สวัสดีค่ะ มีคำถามในหัวที่คิดไม่ตกมาหลายวันแล้วค่ะ คือเราจะลาออกจากเอกชนแห่งเดิมเงินเดือน 37,000 ประสบการทำงาน 3 ปี (ณ ตอนที่ออก) ซึ่งเป็นที่ทำงานแห่งแรก
ทีนี้ คำถามตามมา ว่าจะเลือกทำรัฐวิสาหกิจหรือทำเอกชนต่อดี
เพราะพ่อกับแม่ก็อยากให้ทำรัฐวิสาหกิจมากกกกกกก เราเองก็อยากทำงานเพื่อประเทศ มันดูมีความหมายกว่าทำงานให้นายทุน ละก็อยากได้ความสบายตอนแก่ด้วย
แต่ประเด็นคือตอนนี้ยังไม่แก่ ยังอยากได้ความรู้ อยากเจอคนเก่งๆ เราชอบทำงาน แต่ก็ต้องมีความสมดุล แบบที่ไม่มีใครเอาเปรียบใครอะค่ะ ทั้งบริษัทและตัวเรา ยังอยากเจอความท้าทายในการทำงาน (บ้าง) ละอีกอย่างเรามีนิสัยไม่ดีเห็นคนไม่ตั้งใจทำงานแล้วรู้สึกขัดใจทุกครั้ง
อีกอย่างเราอยากรู้ว่า ทำรัฐวิสาหกิจถ้างานไม่หนักนี่แปลว่าอะไรเหรอคะ คือว่างระหว่างวัน หรือทำงานชิล ไม่รีบไม่ร้อน ละถ้าเราทำงานเสร็จเร็วจะว่างปะคะ หรือกลายเป็นทำหนักกว่าคนอื่น บอกตรงๆกลัวเข้าไปทำแล้วหมดไฟค่ะ
คิดไปคิดมายังไม่ตกผลึก เลยนั่งคิดไม่ตกอยู่นี่ล่ะค่ะ ใครมีคำแนะนำดีๆมั้ยคะ เราอยากได้มุมมองอื่นๆบ้าง ที่จะช่วยในการตัดสินใจ คิดวนๆคนเดียวแล้วปวดหัวค่ะ
ขอบคุณค่า
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
มาอัพเดตค่ะ เห็นยังมีผู้สนใจมาตอบกระทู้อยู่ เผื่อว่ากระทู้นี้จะได้เป็นวิทยาทานแก่ชนรุ่นหลังที่อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรรัฐวิสาหกิจ
สรุปว่าเราได้งานที่รัฐวิสาหกิจระดับ top แห่งหนึ่ง ใบ้ว่า เป็นที่ๆคนได้ยินชื่อแล้วก็ถามว่าใช้เส้นใครเข้ามา แต่เราสอบนะ จะขอกล่าวเท่าที่เห็นมาดังนี้
ข้อดี
- งานชิล มันไม่ได้ว่างนะคะ มีงานทำอยู่ แต่แค่ไม่หนัก คนเดียวไม่ต้องทำหลายหน้าที่ ทำโอทีน้อยลง คนก็คาดหวังกับเราน้อยลง เหมือนเราได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ก็คือเติบโตแบบปกติไม่ต้องมีอัตราเร่งเหมือนตอนทำเอกชนค่ะ (ตอนออกเราเป็นผู้ช่วยผู้จัดการแล้ว ตอนนั้นอายุงานสี่ปีกว่าๆ) และเรารู้สึกว่ามัน work life balance ได้ดีกว่ามากๆ รู้สึกว่าตัวเองทำงานแบบมนุษย์มากขึ้น ไม่ใช่ทำแบบเครื่องจักรที่ต้อง productivity ตลอดเวลา
- ไม่เครียด เพราะบรรยากาศทำงานมันไม่เครียด อาจมีสงครามประสาทนิดหน่อยแต่ก็อย่าหันไปเล่นกับเค้าค่ะตั้งใจทำงานของเราไปเเล้วเราจะค้นพบความสุขจากการทำงาน ในความรูทีนมันก็มีความดีงามของมันอยู่ แต่เราโชคดีที่มีทั้งงานรูทีนและงานเคสพิเศษเรื่อยๆทำให้ไม่เบื่อ ได้ใช้สมองบ้างได้พักบ้างสลับกันไป
