  

            รังสีดื่มมากกว่าคนอื่น  เหมือนใช้เบียร์เหล่านั้นเป็นสิ่งชะล้างความขุ่นมัวในใจ  เมื่อเวลาผ่านไปความคุ้นเคยและบรรยากาศภายในโต๊ะก็ดีขึ้น เสียงหัวเราะครึกครื้นมีอยู่ตลอดเวลา จากการกระเซ้าเย้าแหย่กันของหนุ่มชาวลาวทั้งสอง และหลายครั้งที่จันทิราถึงกับหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างสุดกลั้น  

              “ .. สมัยวัยรุ่นพวกผมตะลุยเที่ยวถึงไหนถึงกัน ไปถึงต่างเมืองต่างแขวงก็บ่อย  เรามีรถจักรเก่าอยู่คันหนึ่ง ก็ซ้อนสามเดินทางไปทั่ว  บางทีก็เที่ยวข้ามวันข้ามคืน  ค่ำไหนก็นอนนั่น  ..”  

          รัฐกรหนุ่มถือแก้วเบียร์  เอนหลังกับพนักพิงเล่าน้ำลายฟุ้ง

           “อะไรนะคะรถจักร  ..   จักรยานน่ะหรือ  โอ้โห  ปั่นกันข้ามแขวงเลยหรือคะ ..”

           รังสีหัวเราะ  โบกไม้โบกมือ  

           “รถมอเตอร์ไซค์ครับ   คนลาวเรียกรถจักร   ถ้าจักรยานพวกเราเรียกรถถีบ .. “

            “อ๋อ !!   “   หญิงสาวยิ้มเขินเล็กน้อย  แต่ยังถามต่อด้วยความสนใจ

            “น่าสนุกดีนะคะ   แต่เที่ยวกันแบบนั้นไม่อันตรายหรือ  ... “

            “บ่ .. ครับ   บ่เป็นหยัง ... “   รังสีส่ายหน้า  

            “ลาวเราเงียบสงบ  ชาวบ้านรักกันเหมือนญาติพี่น้อง  ไปไหนไม่ค่อยมีเรื่อง  ..”

             แสนภูซึ่งนิ่งฟังอยู่   หัวเราะขึ้น พร้อมกับพูดแทรกเข้าในการสนทนา

             “พูดถึงมีเรื่อง รู้สึกมีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเรากำลังจบมัธยมหมาด ๆ  เลยวางแผนกันว่าจะเที่ยวหมู่บ้านชาวภูไทกัน  ถิ่นนั้นเรียกได้ว่าสาวงาม  แต่มีปัญหาตรงคนหนุ่มบ้านนั้นหวงผู้สาวอยู่บ้าง .. “

             รังสีก็หัวเราะเสียงดังผสมเข้ามา  ยื่นหน้าเข้ามาด้วยอาการกระตือรือร้น

             “มา .. มา  .. ฉันขอเล่าเอง  .. เรื่องนี้สนุกตื่นเต้นมาก  คุณจันทร์คงไม่รังเกียจนะครับที่มาสอดแทรกเจ้าภูมัน ..”

             “ไม่เป็นไรค่ะ  ใครเล่าก็ได้เหมือนกัน ..”   หญิงสาวพยักหน้า  เบิ่งตากลมโต  ออกท่าทางตื่นเต้นไปด้วย

              “ตอนนั้นห้าวกันน่ะครับ กำลัง แตกหนุ่มเปรี๊ยะ ๆ   เจ้าแสงตะวันกับแสนภูหมายมั่นปั้นมือกันมากว่าจะมีแฟนเป็นสาวภูไท .. “

               แสนภูอุทานออกมาคำหนึ่ง   กระพริบตาปริบ ๆ เมื่อถูกเผาอย่างกะทันหัน   รีบตอบโต้กลับ

               “.. อย่ามาโยนคนอื่น  แกนั่นแหละตัวตั้งตัวตี .. “

               รังสีหัวเราะ  ถูไม้ถูมือออกอาการครึกครื้นอย่างเต็มที่

               “ก็ด้วยกันนั่นแหละว้า ...  ทำเป็นเขินต่อหน้าคุณจันทร์   งั้นฉันรับเอาเองก็ได้  .... “  

                รังสีหันมายิ้มพูดกับจันทิรา

               “... เป็นผมกับแสงตะวันเองครับ อยากมีแฟนเป็นสาวภูไท  แสนภูไม่เกี่ยว ตัวมันแค่อยากไปเที่ยวธรรมชาติ ชมดอกไม้ สายลม  ดูบ้านเรือนวิถีชีวิตของชาวภูไทเท่านั้นเองครับ  เรื่องสาวงามเจ้าแสนภูมันไม่สนใจจริง ๆ  .. “

                 แสนภูรู้สึกว่าตัวร้อนขึ้นเรื่อย ๆ   ยื่นขาออกไปเตะหน้าแข้งของรังสีดังโป้ก  พลางชี้หน้าสำทับ

               “  อยากจะเล่าเรื่องก็เล่าไป  อย่าลากเรื่องมาเผาฉันอีก  ..”

