........
ความเดิมจากตอนที่แล้ว ...
https://ppantip.com/topic/38546155
.........
ลาวและไทยผูกพันกันมาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งสายเลือด ประเพณี วัฒนธรรม ภาษา และ ชีวิตความเป็นอยู่ที่คล้ายคลึงกัน แต่ภายหลังด้วยลัทธิการปกครอง ทำให้บ้านทั้งสองหลังถูกกีดกันออกจนห่างไกล
แต่เมื่อโลกเปิดกว้างขึ้น สื่อต่าง ๆ และโลกโซเชียลได้ไหลเวียนแลกเปลี่ยน อีกทั้งคนลาวได้หลั่งไหลเข้ามาเรียนและทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้วัฒนธรรมใหม่ ภาษา สินค้า และสื่อต่าง ๆ จากไทยไหลวนกลับเข้าไปในลาวอีกครั้ง
การพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิทธิและเสรีภาพของคนในประเทศ ถูกยกขึ้นมาพูดกันอย่างกว้างขวาง ได้มีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะบ้านใกล้เรือนเคียงที่ทั้งรักและเกลียดกันมานานอย่างไทย
พร้อมกับกระแสอันเชี่ยวกรากของทุนนิยมและข้อมูลข่าวสาร ประเทศลาวซึ่งเคยปิดกั้นไว้ และแนบแน่นอยู่แต่กับเวียดนาม จะปรับตัวอย่างไร ..
................................
... ขอแจ้งท่านผู้อ่านเล็กน้อยครับ ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ผู้เขียนได้เปลี่ยนชื่อของตัวละคร จากภิญญดา เป็น จันทิรา
โดยเริ่มเปลี่ยนในตอนที่ 2 นี้ และต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ ..
.....................................
ตอน 2 .. ต่อ ..
ภายหลังจากประโยคคำถามนั้นของจันทิราที่ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ วงสนทนาเลี่ยงที่จะกล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองนั้นอีก เปลี่ยนเป็นคุยเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ
รังสีดื่มมากกว่าคนอื่น เหมือนใช้เบียร์เหล่านั้นเป็นสิ่งชะล้างความขุ่นมัวในใจ เมื่อเวลาผ่านไปความคุ้นเคยและบรรยากาศภายในโต๊ะก็ดีขึ้น เสียงหัวเราะครึกครื้นมีอยู่ตลอดเวลา จากการกระเซ้าเย้าแหย่กันของหนุ่มชาวลาวทั้งสอง และหลายครั้งที่จันทิราถึงกับหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างสุดกลั้น
“ .. สมัยวัยรุ่นพวกผมตะลุยเที่ยวถึงไหนถึงกัน ไปถึงต่างเมืองต่างแขวงก็บ่อย เรามีรถจักรเก่าอยู่คันหนึ่ง ก็ซ้อนสามเดินทางไปทั่ว บางทีก็เที่ยวข้ามวันข้ามคืน ค่ำไหนก็นอนนั่น ..”
รัฐกรหนุ่มถือแก้วเบียร์ เอนหลังกับพนักพิงเล่าน้ำลายฟุ้ง
“อะไรนะคะรถจักร .. จักรยานน่ะหรือ โอ้โห ปั่นกันข้ามแขวงเลยหรือคะ ..”
รังสีหัวเราะ โบกไม้โบกมือ
“รถมอเตอร์ไซค์ครับ คนลาวเรียกรถจักร ถ้าจักรยานพวกเราเรียกรถถีบ .. “
“อ๋อ !! “ หญิงสาวยิ้มเขินเล็กน้อย แต่ยังถามต่อด้วยความสนใจ
“น่าสนุกดีนะคะ แต่เที่ยวกันแบบนั้นไม่อันตรายหรือ ... “
“บ่ .. ครับ บ่เป็นหยัง ... “ รังสีส่ายหน้า
“ลาวเราเงียบสงบ ชาวบ้านรักกันเหมือนญาติพี่น้อง ไปไหนไม่ค่อยมีเรื่อง ..”