- ข้อดีสองข้อข้างต้นสำหรับเรามีน้ำหนักมากค่ะ มากพอให้กลบข้อเสียยาวหางว่าวที่เราจะเขียนต่อไปได้ และทำให้เรายังอยู่ที่นี่และตัดสินใจว่าคงทำไปจนเกษียณ ส่วนอย่างอื่นเช่นสวัสดิการ กระทู้อื่นๆคงมีเยอะแล้ว และแต่ละที่ก็ต่างกันดังนั้นเราขอไม่พูดนะคะ
ข้อเสีย
- งานเอกสาร หนังสือต่างๆ บอกเลยว่าเยอะแยะหยุมหยิมมากๆ แต่ถ้าไม่ได้ร่างหนังสือเป็นกิจวัตรก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ให้มากเกินไปนักค่ะ เพราะยังไงถ้างานด่วนจริงๆก็กล้อมแกล้มส่งเมลล์ก่อนได้ แล้วหนังสือค่อยตามมาทีหลัง (บางทีตามมาในอีกหลายเดือนให้หลัง)
- ความเฉื่อยของคน บอกเลยว่าเบื่อมาก อยู่เอกชนเราจะต้อง productivity ตัวเอง คนอื่นก็เหมือนกันที่ต้องพยายามทำงานให้ดีให้ไว แต่อยู่นี่เรื่องที่เรามองว่าง่ายบอกเลยบางทีโ*ตรยาก ต้อง due กับคนที่เค้าไม่ได้สนใจส่วนรวมอะค่ะ พอขอความร่วมมือก็ชักช้ายุรยาตร ต้องบอกก่อนว่าคนแบบนี้มีไม่เยอะนะคะ แต่คนส่วนมากที่เรา due ดันเป็นแบบนี้ เเละที่แน่ๆคือเยอะกว่าเอกชนค่ะ
- พวกลูกท่านหลานเธอ มีค่ะ แทบเดินชนกันรายวัน บอกเลยว่าเส้นสายที่นี่เยอะมากถึงมากที่สุด แต่คนที่เก่งจริงๆก็มีเยอะเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นรัฐวิสาหกิจอันดับต้นๆ คนที่เข้ามารุ่นใหม่ๆฝ่ายเรามีแต่คนจบจากมหาลัยรัฐระดับ top ของสาขาวิชาค่ะ และหัวหน้าที่เราคิดว่าเก่งสุดเท่าที่เคยทำงานด้วย ก็อยู่ที่นี่
บอกเลยว่าคนที่ขึ้นเป็นใหญ่เป็นโตได้ ไม่ใช่แค่เก่งค่ะ connection ต้องดีด้วย แต่เราเข้าใจได้นะ คือคนเราก็ต้องอยากทำงานกับคนที่ตัวเองรู้จักคุ้นเคยน่ะค่ะ ยิ่งถ้าคนนั้นทำงานได้จริงก็โอเคที่เค้าจะส่งเสริมกัน คนที่เราเห็นว่าเป็นใหญ่เป็นโตได้ บางคนก็มาสร้าง connection เอาที่นี่ค่ะ ไม่ได้มีเส้นสายก่อนเข้าทำงาน (แต่เค้าเก่งมากๆด้วย) คือคนที่นี่ต้องบอกว่าถ้าไม่เก่งก็ธรรมดาจนถึงป่วยไปเลยก็มีค่ะ
- แต่.. คนชอบถามว่าเราเส้นใคร อันนี้เป็นความเอือมส่วนตัว พอเจอบ่อยเข้าก็อยากจะตอบไปว่า เส้นรอยหยักในสมองค่ะพี่.. เลยขอนับเป็นข้อเสียด้วย
- การปรับตัว คนที่เข้ามาในฝ่ายเรามีลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่งคืออ่อนน้อม และสุภาพเรียบร้อยค่ะ ซึ่งตรงข้ามกับเราโดยสิ้นเชิง เราผู้ซึ่งถ้าไม่เห็นด้วยเราจะพูดตรงๆแบบไม่อ้อมค้อม (แต่เวลากินข้าวก็เฮฮาเป็นปกติ) แต่อยู่นี่ไม่ได้ค่ะ จะไปท้าตีท้าต่อยกับใครพึงรำลึกว่าจะต้องทำงานร่วมกับเค้าไปอีกหลายปี หรือทำไปจนเกษียณ และคนก็ไม่ได้เปิดกว้างเหมือนเอกชน ยังเอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัวอยู่ เราก็อย่าได้เอาอารมณ์มาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า แต่งานเก่าเราต้อง due กับลูกค้า เคยโดนลูกค้าด่าบ่อยจนชิน เจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องสุภาพเข้าใส่ เรื่องนี่เลยพอผ่านไปได้แบบไม่กระไรนัก แค่เจ็บนิดๆ🥲
