เกมรักพิศวง 10 ไม่ใช่เธอ

กระทู้สนทนา
บทที่ 9
https://ppantip.com/topic/38537628

ฟังดูแล้วไม่ต่างจากเด็กติดเกมขนาดหนักเลยสักนิด พยาบาลสาวไม่ยอมฟังคำอุทธรณ์ใดๆ ดันตัวของเขาลงไปนอนจนได้ ความคิดสับสนวุ่นวายไปหมด หลังถูกฉีดยาก็หลับลึกลงไปอีก

...............

             สักกะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผ้ายังคงปิดคาดตาอยู่อย่างแน่นหนา ส่วนจะเป็นผ้าผืนเก่าผืนใหม่ชายหนุ่มไม่สนใจ รู้แต่ว่าคราวนี้มันคาดอยู่ในลักษณะแนบแน่นยิ่งกว่าเดิม เหมือนจงใจให้แกะยากลำบากมากขึ้น เขายกมือแตะผ้าปิดตาอย่างไม่ตั้งใจ

             “ลืมที่บอกไว้แล้วหรือคะ ว่าอย่าเพิ่งแกะผ้าปิดตา”

             น้ำเสียงค่อนข้างคุ้นเคยดังขึ้นใกล้ ๆ เขาสะดุ้งแล้วหันหน้าไปทางเสียง รู้สึกว่าพยาบาลสาวคนนี้คงต้องเฝ้าดูแลเขาแทบตลอดเวลา พอฟื้นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงของเธอทันที

             สักกะนิ่งเงียบไปพักหนึ่งอย่างคนพยายามทำใจ แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงห้วนๆ

             “แล้วนี่ผมจะต้องมานอนฟังคำสั่งโน่นนี่ของคุณอีกสักกี่วันกัน แล้วเมื่อไรตาของผมจะหายดี พวกหมอพวกพยาบาลเก่งๆ หายไปไหนหมด”

             “พวกเราก็พยายามกันอยู่แล้วนะคะ”

             “ผมไม่เห็นพวกคุณทำอะไรเลย” เขาต่อว่าเมื่อไม่ได้รับคำตอบเป็นที่พอใจ
    
             “ใจเย็นๆสิคะ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเราไม่ได้ทำอะไร เพราะคุณหลับๆตื่นๆ มาสองวันแล้ว แต่คุณคงไม่รู้ตัวหรอก แถมละเมออะไรต่อมิอะไร เดี๋ยวก็หายแล้ว เอาละ ได้เวลากินยาแล้วนะคะ”

              เสียงแก้วน้ำกระทบถาดรองแก้วดังอยู่ใกล้ๆพร้อมกับเสียงเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ตัว สักกะรู้สึกว่าถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่ง

             “อ้าปากสิคะ...จะได้ทานยา”

            “ทำไมผมต้องเชื่อฟังคุณด้วย” เขายังทำอิดออดทั้งที่รู้ว่าไร้ผล ความจริงเพราะไม่ชินกับการมีคนมาป้อนข้าวป้อนน้ำต่างหาก

             “คุณเป็นคนไข้ ส่วนฉันก็เป็นพยาบาลนี่คะ คนไข้ก็ควรทำหน้าที่ของคนไข้ พยาบาลก็ต้องทำหน้าที่ของพยาบาลจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน ถ้าอยากหายกลับบ้านเร็ว ๆไปเล่นเกม.. ก็ต้องกินยาจริงไหมคะ”

             น้ำเสียงตรงคำว่า “เล่นเกม” ดูจงใจเน้นเป็นพิเศษ ถ้าคำพูดเป็นตัวหนังสือเขาต้องเห็นเป็นตัวหนังสือหนาขีดเส้นใต้เน้นความสำคัญเป็นแน่แท้ และเสียงดุๆแบบนี้ใครจะกล้าขัด สักกะถอนใจ ยอมอ้าปากรับยาซึ่งป้อนเข้าปากแต่โดยดี ตามด้วยน้ำอีกแก้วบรรจงส่งถึงปาก