                รังสีก้มลงลูบหน้าแข้งป้อย ๆ  แล้วเงยขึ้นมาหัวเราะแหะเล่าต่อ

                “.. ปกติเราไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองเป็นประจำอยู่แล้ว  แต่ครั้งนั้นมีวัตถุประสงค์แอบแฝง  ก็รู้สึกระแวงอยู่บ้าง  เลยหาวิธีจะป้องกันตัวไว้  พอดีผมจำได้ว่าพ่อมีปืนลูกซองสั้นอยู่หนึ่งกระบอก เป็นของตกทอดมาจากปู่  พ่อตู้แกซื้อมาจากเพื่อนคนไทยที่ข้ามมาทำงานในลาวสมัยก่อนปลดปล่อย .. “

               “ เป็นยังไงคะ  ปืนลูกซองสั้น ..”  หญิงสาวเอียงคอถามอย่างสงสัย

               “ คล้ายปืนสั้นทั่วไปนี่แหละครับ  แต่บรรจุกระสุนปืนลูกซอง  ยิงได้ทีละนัด  ยิงเสร็จก็ต้องเอากระสุนออกแล้วบรรจุใหม่  ส่วนมากเป็นปืนเถื่อนทำเอง  ชาวบ้านคนไทยคนลาวใช้เป็นปืนพกไว้ติดบ้านหรือป้องกันตัวในสมัยก่อน ..”

                หญิงสาวพยักหน้าทำท่าเหมือนเข้าใจ  รังสีเล่าต่อด้วยอารมณ์สนุก

                “พอปู่เสีย  พ่อก็เอาเก็บไว้บนขื่อใต้หลังคา  วันนั้นผมก็ปีนขึ้นไปเอาลงมา  ขโมยกระสุนแบบลูกปรายยิงนกไปสองนัด  พกใส่เป้สะพายไว้เพื่ออุ่นใจ .. “

                “. แล้วได้ใช้ป้องกันตัวไหมคะ   ..”  

               “..ได้ใช้สิครับ  สมบัติตกทอดของพ่อตู้แกทำให้พวกผมรอดจากถูกเหยียบมาได้  วันนั้นพวกเราข้ามเมืองไปถึงย่านหมู่บ้านคนภูไท ในบ้านนั้นมีเพื่อนสาวเรียนหนังสือในเมืองด้วยกันอยู่คนหนึ่ง  เธอชวนเพื่อนในหมู่บ้านมาหลายคน  ทำกับข้าวกับปลาหาเหล้ามาเลี้ยง  พวกเราก็เที่ยวกินอยู่กันถึงเย็นถึงได้ลากลับ   คิดว่าจะไปนอนบ้านเพื่อนนักเรียนผู้ชายที่ห่างไปอีกหลายหมู่บ้าน  พอขับรถออกมาถึงปากทาง  ก็มีหนุ่มเจ้าถิ่นดักอยู่สิบกว่าคน  บอกว่าให้ลงรถไปคุยกันหน่อย  ..”

               “ ต๊าย !! .. มีเรื่องกันจริง ๆ ด้วย .. แล้วทำไงคะ  หรือว่าลงไปคุยกับเขาจริง ๆ  ..”

               “.. ลงครับ  แต่ไม่คุย   ตอนนั้นพวกมันคนมากกว่าตั้งเยอะ  แถมพวกผมก็ดื่มกันจนเมา  ขืนเข้าไปเจรจาอาจนอนจมฝุ่นค้างคืนกันอยู่ตรงนั้น    เลยตกลงให้แสนภูกับแสงตะวันลงจากรถ  เจ้าแสงเป็นคนถือปืนเพราะใจมันเด็ดกว่าเพื่อน ๆจากนั้นก็ผมก็ขี่รถออกช้า ๆ   ให้สองคนเดินประกบคู่ระวังหลัง  แสงตะวันถือปืนให้พวกนั้นเห็นชัดว่าเข้ามาเป็นโดนยิง  ...”

                “.. เกิดอะไรขึ้นไหมคะ ..”

                หญิงสาวเอามือจับขอบโต๊ะ  ยื่นหน้าเข้ามาเล็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  ทำเอารังสีถึงกับยืดอก ดื่มเบียร์ในมือจนหมด  วางแก้วลงแล้วเอามือตบโต๊ะหลายทีเบา ๆ

              “.. ฮะฮ่า !!  ใครมันจะกล้าเสี่ยงกับลูกปืนล่ะครับ    พอพวกมันเห็นปืนก็แตกกระเจิง  แยกออกไปทางสองข้าง  ไม่มีใครกล้าขวางหรือทำอะไร  พอพ้นระยะออกมาได้    เจ้าภูกับเจ้าแสงค่อยขึ้นซ้อนรถเผ่นออกมา ..”

              “  แหม .. เป็นดิฉันจะยิงขึ้นฟ้าสักหนึ่งนัด   เอาจนพวกนั้นวิ่งป่าราบไปเลย   ..“

               จันทิราแหย่ไปเล่น ๆ  ผสมโรงอย่างนึกสนุก   แต่คาดไม่นึกว่ารังสีพยักหน้าอย่างจริงจัง  

              “.. ยิงสิครับ .. ผมก็คิดเหมือนคุณจันทร์  ตอนนั้นเปลี่ยนให้แสงตะวันเป็นคนขับ  แสนภูนั่งกลาง  ส่วนผมเปลี่ยนเป็นซ้อนท้ายถือปืน  กะว่าจะส่องขึ้นฟ้าสักนัดแล้วก็เผ่น  ยังไงคงไม่มีใครตาม ถึงตามก็ไม่ทันเพราะในบ้านนั้นเห็นมีแต่รถถีบเก่า ๆ อยู่ไม่กี่คัน  ..”

               “.. เยี่ยมไปเลยค่ะ  ..”     หญิงสาวปรบมือ  

              “ .... แล้วผลเป็นไงคะ  แตกกระเจิงไหม … “


...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่