- วิธีการทำงานที่ไม่เป็นมืออาชีพ เช่นส่งงานเเบบส่งไฟล์ ที่เหลือเราไม่คุยกันให้ไปงมเข็มเอาเอง เรื่องนี้เราเจอจนทำให้เกือบจะลาออกมาแล้วค่ะ และทุกวันนี้ก็ยังหลอกหลอนอยู่
- การพัฒนาตัวเอง มีอยู่เรื่อยๆค่ะ บ.เค้าก็ไม่อยากได้คนทำงานไม่เป็นเนอะ ก็จะมีการจัดอบรม ส่ง link ฟังบรรยายต่างๆนาๆ แต่ว่า จะฟังหรือไม่ จะได้อะไรแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราค่ะ
- แต่การจะได้งานเก๋ให้เราได้เจิดจรัสเฉิดฉาย อันนี้แล้วแต่บุญค่ะ เพราะแม้ว่าตอนอยู่เอกชนเราจะยิ่งใหญ่ฉายเเสงมาจากไหน อยู่ที่นี่จะเริ่มนับหนึ่งจากการเป็นเด็กน้อยทันที เค้าไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้คุณเคยทำอะไรมาบ้าง ดังนั้น การที่เราจะได้งาน ad hoc มีโอกาสได้หน้าได้ตา ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆค่ะ อย่างนั้นถ้าไม่มีโอกาสก็จงเสนอหน้าเข้าไปหามัน รวมถึงทำตัวเองให้เก่งในงานที่รับผิดชอบ จนคนเค้าไว้ใจ คุณค่าในตัวเราและงานที่เราทำก็จะมากขึ้นเอง เพราะปฏิเสธไม่ได้นะคะ ว่าการทำงานเราต้องมีผลงานเราถึงจะเติบโตได้
ข้อสังเกต
- เราค่อนข้างมั่นใจว่า แม้จะเป็นในยุค technology disruption แต่บ.จะไม่เอาเราออกง่ายๆแน่นอน ก็ถือว่ามีความมั่นคงระดับนึงในยุคสมัยนี้นะคะ
- ทุกวันนี้ยังไม่หมดไฟในการทำงานนะคะ มีเรื่องให้ปวดเศียรเวียนเกล้าเรื่อยๆ แก้เบื่อได้ดีค่ะ และอย่างที่กล่าวไปว่ารอบตัวเรามีคนเก่งเยอะอยู่ พอพูดไปเค้าก็ฟัง เลยยังรู้สึกโอเคกับการทำงาน แต่คงต้องทำใจเรื่องผลตอบแทนที่ว่า คนเก่งกับคนไม่เก่งได้ตำแหน่งเท่ากัน เพราะช่วงเริ่มต้นไปถึงระดับกลางๆ แทบจะเลื่อนขั้นอัตโนมัติ ต้องทำใจกับระบบนี้ค่ะ แต่แง่ดีของมันก็คือที่เรากล่าวไว้ใน bullet ข้างบน
- คนที่นี่เน้นทำงานเสริมนะคะ เพราะอะไรให้หันไปดูอัตราเงินเดือนในประกาศรับสมัครพนักงาน ดังนั้นแม้งานจะชิลแต่ถ้าคนขี้เบื่อสุดท้ายก็ต้องหาอะไรทำ ไม่ว่างอยู่ดีค่ะ
- รัฐวิสาหกิจไม่มีบำนาญค่ะ เกษียณไปก็จบกัน หลังหกสิบคุณดูแลตัวเอง ดังนั้น เราจะได้ประโยชน์ก็ตอนที่ป่วยกับพ่อแม่ป่วย แต่เอาเข้าจริงเท่าที่เห็นก็ประโยชน์เรื่องสวัสดิการพ่อแม่นี่ล่ะค่ะที่น่าสนกว่าเพื่อน เพราะคนส่วนมากตอนทำงานก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ จะเป็นก็ตอนเกษียณไปแล้ว ทีนี้แหละ โรคมาเพียบ