             “ดีมากค่ะ ทีนี้นอนลง จะเช็ดตัวให้นะคะ” น้ำเสียงมีแววค่อนข้างพอใจกับการยินยอมแต่โดยดีของคนไข้หนุ่ม

             “เดี๋ยวนะ คุณว่าผมละเมอเหรอ”  

             “ใช่สิคะ ก็ละเมอถึงสโรชิน สโรชาอะไรของคุณนั่นล่ะค่ะ”

             “เธอชื่อสโรชิน ไม่ใช่สโรชา” เสียงอธิบายด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ มาเรียกชื่อผิดๆ ได้อย่างไรกัน จะมากเกินไปแล้ว

             “ค่ะ สโรชินก็สโรชิน ขอโทษนะคะที่เอ่ยชื่อคนสำคัญของคุณผิด”

             “ไม่ต้องมาเรียกแล้ว”

             หูเหมือนแว่วเสียงหัวเราะกับอาการพาลเกเรกึ่งงอนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาเล็กน้อย พยาบาลอะไรมาหัวเราะใส่คนไข้ อย่าคิดว่าไม่รู้นะ...

             “ไม่ต้องมาหัวเราะ คุณพยาบาลมีสิทธิ์อะไรมาหัวเราะคนไข้”

             “ก็คุณทำตัวเหมือนเด็กขี้งอนนี่คะ”

             สักกะอ้าปากจะต่อปากต่อคำ แต่แล้วก็ชะงัก น้ำเสียงของพยาบาลสาวฟังดูคุ้นๆชอบกล และความรู้สึกแบบนั้นทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนจากการโต้เถียงเป็นคำถามใหม่ทันที

             “ขอโทษนะครับที่ถาม คุณชื่ออะไรครับคุณพยาบาล”

             “ไม่ใช่ชื่อสโรชินก็แล้วกันค่ะ”

             ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง เพราะแอบหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นสโรชิน ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าจะเป็นไปได้ เธออยู่ไหนก็ไม่รู้และยังตาบอดด้วย แถมใช้เวลาอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่ คำตอบของพยาบาลสาวก็ยืนยันชัดเจน และถ้าเป็นเธอจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปิดบังความจริง อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว แต่ทันใดนั้นเอง ความคิดบางอย่างพุ่งวูบขึ้นมาทำให้เขาสะดุ้งโหยง

             ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เพิ่งคิดได้!

             ซวยละงานนี้ ในเมื่อไม่ได้มีบัตรสิทธิพิเศษอะไรเลยอย่างจะใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่าใช้จ่าย!

              “คุณสะดุ้งอะไรคะ”อาการผิดปกติของเขามีคนสังเกตเห็น

             “ผมไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรอก  ผมจะกลับบ้าน” เขาบอกเสียงห้วน

             “จะกลับได้ยังไงคะ  คุณยังไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาล  เอาเถอะค่ะ เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง ค่อยหาทางออกร่วมกัน  แต่ถึงเวลาคุณต้องพักผ่อนแล้วละค่ะ แต่ยังไงก็ต้องเข้าห้องน้ำทำธุระให้เรียบร้อยก่อนนะคะ  เอาละ เดี๋ยวดิฉันจะพาคุณไปห้องน้ำ”

             ”ไม่ต้อง ไม่ต้อง” สักกะร้องเสียงหลง โบกไม้โบกมือพัลวัน  “ผมเดินเข้าห้องน้ำเองได้ ไม่ต้องลำบากรบกวนคุณพยาบาลหรอก ผมพอลุกเดินได้”  สำหรับชายหนุ่มแล้ว การถูกผู้หญิงพยุงประคองเข้าห้องน้ำเป็นเรื่องน่าอับอายที่สุด ตราบใดที่สองแขนสองขายังพอไหว ไม่มีทางเสียละว่าจะยอม

