เนื่องจากในช่วงวันที่ 1-15 กุมภาฯนี้ ถ้าเราใช้จ่ายด้วยบัตรเดบิท ซึ่งในราคาสินค้าจะมีภาษีมูลค่าเพิ่มแฝงอยู่ในราคาที่เราจ่าย 7% รัฐบาลมีนโยบายที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงนี้ จึงจะคืนภาษีให้ คืนให้ 5% เหลือเก็บเพียงแค่ 2% แต่เราต้องจ่ายไปก่อนตอนซื้อในราคาเต็ม จะได้คืนในเดือนพฤศจิกายน โดยจะคืนให้เราโดยฝากเข้าบัญชีธนาคารของเรา ซึ่งบัญชีนั้นต้องเป็นบัญชีซึ้งเราเอาเลขบัตรประชาชนไปผูกไว้กับพร้อมเพย์(เพราะบัญชีพร้อมเพย์จะไม่ต้องเสียต่าธรรมเนียมในการโอน บัญชีธรรมดาอาจจมีค่าธรรมเนียม)
หลักการแบบนี้เหมือนกับเวลาที่เราไปซื้อของที่ต่างประเทศ ถ้าเราซื้อของครบจำนวนตามที่เขากำหนด เราจ่ายเงินไปเต็มจำนวนแล้ว เราก็เอาหลักฐานการชำระเงินพร้อมพาสปอร์ดไปขอคืนภาษี(refund)ที่จุดที่เขากำหนด เขาก็เงินคืนเงินภาษีที่แฝงอยู่ในราคาสินค้าคืนให้กับเรา ของจึงถูกลงครับ เป็นหลักการแบบเดียวกัน
การที่จะได้ภาษีคืนเราต้องลงทะเบียนก่อน โดยเราต้องมีบัตรเดบิทก่อน บัตรเดบิทจะผูกกับบัญชีธนาคาร เวลาเราชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเดบิท เงินจะถูกตัดออกจากบัญชีเราทันทีที่เราซื้อ บัญชีนี้เราจะต้องผูกไว้กับพร้อมเพย์ด้วยเพื่อการคืนภาษี นอกจากมีบัตรแล้ว ต้องผูกบัญชีเงินฝากนี้ไว้กับพร้อมเพย์บัตรประชาชน เพื่อการคืนภาษีเข้าบัญชีครับ
ผมเองก็ลงทะเบียรแล้ว ใช้เลขที่บัญชีเงินฝากบวกเลขบัตรเดบิทของบัญชีนั้น เขาให้ลงทะเบียนได้ถึง 10 บัตร แต่อย่างน้อยต้องมี 1 บัตรก่อน ต้องมีอีเมล แค่นี้ครับ ยอดเงินที่จะได้คืนคนละไม่เกิน 1 พันบาท ซึ่งแสดงว่าเราต้องใช้จ่ายในการซื้อของ 2 หมื่น 1 พัน 4 ร้อยบาท ถ้าใช้จ่ายมากกว่านี้ก็ได้คืนแค่ 1 พันบาทต่อคน อันนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นของฟรีครับ ไม่ต้องใช้จ่ายมากมายอะไร ใช้จ่ายตามปกติก็ได้คืนกลับมา ผมคิดว่าถ้าเรามีบัตรเดบิทก็ควรจะลงทะเบียนไว้ครับ ไม่มีข้อเสียหายใดๆ แต่สินค้าและบริการที่จะได้เงินคืนมา ตั้งต้นต้องเป็นสินค้าและบริการที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มแฝงอยู่ก่อน ตั๋วเครื่องบินทั้งในและต่างประเทศ ไม่มีแวตแฝงอยู่ จึงไม่มีทางได้เงินคืน ตำราเรียนก็เช่นกัน ซื้อทัวร์ไปต่างประเทศ ถ้าเป็นบริษัทที่จดแวต เราจึงจะได้เงินคืนมา ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ผมชอบนโยบายนี้ครับ ไม่ใช่ว่าจะใช้จ่ายซื้อข้าวซื้อของมากมาย ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันตามปกติ ก็สามารถได้คืนมา จะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร ถือเป็นส่วนลดที่รัฐบาลคืนให้กับทุกคนครับ ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย มีสิทธิเท่าเทียมกันครับ