- เป็นงานที่เหมาะกับคนมีสายป่านหรือฐานะทางบ้านดีในระดับหนึ่ง ไม่งั้นชีวิตลำบากนะคะ เพราะเงินเดือนค่อนข้างน้อย พอย้ายจากเอกชนคุณจะค้นพบความเครียดใหม่คือเครียดเรื่องเงินค่ะ นี่เรื่องจริงเลย ตอนอยู่เอกชนเราไม่เคยเครียดเรื่องเงินมาก่อนคิดแต่เรื่องเอาเงินไปเที่ยวไหนดี อยู่นี่ด้วยความที่เงินเดือนไม่สูงมาก ก็ต้องบริหารจัดการให้ดีค่ะ
- การปล่อยวาง บอกเลยว่าอยู่ที่นี่ปล่อยวางเก่งขึ้นมาก มองเห็นเรื่องราวต่างๆทั้งที่เกิดกับตัวเองและรอบตัวเป็นเหมือนละครฉากหนึ่ง อย่าไปอินกับมันมากค่ะ ไม่งั้นเราจะเครียดได้ ต้องปล่อยวางให้เร็ว หาคนที่ไว้ใจได้สักคนที่เข้าใจเราและจุดอ่อนขององค์กรมาพูดคุยปรับทุกข์ เพราะบางทีตรรกะของคนที่นี่เราไม่เข้าใจและก็ไม่อยากเข้าใจค่ะ ทำได้แค่ยอมรับและอย่าเป็นแบบนั้นบ้างก็พอ
อันนี้เท่าที่นึกออกนะคะ คิดว่าน่าจะทำให้เห็นภาพคร่าวๆได้ ความคิดเห็นด้านล่างก็มีเยอะอยู่ ขอบคุณทุกคนที่ตอบนะคะ 😊
เราว่าที่สำคัญคือการปรับตัวและการยอมรับค่ะ แล้วเราจะอยู่ได้
เป็นกำลังใจให้คนที่อยากสอบเข้ารัฐวิสาหกิจทุกคนนะคะ จำไว้ว่า เราไม่จำเป็นต้องมีเส้นจึงจะได้งานค่ะ (แต่มีย่อมดีกว่า 55)
ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไร สอบถามหรือคอมเม้นไว้ได้เลยนะคะ ถ้าตอบได้ก็ยินดีตอบค่า
รัฐวิสาหกิจ VS เอกชน คิดไม่ตกแล้วค่า
ทีนี้ คำถามตามมา ว่าจะเลือกทำรัฐวิสาหกิจหรือทำเอกชนต่อดี
เพราะพ่อกับแม่ก็อยากให้ทำรัฐวิสาหกิจมากกกกกกก เราเองก็อยากทำงานเพื่อประเทศ มันดูมีความหมายกว่าทำงานให้นายทุน ละก็อยากได้ความสบายตอนแก่ด้วย
แต่ประเด็นคือตอนนี้ยังไม่แก่ ยังอยากได้ความรู้ อยากเจอคนเก่งๆ เราชอบทำงาน แต่ก็ต้องมีความสมดุล แบบที่ไม่มีใครเอาเปรียบใครอะค่ะ ทั้งบริษัทและตัวเรา ยังอยากเจอความท้าทายในการทำงาน (บ้าง) ละอีกอย่างเรามีนิสัยไม่ดีเห็นคนไม่ตั้งใจทำงานแล้วรู้สึกขัดใจทุกครั้ง
อีกอย่างเราอยากรู้ว่า ทำรัฐวิสาหกิจถ้างานไม่หนักนี่แปลว่าอะไรเหรอคะ คือว่างระหว่างวัน หรือทำงานชิล ไม่รีบไม่ร้อน ละถ้าเราทำงานเสร็จเร็วจะว่างปะคะ หรือกลายเป็นทำหนักกว่าคนอื่น บอกตรงๆกลัวเข้าไปทำแล้วหมดไฟค่ะ
คิดไปคิดมายังไม่ตกผลึก เลยนั่งคิดไม่ตกอยู่นี่ล่ะค่ะ ใครมีคำแนะนำดีๆมั้ยคะ เราอยากได้มุมมองอื่นๆบ้าง ที่จะช่วยในการตัดสินใจ คิดวนๆคนเดียวแล้วปวดหัวค่ะ
ขอบคุณค่า
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
มาอัพเดตค่ะ เห็นยังมีผู้สนใจมาตอบกระทู้อยู่ เผื่อว่ากระทู้นี้จะได้เป็นวิทยาทานแก่ชนรุ่นหลังที่อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรรัฐวิสาหกิจ
สรุปว่าเราได้งานที่รัฐวิสาหกิจระดับ top แห่งหนึ่ง ใบ้ว่า เป็นที่ๆคนได้ยินชื่อแล้วก็ถามว่าใช้เส้นใครเข้ามา แต่เราสอบนะ จะขอกล่าวเท่าที่เห็นมาดังนี้
ข้อดี
- งานชิล มันไม่ได้ว่างนะคะ มีงานทำอยู่ แต่แค่ไม่หนัก คนเดียวไม่ต้องทำหลายหน้าที่ ทำโอทีน้อยลง คนก็คาดหวังกับเราน้อยลง เหมือนเราได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ก็คือเติบโตแบบปกติไม่ต้องมีอัตราเร่งเหมือนตอนทำเอกชนค่ะ (ตอนออกเราเป็นผู้ช่วยผู้จัดการแล้ว ตอนนั้นอายุงานสี่ปีกว่าๆ) และเรารู้สึกว่ามัน work life balance ได้ดีกว่ามากๆ รู้สึกว่าตัวเองทำงานแบบมนุษย์มากขึ้น ไม่ใช่ทำแบบเครื่องจักรที่ต้อง productivity ตลอดเวลา
- ไม่เครียด เพราะบรรยากาศทำงานมันไม่เครียด อาจมีสงครามประสาทนิดหน่อยแต่ก็อย่าหันไปเล่นกับเค้าค่ะตั้งใจทำงานของเราไปเเล้วเราจะค้นพบความสุขจากการทำงาน ในความรูทีนมันก็มีความดีงามของมันอยู่ แต่เราโชคดีที่มีทั้งงานรูทีนและงานเคสพิเศษเรื่อยๆทำให้ไม่เบื่อ ได้ใช้สมองบ้างได้พักบ้างสลับกันไป
- ข้อดีสองข้อข้างต้นสำหรับเรามีน้ำหนักมากค่ะ มากพอให้กลบข้อเสียยาวหางว่าวที่เราจะเขียนต่อไปได้ และทำให้เรายังอยู่ที่นี่และตัดสินใจว่าคงทำไปจนเกษียณ ส่วนอย่างอื่นเช่นสวัสดิการ กระทู้อื่นๆคงมีเยอะแล้ว และแต่ละที่ก็ต่างกันดังนั้นเราขอไม่พูดนะคะ
ข้อเสีย
- งานเอกสาร หนังสือต่างๆ บอกเลยว่าเยอะแยะหยุมหยิมมากๆ แต่ถ้าไม่ได้ร่างหนังสือเป็นกิจวัตรก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ให้มากเกินไปนักค่ะ เพราะยังไงถ้างานด่วนจริงๆก็กล้อมแกล้มส่งเมลล์ก่อนได้ แล้วหนังสือค่อยตามมาทีหลัง (บางทีตามมาในอีกหลายเดือนให้หลัง)
- ความเฉื่อยของคน บอกเลยว่าเบื่อมาก อยู่เอกชนเราจะต้อง productivity ตัวเอง คนอื่นก็เหมือนกันที่ต้องพยายามทำงานให้ดีให้ไว แต่อยู่นี่เรื่องที่เรามองว่าง่ายบอกเลยบางทีโ*ตรยาก ต้อง due กับคนที่เค้าไม่ได้สนใจส่วนรวมอะค่ะ พอขอความร่วมมือก็ชักช้ายุรยาตร ต้องบอกก่อนว่าคนแบบนี้มีไม่เยอะนะคะ แต่คนส่วนมากที่เรา due ดันเป็นแบบนี้ เเละที่แน่ๆคือเยอะกว่าเอกชนค่ะ
- พวกลูกท่านหลานเธอ มีค่ะ แทบเดินชนกันรายวัน บอกเลยว่าเส้นสายที่นี่เยอะมากถึงมากที่สุด แต่คนที่เก่งจริงๆก็มีเยอะเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นรัฐวิสาหกิจอันดับต้นๆ คนที่เข้ามารุ่นใหม่ๆฝ่ายเรามีแต่คนจบจากมหาลัยรัฐระดับ top ของสาขาวิชาค่ะ และหัวหน้าที่เราคิดว่าเก่งสุดเท่าที่เคยทำงานด้วย ก็อยู่ที่นี่