แสนภูซึ่งนิ่งฟังอยู่ หัวเราะขึ้น พร้อมกับพูดแทรกเข้าในการสนทนา
“พูดถึงมีเรื่อง รู้สึกมีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเรากำลังจบมัธยมหมาด ๆ เลยวางแผนกันว่าจะเที่ยวหมู่บ้านชาวภูไทกัน ถิ่นนั้นเรียกได้ว่าสาวงาม แต่มีปัญหาตรงคนหนุ่มบ้านนั้นหวงผู้สาวอยู่บ้าง .. “
รังสีก็หัวเราะเสียงดังผสมเข้ามา ยื่นหน้าเข้ามาด้วยอาการกระตือรือร้น
“มา .. มา .. ฉันขอเล่าเอง .. เรื่องนี้สนุกตื่นเต้นมาก คุณจันทร์คงไม่รังเกียจนะครับที่มาสอดแทรกเจ้าภูมัน ..”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใครเล่าก็ได้เหมือนกัน ..” หญิงสาวพยักหน้า เบิ่งตากลมโต ออกท่าทางตื่นเต้นไปด้วย
“ตอนนั้นห้าวกันน่ะครับ กำลัง แตกหนุ่มเปรี๊ยะ ๆ เจ้าแสงตะวันกับแสนภูหมายมั่นปั้นมือกันมากว่าจะมีแฟนเป็นสาวภูไท .. “
แสนภูอุทานออกมาคำหนึ่ง กระพริบตาปริบ ๆ เมื่อถูกเผาอย่างกะทันหัน รีบตอบโต้กลับ
“.. อย่ามาโยนคนอื่น แกนั่นแหละตัวตั้งตัวตี .. “
รังสีหัวเราะ ถูไม้ถูมือออกอาการครึกครื้นอย่างเต็มที่
“ก็ด้วยกันนั่นแหละว้า ... ทำเป็นเขินต่อหน้าคุณจันทร์ งั้นฉันรับเอาเองก็ได้ .... “
รังสีหันมายิ้มพูดกับจันทิรา
“... เป็นผมกับแสงตะวันเองครับ อยากมีแฟนเป็นสาวภูไท แสนภูไม่เกี่ยว ตัวมันแค่อยากไปเที่ยวธรรมชาติ ชมดอกไม้ สายลม ดูบ้านเรือนวิถีชีวิตของชาวภูไทเท่านั้นเองครับ เรื่องสาวงามเจ้าแสนภูมันไม่สนใจจริง ๆ .. “
แสนภูรู้สึกว่าตัวร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ยื่นขาออกไปเตะหน้าแข้งของรังสีดังโป้ก พลางชี้หน้าสำทับ
“ อยากจะเล่าเรื่องก็เล่าไป อย่าลากเรื่องมาเผาฉันอีก ..”
รังสีก้มลงลูบหน้าแข้งป้อย ๆ แล้วเงยขึ้นมาหัวเราะแหะเล่าต่อ
“.. ปกติเราไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ครั้งนั้นมีวัตถุประสงค์แอบแฝง ก็รู้สึกระแวงอยู่บ้าง เลยหาวิธีจะป้องกันตัวไว้ พอดีผมจำได้ว่าพ่อมีปืนลูกซองสั้นอยู่หนึ่งกระบอก เป็นของตกทอดมาจากปู่ พ่อตู้แกซื้อมาจากเพื่อนคนไทยที่ข้ามมาทำงานในลาวสมัยก่อนปลดปล่อย .. “
“ เป็นยังไงคะ ปืนลูกซองสั้น ..” หญิงสาวเอียงคอถามอย่างสงสัย
“ คล้ายปืนสั้นทั่วไปนี่แหละครับ แต่บรรจุกระสุนปืนลูกซอง ยิงได้ทีละนัด ยิงเสร็จก็ต้องเอากระสุนออกแล้วบรรจุใหม่ ส่วนมากเป็นปืนเถื่อนทำเอง ชาวบ้านคนไทยคนลาวใช้เป็นปืนพกไว้ติดบ้านหรือป้องกันตัวในสมัยก่อน ..”
หญิงสาวพยักหน้าทำท่าเหมือนเข้าใจ รังสีเล่าต่อด้วยอารมณ์สนุก
“พอปู่เสีย พ่อก็เอาเก็บไว้บนขื่อใต้หลังคา วันนั้นผมก็ปีนขึ้นไปเอาลงมา ขโมยกระสุนแบบลูกปรายยิงนกไปสองนัด พกใส่เป้สะพายไว้เพื่ออุ่นใจ .. “
“. แล้วได้ใช้ป้องกันตัวไหมคะ ..”