ต้องลงทะเบียรภายใน 31 มกราคมนี้นะครับ ลงทะเบียนที่ www.epayment.go.th ลงทะเบียนเสร็จจะได้รับแจ้งทางอีเมลยืนยันจากทางกระทรวงการคลัง
ลงทะเบียนบัตรเดบิท เพื่อได้รับภาษีคืน
หลักการแบบนี้เหมือนกับเวลาที่เราไปซื้อของที่ต่างประเทศ ถ้าเราซื้อของครบจำนวนตามที่เขากำหนด เราจ่ายเงินไปเต็มจำนวนแล้ว เราก็เอาหลักฐานการชำระเงินพร้อมพาสปอร์ดไปขอคืนภาษี(refund)ที่จุดที่เขากำหนด เขาก็เงินคืนเงินภาษีที่แฝงอยู่ในราคาสินค้าคืนให้กับเรา ของจึงถูกลงครับ เป็นหลักการแบบเดียวกัน
การที่จะได้ภาษีคืนเราต้องลงทะเบียนก่อน โดยเราต้องมีบัตรเดบิทก่อน บัตรเดบิทจะผูกกับบัญชีธนาคาร เวลาเราชำระค่าสินค้าด้วยบัตรเดบิท เงินจะถูกตัดออกจากบัญชีเราทันทีที่เราซื้อ บัญชีนี้เราจะต้องผูกไว้กับพร้อมเพย์ด้วยเพื่อการคืนภาษี นอกจากมีบัตรแล้ว ต้องผูกบัญชีเงินฝากนี้ไว้กับพร้อมเพย์บัตรประชาชน เพื่อการคืนภาษีเข้าบัญชีครับ
ผมเองก็ลงทะเบียรแล้ว ใช้เลขที่บัญชีเงินฝากบวกเลขบัตรเดบิทของบัญชีนั้น เขาให้ลงทะเบียนได้ถึง 10 บัตร แต่อย่างน้อยต้องมี 1 บัตรก่อน ต้องมีอีเมล แค่นี้ครับ ยอดเงินที่จะได้คืนคนละไม่เกิน 1 พันบาท ซึ่งแสดงว่าเราต้องใช้จ่ายในการซื้อของ 2 หมื่น 1 พัน 4 ร้อยบาท ถ้าใช้จ่ายมากกว่านี้ก็ได้คืนแค่ 1 พันบาทต่อคน อันนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นของฟรีครับ ไม่ต้องใช้จ่ายมากมายอะไร ใช้จ่ายตามปกติก็ได้คืนกลับมา ผมคิดว่าถ้าเรามีบัตรเดบิทก็ควรจะลงทะเบียนไว้ครับ ไม่มีข้อเสียหายใดๆ แต่สินค้าและบริการที่จะได้เงินคืนมา ตั้งต้นต้องเป็นสินค้าและบริการที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มแฝงอยู่ก่อน ตั๋วเครื่องบินทั้งในและต่างประเทศ ไม่มีแวตแฝงอยู่ จึงไม่มีทางได้เงินคืน ตำราเรียนก็เช่นกัน ซื้อทัวร์ไปต่างประเทศ ถ้าเป็นบริษัทที่จดแวต เราจึงจะได้เงินคืนมา ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ผมชอบนโยบายนี้ครับ ไม่ใช่ว่าจะใช้จ่ายซื้อข้าวซื้อของมากมาย ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันตามปกติ ก็สามารถได้คืนมา จะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร ถือเป็นส่วนลดที่รัฐบาลคืนให้กับทุกคนครับ ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย มีสิทธิเท่าเทียมกันครับ
ต้องลงทะเบียรภายใน 31 มกราคมนี้นะครับ ลงทะเบียนที่ www.epayment.go.th ลงทะเบียนเสร็จจะได้รับแจ้งทางอีเมลยืนยันจากทางกระทรวงการคลัง