บอกเลยว่าคนที่ขึ้นเป็นใหญ่เป็นโตได้ ไม่ใช่แค่เก่งค่ะ connection ต้องดีด้วย แต่เราเข้าใจได้นะ คือคนเราก็ต้องอยากทำงานกับคนที่ตัวเองรู้จักคุ้นเคยน่ะค่ะ ยิ่งถ้าคนนั้นทำงานได้จริงก็โอเคที่เค้าจะส่งเสริมกัน คนที่เราเห็นว่าเป็นใหญ่เป็นโตได้ บางคนก็มาสร้าง connection เอาที่นี่ค่ะ ไม่ได้มีเส้นสายก่อนเข้าทำงาน (แต่เค้าเก่งมากๆด้วย) คือคนที่นี่ต้องบอกว่าถ้าไม่เก่งก็ธรรมดาจนถึงป่วยไปเลยก็มีค่ะ
- แต่.. คนชอบถามว่าเราเส้นใคร อันนี้เป็นความเอือมส่วนตัว พอเจอบ่อยเข้าก็อยากจะตอบไปว่า เส้นรอยหยักในสมองค่ะพี่.. เลยขอนับเป็นข้อเสียด้วย
- การปรับตัว คนที่เข้ามาในฝ่ายเรามีลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่งคืออ่อนน้อม และสุภาพเรียบร้อยค่ะ ซึ่งตรงข้ามกับเราโดยสิ้นเชิง เราผู้ซึ่งถ้าไม่เห็นด้วยเราจะพูดตรงๆแบบไม่อ้อมค้อม (แต่เวลากินข้าวก็เฮฮาเป็นปกติ) แต่อยู่นี่ไม่ได้ค่ะ จะไปท้าตีท้าต่อยกับใครพึงรำลึกว่าจะต้องทำงานร่วมกับเค้าไปอีกหลายปี หรือทำไปจนเกษียณ และคนก็ไม่ได้เปิดกว้างเหมือนเอกชน ยังเอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัวอยู่ เราก็อย่าได้เอาอารมณ์มาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า แต่งานเก่าเราต้อง due กับลูกค้า เคยโดนลูกค้าด่าบ่อยจนชิน เจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องสุภาพเข้าใส่ เรื่องนี่เลยพอผ่านไปได้แบบไม่กระไรนัก แค่เจ็บนิดๆ🥲
- วิธีการทำงานที่ไม่เป็นมืออาชีพ เช่นส่งงานเเบบส่งไฟล์ ที่เหลือเราไม่คุยกันให้ไปงมเข็มเอาเอง เรื่องนี้เราเจอจนทำให้เกือบจะลาออกมาแล้วค่ะ และทุกวันนี้ก็ยังหลอกหลอนอยู่
- การพัฒนาตัวเอง มีอยู่เรื่อยๆค่ะ บ.เค้าก็ไม่อยากได้คนทำงานไม่เป็นเนอะ ก็จะมีการจัดอบรม ส่ง link ฟังบรรยายต่างๆนาๆ แต่ว่า จะฟังหรือไม่ จะได้อะไรแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราค่ะ
- แต่การจะได้งานเก๋ให้เราได้เจิดจรัสเฉิดฉาย อันนี้แล้วแต่บุญค่ะ เพราะแม้ว่าตอนอยู่เอกชนเราจะยิ่งใหญ่ฉายเเสงมาจากไหน อยู่ที่นี่จะเริ่มนับหนึ่งจากการเป็นเด็กน้อยทันที เค้าไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้คุณเคยทำอะไรมาบ้าง ดังนั้น การที่เราจะได้งาน ad hoc มีโอกาสได้หน้าได้ตา ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆค่ะ อย่างนั้นถ้าไม่มีโอกาสก็จงเสนอหน้าเข้าไปหามัน รวมถึงทำตัวเองให้เก่งในงานที่รับผิดชอบ จนคนเค้าไว้ใจ คุณค่าในตัวเราและงานที่เราทำก็จะมากขึ้นเอง เพราะปฏิเสธไม่ได้นะคะ ว่าการทำงานเราต้องมีผลงานเราถึงจะเติบโตได้