“..ได้ใช้สิครับ สมบัติตกทอดของพ่อตู้แกทำให้พวกผมรอดจากถูกเหยียบมาได้ วันนั้นพวกเราข้ามเมืองไปถึงย่านหมู่บ้านคนภูไท ในบ้านนั้นมีเพื่อนสาวเรียนหนังสือในเมืองด้วยกันอยู่คนหนึ่ง เธอชวนเพื่อนในหมู่บ้านมาหลายคน ทำกับข้าวกับปลาหาเหล้ามาเลี้ยง พวกเราก็เที่ยวกินอยู่กันถึงเย็นถึงได้ลากลับ คิดว่าจะไปนอนบ้านเพื่อนนักเรียนผู้ชายที่ห่างไปอีกหลายหมู่บ้าน พอขับรถออกมาถึงปากทาง ก็มีหนุ่มเจ้าถิ่นดักอยู่สิบกว่าคน บอกว่าให้ลงรถไปคุยกันหน่อย ..”
“ ต๊าย !! .. มีเรื่องกันจริง ๆ ด้วย .. แล้วทำไงคะ หรือว่าลงไปคุยกับเขาจริง ๆ ..”
“.. ลงครับ แต่ไม่คุย ตอนนั้นพวกมันคนมากกว่าตั้งเยอะ แถมพวกผมก็ดื่มกันจนเมา ขืนเข้าไปเจรจาอาจนอนจมฝุ่นค้างคืนกันอยู่ตรงนั้น เลยตกลงให้แสนภูกับแสงตะวันลงจากรถ เจ้าแสงเป็นคนถือปืนเพราะใจมันเด็ดกว่าเพื่อน ๆจากนั้นก็ผมก็ขี่รถออกช้า ๆ ให้สองคนเดินประกบคู่ระวังหลัง แสงตะวันถือปืนให้พวกนั้นเห็นชัดว่าเข้ามาเป็นโดนยิง ...”
“.. เกิดอะไรขึ้นไหมคะ ..”
หญิงสาวเอามือจับขอบโต๊ะ ยื่นหน้าเข้ามาเล็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำเอารังสีถึงกับยืดอก ดื่มเบียร์ในมือจนหมด วางแก้วลงแล้วเอามือตบโต๊ะหลายทีเบา ๆ
“.. ฮะฮ่า !! ใครมันจะกล้าเสี่ยงกับลูกปืนล่ะครับ พอพวกมันเห็นปืนก็แตกกระเจิง แยกออกไปทางสองข้าง ไม่มีใครกล้าขวางหรือทำอะไร พอพ้นระยะออกมาได้ เจ้าภูกับเจ้าแสงค่อยขึ้นซ้อนรถเผ่นออกมา ..”
“ แหม .. เป็นดิฉันจะยิงขึ้นฟ้าสักหนึ่งนัด เอาจนพวกนั้นวิ่งป่าราบไปเลย ..“
จันทิราแหย่ไปเล่น ๆ ผสมโรงอย่างนึกสนุก แต่คาดไม่นึกว่ารังสีพยักหน้าอย่างจริงจัง
“.. ยิงสิครับ .. ผมก็คิดเหมือนคุณจันทร์ ตอนนั้นเปลี่ยนให้แสงตะวันเป็นคนขับ แสนภูนั่งกลาง ส่วนผมเปลี่ยนเป็นซ้อนท้ายถือปืน กะว่าจะส่องขึ้นฟ้าสักนัดแล้วก็เผ่น ยังไงคงไม่มีใครตาม ถึงตามก็ไม่ทันเพราะในบ้านนั้นเห็นมีแต่รถถีบเก่า ๆ อยู่ไม่กี่คัน ..”
“.. เยี่ยมไปเลยค่ะ ..” หญิงสาวปรบมือ
“ .... แล้วผลเป็นไงคะ แตกกระเจิงไหม … “
...