             “คุณยังเดินไม่ได้ถนัดหรอกค่ะ เดี๋ยวก็ล้มบาดเจ็บเพิ่มอีก” เสียงของเธอลากยาวอย่างใจเย็น คงนึกขำท่าทางของคนไข้หนุ่ม “ไว้ใจเถอะค่ะ จะส่งคุณถึงหน้าห้องน้ำเท่านั้น ถ้าคุณจะเขินอายขนาดนี้

             ชายหนุ่มไม่มีทางเลือก ยอมจำนนกับเหตุผลอันน่าขายหน้าเสียฟอร์มของตัวเอง หลังจากนั้นก็หมดอารมณ์จะคุยกับใคร ความหวังเล็กๆ เกี่ยวกับสโรชินชนิดเป็นไปไม่ได้ที่เพิ่งก่อขึ้นมาดับวูบลงไปในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากกินยาฉีดยาเรียบร้อย เขาก็หลับอย่างยินยอมพร้อมใจเพื่อที่จะได้คิดถึงใครบางคนให้หลับไป โดยหวังว่าจะได้พบกับเธอคนนั้นในความฝัน

             เวลาผ่านไปน่าจะหลายวัน สักกะเริ่มแข็งแรงมากขึ้น ชายหนุ่มไม่ได้ยุ่งกับผ้าปิดตาอันน่ารำคาญ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โง่มากพอจะทำลายโอกาสในการมองเห็นของตนเอง หมอมาตรวจดูอาการหลายครั้ง บางครั้งก็พาไปตรวจด้วยเครื่องมือทางการแพทย์อะไรสักอย่างที่ไม่รู้จัก ทุกครั้งก็จะได้รับความหวังในทางที่ดีเสมอ เขาเองก็พยายามทำใจเชื่อคำพูดของหมอ และได้รับการดูแลใส่ใจจากพยาบาลสาวคนนั้นเป็นอย่างดี

             วันนี้เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับรู้สึกแปลก ๆ เนื่องจากในห้องดูสงบเงียบ เกือบเผลอใช้มือดึงผ้าปิดตาออกแล้ว แต่พอนึกถึงคำพูดของนางพยาบาลสาว ก็ต้องสะกดใจไว้อย่างลำบากยากเย็น วันนี้ท่าทางเธอไม่อยู่ เฝ้าดูแลเหมือนอย่างเคย

             แน่ล่ะ...ใครจะมีเวลามาเฝ้าคนไข้ทั้งคืนทั้งวัน

             ลองขยับตัวลุกจากเตียง อาการเจ็บบริเวณชายโครงลดลงไปมากแล้ว จะเหลือก็ปัญหาการมองเห็นเท่านั้น ใจเริ่มนึกถึงสโรชิน เธอตาบอดยังเดินไปไหนมาไหนได้ทั่วห้อง เขาเองก็น่าจะลองเดินดูบ้าง ในห้องแคบๆ แบบนี้คงไม่ยากเย็นอะไร

             รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขณะขยับตัวออกจากเตียง มือปัดไปโดนแก้วน้ำหล่นลงจากโต๊ะบริเวณหัวเตียง สักกะใจหายวาบ เมื่อนึกถึงภาพเศษแก้วแหลมคมกระจายเต็มพื้น แต่พอฟังเสียงแล้วค่อยใจชื้นขึ้นมา นั่นเป็นเสียงแก้วทำมาจากอะลูมิเนียมหรืออาจจะเป็นสแตนเลส จึงมีแต่เสียงกังวานของโลหะกระทบพื้น ค่อยก้มตัวลง มือควานหาแก้วน้ำอย่างระมัดระวังเพราะยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่ในความมืด รู้สึกว่าอะไรๆ มันยุ่งยากลำบากไปหมด