ข้อสังเกต
- เราค่อนข้างมั่นใจว่า แม้จะเป็นในยุค technology disruption แต่บ.จะไม่เอาเราออกง่ายๆแน่นอน ก็ถือว่ามีความมั่นคงระดับนึงในยุคสมัยนี้นะคะ
- ทุกวันนี้ยังไม่หมดไฟในการทำงานนะคะ มีเรื่องให้ปวดเศียรเวียนเกล้าเรื่อยๆ แก้เบื่อได้ดีค่ะ และอย่างที่กล่าวไปว่ารอบตัวเรามีคนเก่งเยอะอยู่ พอพูดไปเค้าก็ฟัง เลยยังรู้สึกโอเคกับการทำงาน แต่คงต้องทำใจเรื่องผลตอบแทนที่ว่า คนเก่งกับคนไม่เก่งได้ตำแหน่งเท่ากัน เพราะช่วงเริ่มต้นไปถึงระดับกลางๆ แทบจะเลื่อนขั้นอัตโนมัติ ต้องทำใจกับระบบนี้ค่ะ แต่แง่ดีของมันก็คือที่เรากล่าวไว้ใน bullet ข้างบน
- คนที่นี่เน้นทำงานเสริมนะคะ เพราะอะไรให้หันไปดูอัตราเงินเดือนในประกาศรับสมัครพนักงาน ดังนั้นแม้งานจะชิลแต่ถ้าคนขี้เบื่อสุดท้ายก็ต้องหาอะไรทำ ไม่ว่างอยู่ดีค่ะ
- รัฐวิสาหกิจไม่มีบำนาญค่ะ เกษียณไปก็จบกัน หลังหกสิบคุณดูแลตัวเอง ดังนั้น เราจะได้ประโยชน์ก็ตอนที่ป่วยกับพ่อแม่ป่วย แต่เอาเข้าจริงเท่าที่เห็นก็ประโยชน์เรื่องสวัสดิการพ่อแม่นี่ล่ะค่ะที่น่าสนกว่าเพื่อน เพราะคนส่วนมากตอนทำงานก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ จะเป็นก็ตอนเกษียณไปแล้ว ทีนี้แหละ โรคมาเพียบ
- เป็นงานที่เหมาะกับคนมีสายป่านหรือฐานะทางบ้านดีในระดับหนึ่ง ไม่งั้นชีวิตลำบากนะคะ เพราะเงินเดือนค่อนข้างน้อย พอย้ายจากเอกชนคุณจะค้นพบความเครียดใหม่คือเครียดเรื่องเงินค่ะ นี่เรื่องจริงเลย ตอนอยู่เอกชนเราไม่เคยเครียดเรื่องเงินมาก่อนคิดแต่เรื่องเอาเงินไปเที่ยวไหนดี อยู่นี่ด้วยความที่เงินเดือนไม่สูงมาก ก็ต้องบริหารจัดการให้ดีค่ะ
- การปล่อยวาง บอกเลยว่าอยู่ที่นี่ปล่อยวางเก่งขึ้นมาก มองเห็นเรื่องราวต่างๆทั้งที่เกิดกับตัวเองและรอบตัวเป็นเหมือนละครฉากหนึ่ง อย่าไปอินกับมันมากค่ะ ไม่งั้นเราจะเครียดได้ ต้องปล่อยวางให้เร็ว หาคนที่ไว้ใจได้สักคนที่เข้าใจเราและจุดอ่อนขององค์กรมาพูดคุยปรับทุกข์ เพราะบางทีตรรกะของคนที่นี่เราไม่เข้าใจและก็ไม่อยากเข้าใจค่ะ ทำได้แค่ยอมรับและอย่าเป็นแบบนั้นบ้างก็พอ
อันนี้เท่าที่นึกออกนะคะ คิดว่าน่าจะทำให้เห็นภาพคร่าวๆได้ ความคิดเห็นด้านล่างก็มีเยอะอยู่ ขอบคุณทุกคนที่ตอบนะคะ 😊
เราว่าที่สำคัญคือการปรับตัวและการยอมรับค่ะ แล้วเราจะอยู่ได้
เป็นกำลังใจให้คนที่อยากสอบเข้ารัฐวิสาหกิจทุกคนนะคะ จำไว้ว่า เราไม่จำเป็นต้องมีเส้นจึงจะได้งานค่ะ (แต่มีย่อมดีกว่า 55)
ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไร สอบถามหรือคอมเม้นไว้ได้เลยนะคะ ถ้าตอบได้ก็ยินดีตอบค่า