@@@ สองฝั่งโขง ตอน 2 - หนทางในการพัฒนาเพื่อความเจริญก้าวหน้าของลาว @@@
ความเดิมจากตอนที่แล้ว ...
https://ppantip.com/topic/38546155
.........
ลาวและไทยผูกพันกันมาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งสายเลือด ประเพณี วัฒนธรรม ภาษา และ ชีวิตความเป็นอยู่ที่คล้ายคลึงกัน แต่ภายหลังด้วยลัทธิการปกครอง ทำให้บ้านทั้งสองหลังถูกกีดกันออกจนห่างไกล
แต่เมื่อโลกเปิดกว้างขึ้น สื่อต่าง ๆ และโลกโซเชียลได้ไหลเวียนแลกเปลี่ยน อีกทั้งคนลาวได้หลั่งไหลเข้ามาเรียนและทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้วัฒนธรรมใหม่ ภาษา สินค้า และสื่อต่าง ๆ จากไทยไหลวนกลับเข้าไปในลาวอีกครั้ง
การพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิทธิและเสรีภาพของคนในประเทศ ถูกยกขึ้นมาพูดกันอย่างกว้างขวาง ได้มีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะบ้านใกล้เรือนเคียงที่ทั้งรักและเกลียดกันมานานอย่างไทย
พร้อมกับกระแสอันเชี่ยวกรากของทุนนิยมและข้อมูลข่าวสาร ประเทศลาวซึ่งเคยปิดกั้นไว้ และแนบแน่นอยู่แต่กับเวียดนาม จะปรับตัวอย่างไร ..
................................
... ขอแจ้งท่านผู้อ่านเล็กน้อยครับ ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ผู้เขียนได้เปลี่ยนชื่อของตัวละคร จากภิญญดา เป็น จันทิรา
โดยเริ่มเปลี่ยนในตอนที่ 2 นี้ และต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ ..
.....................................
ตอน 2 .. ต่อ ..
ภายหลังจากประโยคคำถามนั้นของจันทิราที่ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ วงสนทนาเลี่ยงที่จะกล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองนั้นอีก เปลี่ยนเป็นคุยเรื่องสัพเพเหระอื่น ๆ
รังสีดื่มมากกว่าคนอื่น เหมือนใช้เบียร์เหล่านั้นเป็นสิ่งชะล้างความขุ่นมัวในใจ เมื่อเวลาผ่านไปความคุ้นเคยและบรรยากาศภายในโต๊ะก็ดีขึ้น เสียงหัวเราะครึกครื้นมีอยู่ตลอดเวลา จากการกระเซ้าเย้าแหย่กันของหนุ่มชาวลาวทั้งสอง และหลายครั้งที่จันทิราถึงกับหัวเราะออกมาเต็มเสียงอย่างสุดกลั้น
“ .. สมัยวัยรุ่นพวกผมตะลุยเที่ยวถึงไหนถึงกัน ไปถึงต่างเมืองต่างแขวงก็บ่อย เรามีรถจักรเก่าอยู่คันหนึ่ง ก็ซ้อนสามเดินทางไปทั่ว บางทีก็เที่ยวข้ามวันข้ามคืน ค่ำไหนก็นอนนั่น ..”
รัฐกรหนุ่มถือแก้วเบียร์ เอนหลังกับพนักพิงเล่าน้ำลายฟุ้ง
“อะไรนะคะรถจักร .. จักรยานน่ะหรือ โอ้โห ปั่นกันข้ามแขวงเลยหรือคะ ..”
รังสีหัวเราะ โบกไม้โบกมือ
“รถมอเตอร์ไซค์ครับ คนลาวเรียกรถจักร ถ้าจักรยานพวกเราเรียกรถถีบ .. “
“อ๋อ !! “ หญิงสาวยิ้มเขินเล็กน้อย แต่ยังถามต่อด้วยความสนใจ
“น่าสนุกดีนะคะ แต่เที่ยวกันแบบนั้นไม่อันตรายหรือ ... “
“บ่ .. ครับ บ่เป็นหยัง ... “ รังสีส่ายหน้า
“ลาวเราเงียบสงบ ชาวบ้านรักกันเหมือนญาติพี่น้อง ไปไหนไม่ค่อยมีเรื่อง ..”