             ขณะกำลังยื่นมือควานไปมาตามพื้น ศีรษะก็โขกเข้ากับขอบโต๊ะหัวเตียงอย่างจัง เจ็บเหมือนถูกทุบด้วยค้อน เขารู้ว่ามันเป็นโต๊ะเพราะรู้สึกได้จากน้ำหนักและแรงกระแทกเคราะห์ ยังดีว่าโดนบริเวณหน้าผาก ถ้าโดนตรงนัยน์ตาคงหนักมากกว่านี้

             “บ้าเอ๊ย.....!”  ชายหนุ่มนั่งคุกเข่า มือกุมหน้าผาก สบถออกมาอย่างฉุนเฉียว ทำไมต้องมาวางโต๊ะไว้ตรงนี้ด้วย รู้ทั้งรู้ว่าเขามองไม่เห็น ที่อื่นมีถม ทำไมไม่ไปวาง ! แล้วแก้วน้ำเจ้าปัญหากลิ้งไปทางไหนแล้ว

             ยื่นมือออกไปข้างหน้า พลางนึกถึงแมลงที่นำทางไปด้วยหนวดของมัน ปลอดภัยแน่นอน มีอะไรขวางอยู่ข้างหน้าต้องโดนมือก่อน คำนวณทิศทางของห้องน้ำอย่างคร่าว ๆ เตียงอยู่ทางนั้น ห้องน้ำต้องอยู่ด้านนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการเข้าห้องน้ำจะลำบากยากเย็นจนไม่อยากเชื่อ
แต่สักกะลืมนึกถึงพื้น

             เข่าซ้ายวางลงไปบนอะไรบางอย่างแข็งๆกลิ้งได้ มันทำให้เกิดอาการลื่นเสียหลักทำให้ผวาหน้าคว่ำลงไปกับพื้นทันที มือไขว่คว้าหาที่จับยึดตามสัญชาตญาณ แต่ไปคว้าเอาขอบโต๊ะหัวเตียงลากล้มโครมครามตามแรงเหนี่ยวระเนระนาดกระจัดกระจาย ชายหนุ่มนอนสิ้นสภาพอยู่บนพื้นอย่างมึนงงปลงตกกับชีวิต คราวนี้ไม่รู้เหนือรู้ไต้แล้ว

             “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงนางพยาบาลสาวแว่วเข้ามาในโสตประสาทอันอึงอล เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับว่ารู้สึกดีใจเมื่อได้ยินเสียงของเธอ แม้ว่าจะกระดากอายกับอาการ ‘หมดสภาพ’ ของตนเองก็ตาม

             “ผมไม่เป็นไร”เขาพยายามลุกขึ้นแม้จะมีอาการหัวทิ่มหัวตำอยู่บ้างก็ตาม แต่ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เห็น โดยเฉพาะกับนางพยาบาลคนนี้

             “แล้วคุณลงไปคลุกอยู่บนพื้นทำไมคะ”
    
             “คุณมาช้าไป ผมก็แค่อยากเข้าห้องน้ำ ทำไมคุณไม่มาให้เร็วกว่านี้” ออกอาการพาลตามเคย จมูกได้กลิ่นหอมจางๆลอยมาในอากาศ คงเป็นแป้งหรือเครื่องสำอางที่เธอใช้เป็นประจำ จนทำให้เริ่มจดจำกลิ่นได้

             “นี่คุณ...” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปสักกะก็เริ่มพูดขึ้นก่อน  “เมื่อไรผมจะหายเป็นปกติเสียที รู้ไหมว่าสภาพคนตาบอดมันทรมานขนาดไหน ไม่...คุณไม่รู้หรอก เพราะคุณไม่เคยตาบอดนี่นา”

             “ใจเย็นๆสิคะ...และที่สำคัญ ฉันเข้าใจคุณ อีกไม่กี่วัน คุณก็จะได้ฟังข่าวดีแล้วค่ะ”
    