แสนภูซึ่งนิ่งฟังอยู่ หัวเราะขึ้น พร้อมกับพูดแทรกเข้าในการสนทนา
“พูดถึงมีเรื่อง รู้สึกมีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเรากำลังจบมัธยมหมาด ๆ เลยวางแผนกันว่าจะเที่ยวหมู่บ้านชาวภูไทกัน ถิ่นนั้นเรียกได้ว่าสาวงาม แต่มีปัญหาตรงคนหนุ่มบ้านนั้นหวงผู้สาวอยู่บ้าง .. “
รังสีก็หัวเราะเสียงดังผสมเข้ามา ยื่นหน้าเข้ามาด้วยอาการกระตือรือร้น
“มา .. มา .. ฉันขอเล่าเอง .. เรื่องนี้สนุกตื่นเต้นมาก คุณจันทร์คงไม่รังเกียจนะครับที่มาสอดแทรกเจ้าภูมัน ..”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใครเล่าก็ได้เหมือนกัน ..” หญิงสาวพยักหน้า เบิ่งตากลมโต ออกท่าทางตื่นเต้นไปด้วย
“ตอนนั้นห้าวกันน่ะครับ กำลัง แตกหนุ่มเปรี๊ยะ ๆ เจ้าแสงตะวันกับแสนภูหมายมั่นปั้นมือกันมากว่าจะมีแฟนเป็นสาวภูไท .. “
แสนภูอุทานออกมาคำหนึ่ง กระพริบตาปริบ ๆ เมื่อถูกเผาอย่างกะทันหัน รีบตอบโต้กลับ
“.. อย่ามาโยนคนอื่น แกนั่นแหละตัวตั้งตัวตี .. “
รังสีหัวเราะ ถูไม้ถูมือออกอาการครึกครื้นอย่างเต็มที่
“ก็ด้วยกันนั่นแหละว้า ... ทำเป็นเขินต่อหน้าคุณจันทร์ งั้นฉันรับเอาเองก็ได้ .... “
รังสีหันมายิ้มพูดกับจันทิรา
“... เป็นผมกับแสงตะวันเองครับ อยากมีแฟนเป็นสาวภูไท แสนภูไม่เกี่ยว ตัวมันแค่อยากไปเที่ยวธรรมชาติ ชมดอกไม้ สายลม ดูบ้านเรือนวิถีชีวิตของชาวภูไทเท่านั้นเองครับ เรื่องสาวงามเจ้าแสนภูมันไม่สนใจจริง ๆ .. “
แสนภูรู้สึกว่าตัวร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ยื่นขาออกไปเตะหน้าแข้งของรังสีดังโป้ก พลางชี้หน้าสำทับ
“ อยากจะเล่าเรื่องก็เล่าไป อย่าลากเรื่องมาเผาฉันอีก ..”
รังสีก้มลงลูบหน้าแข้งป้อย ๆ แล้วเงยขึ้นมาหัวเราะแหะเล่าต่อ
“.. ปกติเราไปเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ครั้งนั้นมีวัตถุประสงค์แอบแฝง ก็รู้สึกระแวงอยู่บ้าง เลยหาวิธีจะป้องกันตัวไว้ พอดีผมจำได้ว่าพ่อมีปืนลูกซองสั้นอยู่หนึ่งกระบอก เป็นของตกทอดมาจากปู่ พ่อตู้แกซื้อมาจากเพื่อนคนไทยที่ข้ามมาทำงานในลาวสมัยก่อนปลดปล่อย .. “
“ เป็นยังไงคะ ปืนลูกซองสั้น ..” หญิงสาวเอียงคอถามอย่างสงสัย
“ คล้ายปืนสั้นทั่วไปนี่แหละครับ แต่บรรจุกระสุนปืนลูกซอง ยิงได้ทีละนัด ยิงเสร็จก็ต้องเอากระสุนออกแล้วบรรจุใหม่ ส่วนมากเป็นปืนเถื่อนทำเอง ชาวบ้านคนไทยคนลาวใช้เป็นปืนพกไว้ติดบ้านหรือป้องกันตัวในสมัยก่อน ..”
หญิงสาวพยักหน้าทำท่าเหมือนเข้าใจ รังสีเล่าต่อด้วยอารมณ์สนุก
“พอปู่เสีย พ่อก็เอาเก็บไว้บนขื่อใต้หลังคา วันนั้นผมก็ปีนขึ้นไปเอาลงมา ขโมยกระสุนแบบลูกปรายยิงนกไปสองนัด พกใส่เป้สะพายไว้เพื่ออุ่นใจ .. “
“. แล้วได้ใช้ป้องกันตัวไหมคะ ..”
“..ได้ใช้สิครับ สมบัติตกทอดของพ่อตู้แกทำให้พวกผมรอดจากถูกเหยียบมาได้ วันนั้นพวกเราข้ามเมืองไปถึงย่านหมู่บ้านคนภูไท ในบ้านนั้นมีเพื่อนสาวเรียนหนังสือในเมืองด้วยกันอยู่คนหนึ่ง เธอชวนเพื่อนในหมู่บ้านมาหลายคน ทำกับข้าวกับปลาหาเหล้ามาเลี้ยง พวกเราก็เที่ยวกินอยู่กันถึงเย็นถึงได้ลากลับ คิดว่าจะไปนอนบ้านเพื่อนนักเรียนผู้ชายที่ห่างไปอีกหลายหมู่บ้าน พอขับรถออกมาถึงปากทาง ก็มีหนุ่มเจ้าถิ่นดักอยู่สิบกว่าคน บอกว่าให้ลงรถไปคุยกันหน่อย ..”
“ ต๊าย !! .. มีเรื่องกันจริง ๆ ด้วย .. แล้วทำไงคะ หรือว่าลงไปคุยกับเขาจริง ๆ ..”
“.. ลงครับ แต่ไม่คุย ตอนนั้นพวกมันคนมากกว่าตั้งเยอะ แถมพวกผมก็ดื่มกันจนเมา ขืนเข้าไปเจรจาอาจนอนจมฝุ่นค้างคืนกันอยู่ตรงนั้น เลยตกลงให้แสนภูกับแสงตะวันลงจากรถ เจ้าแสงเป็นคนถือปืนเพราะใจมันเด็ดกว่าเพื่อน ๆจากนั้นก็ผมก็ขี่รถออกช้า ๆ ให้สองคนเดินประกบคู่ระวังหลัง แสงตะวันถือปืนให้พวกนั้นเห็นชัดว่าเข้ามาเป็นโดนยิง ...”
“.. เกิดอะไรขึ้นไหมคะ ..”
หญิงสาวเอามือจับขอบโต๊ะ ยื่นหน้าเข้ามาเล็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำเอารังสีถึงกับยืดอก ดื่มเบียร์ในมือจนหมด วางแก้วลงแล้วเอามือตบโต๊ะหลายทีเบา ๆ
“.. ฮะฮ่า !! ใครมันจะกล้าเสี่ยงกับลูกปืนล่ะครับ พอพวกมันเห็นปืนก็แตกกระเจิง แยกออกไปทางสองข้าง ไม่มีใครกล้าขวางหรือทำอะไร พอพ้นระยะออกมาได้ เจ้าภูกับเจ้าแสงค่อยขึ้นซ้อนรถเผ่นออกมา ..”
“ แหม .. เป็นดิฉันจะยิงขึ้นฟ้าสักหนึ่งนัด เอาจนพวกนั้นวิ่งป่าราบไปเลย ..“
จันทิราแหย่ไปเล่น ๆ ผสมโรงอย่างนึกสนุก แต่คาดไม่นึกว่ารังสีพยักหน้าอย่างจริงจัง
“.. ยิงสิครับ .. ผมก็คิดเหมือนคุณจันทร์ ตอนนั้นเปลี่ยนให้แสงตะวันเป็นคนขับ แสนภูนั่งกลาง ส่วนผมเปลี่ยนเป็นซ้อนท้ายถือปืน กะว่าจะส่องขึ้นฟ้าสักนัดแล้วก็เผ่น ยังไงคงไม่มีใครตาม ถึงตามก็ไม่ทันเพราะในบ้านนั้นเห็นมีแต่รถถีบเก่า ๆ อยู่ไม่กี่คัน ..”
“.. เยี่ยมไปเลยค่ะ ..” หญิงสาวปรบมือ
“ .... แล้วผลเป็นไงคะ แตกกระเจิงไหม … “
...