             รอฟังข่าวดี ๆ ที่ว่าอีกหลายวัน? สักกะพยายามทำตัวเองให้เคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืด และนึกถึงหญิงสาวในเกมพิศวง นึกแปลกใจว่าเธอคนนั้นทำได้อย่างไรกัน ถึงสามารถเดินไปไหนมาไหน ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ราวกับเป็นคนสายตาปกติ ทำให้ยิ่งรู้สึกนับถือชื่นชมเธอมากขึ้น  
    
             หลายวันมานี้เมื่อทำอะไรไม่ได้ดังใจก็มักจะพาลมาลงที่นางพยาบาลสาวผู้นั้นเสมอ อธิบายไม่ได้ว่าทำไม หรือว่าเป็นเพราะนิสัยวู่วามนิสัยเสียของเขาเอง หรือเป็นเพราะสภาพเก็บกดทางอารมณ์กันแน่ ไม่เข้าใจเหมือนกัน
    

             วันนี้สักกะเริ่มทานอาหารเช้าได้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว โดยมีนางพยาบาลสาวคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
    
             “เมื่อไหร่ผมจะได้กลับบ้าน” เขาถามขณะในใจคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่าย กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ยื่นมือไปรับแก้วน้ำมาดื่ม เริ่มคุ้นเคยกับสภาพการมองไม่เห็นพอจะเดินไปไหนมาไหนในห้องโดยไม่ชนอะไรล้มโครมครามอีกแล้ว
    
             “ก็บอกแล้วว่า ให้ใจเย็นๆ ไงคะคุณสักกะ”
    
             “เดี๋ยวก่อน” ชายหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจสงสัยขึ้นมาทันที ก่อนพยาบาลสาวจะรู้ตัวหรือตั้งตัวเขาก็คว้าแขนเธอเอาไว้อย่างไม่ลำบากยากเย็นนัก เพราะรู้ว่าเธออยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง
    
             “คุณรู้ชื่อผมได้ยังไง ผมไม่เคยบอกชื่อคุณเลย คุณคือสโรชินใช่ไหม”
    
             “ใจเย็นๆ เดี๋ยวคุณก็รู้แล้ว ปล่อยมือดิฉันก่อนค่ะ”

             เธอค่อยๆแกะนิ้วมือของเขาออกทีละนิ้ว ชายหนุ่มถอนใจ ยอมปล่อยมือแต่โดยดี แล้วก็รู้สึกว่าผ้าปิดตาถูกแกะออกทีละน้อยและแผ่วเบานุ่มนวล จมูกได้กลิ่นหอมบางเบาที่เปลี่ยนไป แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ไม่ได้หวานใสเหมือนเมื่อหลายวันก่อน เสียงของเธอราบเรียบและค่อนไปทางห่างเหิน
    
              “เรื่องที่คุณควรรู้ในวันนี้คือ วันนี้เป็นวันครบกำหนดในการเปิดผ้าปิดตาของคุณพอดี อย่าเสียใจนะคะถ้าอะไรๆ ไม่เป็นอย่างที่คุณคิด”
    
             สักกะมองเห็นแสงสว่างแล้ว แสงสว่างซึ่งห่างหายไปจากสัมผัสการรับรู้ามานาน ครั้งแรกภาพต่างๆ พร่าเลือนเหมือนปรับโฟกัสไม่ชัด ต้องใช้เวลาสักพักกว่าทุกอย่างจะกระจ่างชัดขึ้นมา
    
             ดีใจก็ดีใจ
    
             ดีใจที่สามารถกลับมามองเห็นอีกครั้ง สิ่งแรกที่ทำคือมองหานางพยาบาลเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ใช่สโรชิน และก็แน่ใจในที่สุดคือพบว่าในห้องนอกจากหมอและพยาบาลแปลกหน้าแล้ว ไม่มีหญิงสาวลึกลับในเกมเลย

             นางพยาบาลสาวไม่ใช่สโรชิน


.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่