เมื่อฉันป่วยเป็นโรคจิตเวช 5 ปี และหายได้ภายใน 6 เดือน

กระทู้​ที่แล้วปลิว เพราะมีการลงรายละเอียดประชาสัมพันธ์​ไว้ ผมไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น จึงลบข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป เหลือแต่เนื้อหาที่ตั้งใจจะแชร์ประสบการณ์​มากกว่าครับ

เรื่องราวที่ผมจะนำมาแชร์ครั้งนี้ มาจากเฟสบุ้คของพี่คนหนึ่งที่ผมรู้จัก เราเจอกันเมื่อ 1 ปีก่อน และผมได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในตัวแก น่าจะเป็นแรงบันดาลให้กับหลายๆ คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ จึงอยากนำมาถ่ายทอดให้คนอื่นๆ ได้ฟังบ้างครับผม

ผมได้ขออนุญาตนำเรื่องของแกมาลง Pantip ซึ่งแกก็ยินดี (จริงๆ แล้วแกไม่รู้จัก Pantip ด้วยซ้ำ) โดยขออนุญาตจะไม่เปิดเผยชื่อจริง อาชีพของพี่เค้าครับ…..


“สวัสดีค่ะ วันนี้ฉันมีเรื่องอยากจะมาเล่าให้ทุกคนได้ฟัง โดยเฉพาะคนที่มีอาการแบบเดียวกับฉัน คนภายนอกจะมองฉันเป็นคนร่าเริงคนหนึ่ง มีหน้าที่การงานที่ดี หาเงินเก่ง ฉันมีเงินเก็บพอสมควรในการสร้างเนื้อสร้างตัวค่ะ แต่ที่ไม่เข้าใจเลยคือว่า ก่อนนอนฉันจะเปิดตู้เซฟเพื่อเก็บเงิน และเห็นมันเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ภายในใจฉันทำไมกลับไม่มีความสุขเลย ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ไหนกัน

ฉันเอาความคาดหวังไปไว้ที่คนรอบข้างฉันทั้งหมด ทำไมสามีถึงไม่ทำอย่างนั้น ทำไมลูกถึงต้องทำอย่างนี้ ทำไมไม่เข้าใจความต้องการของฉันบ้างเลย ดูเหมือนทุกคนจะทำสวนทางกับสิ่งที่ฉันต้องการหรือคาดหวังให้พวกเขาเป็นทั้งหมด นั่นเป็นสาเหตให้เราต้องทะเลาะกันบ่อยๆ ตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นคืออาการทางจิตชนิดหนึ่ง

ย้อนไปเมื่อ ปี 2557 ตอนนั้น ฉันอายุ 37 ปี ฉันเริ่ม มีอาการทางจิตเวช มีภาวะนอนไม่หลับ เครียด ไม่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ ฉันแก้ปัญหาโดยไประบายกับคนสนิท, โทรหาเพื่อน, ดื่มไวน์ วนเวียนอยู่อย่างนี้ อาการของโรคนี้ไม่มีวี่แววจะหายเลยค่ะ ฉันเป็นๆหายๆมาเรื่อยๆ จนฉันอายุ 41 ปี อาการฉันเริ่มหนักขึ้นมาเรื่อยๆๆ จนฉันร้องไห้อยู่คนเดียวบนเตียงไม่มีใครรู้ มันทนไม่ไหว ฉันมีอาการกลัวเวลากลางคืน เพราะฉันไม่สามารถหลับได้ ฉันไม่เคยเล่าให้สามีรู้เลยว่าฉันเป็นแบบนี้มานานแล้ว

จนวันหนึ่งฉันตัดสินใจเล่าให้เขาฟัง สามีฉันตกใจและเขานิ่งมาก บอกกับฉันว่า เธอต้องไปหาหมอ ฉันอายที่จะไปหาหมอ เพราะฉันกลัวคนอื่นๆ จะว่าฉันบ้า ฉันใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะไปหาหมอจิตเวชพร้อมสามี

คุณหมอสรุปว่าฉันเป็น โรควิตกกังวลขั้นกลาง และมีภาวะซึมเศร้า หมอรักษาฉันตามอาการและให้ยา มา 3-4 ประเภท ยาช่วยให้ฉันหลับจริงค่ะ และอาการตอนตื่นนอนจะรู้สึกไม่สดชื่นยังไงบอกไม่ถูก เหมือนโดนบังคับให้นอน ฉันทานยาหมอมาเกือบ 1 ปี ใช่มันทำให้ฉันหลับได้ แต่เป็นสภาวะของคนเซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง ฉันถามหมอว่า เมื่อไหร่ที่ฉันจะเลิกใช้ยา หมอบอกว่า ฉันต้องทานไปอีก 3-4 ปี ฉันไม่อยากทานยาหมออีกต่อไปเพราะคิดว่ายังไม่ใช่ทางออกสำหรับฉัน จึงมานั่งคิดว่า อาการที่ฉันเป็นคือโรคทางจิตใจ ฉันก็ต้องรักษาที่จิตใจของฉัน แต่ประเด็นคือฉันไม่รู้วิธีการรักษา แล้วจะทำอย่างไร???

พอดีช่วงนั้น มีเพื่อนของเพื่อนมาชวนให้ฉันไปเรียนสมาธิ ฉันเลยตัดสินใจเรียนโดยไม่ถามข้อมูลอะไรสักอย่างฉันแค่อยากจะหายจากโรคจิตเวชที่ฉันเป็นเท่านั้น  คิดว่าถ้าได้เรียน มันอาจจะดีขึ้น อย่างน้อยถ้ายังหาหนทางอื่นไม่ได้ก็จะลองดู

หลักสูตรนี้มีให้เลือกเรียน จันทร์ถึงศุกร์ และภาคเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งฉันเลือกจันทร์ถึงศุกร์ เพราะด้วยหน้าที่การงานของฉันสามารถบริหารจัดการเวลาช่วงนั้นได้ เริ่มเรียนเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ของปี 2561 โดยจะมีครูมาสอนก่อน 30 นาที และต่อด้วยเทปบรรยายของหลวงพ่อ แล้วต่อด้วยนั่งสมาธิและเดินจงกลมอย่างละ 30 นาที

ยอมรับว่าช่วงแรกๆ ยังวิตกกังวลอยู่ว่าเราจะทำได้ไหม เพราะเราไม่เคยนั่งสมาธิแบบจริงจังมาก่อน แต่การมาเรียนทุกวันนั้นค่อยๆ ทำให้ฉันปรับตัวและชินกับมัน เหมือนการออกกำลังกายทุกวันร่างกายก็จะชินไปเอง ไม่ต่างกันกับการทำสมาธิค่ะ ผ่านไปประมาณ 1 เดือน วันนั้นพระอาจารย์หลวงพ่อ สอนเกี่ยวกับ “อารมณ์ความรู้สึก” มันเป็นครั้งแรกที่ฉันขนลุกมาก เหมือนทุกอย่างมันตรงกับฉัน มันคลี่คลาย ฉันเริ่มนอนหลับได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องใช้ยา  โดยเน้นการเดินจงกรม และนั่งสมาธิก่อนนอน นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อ จิตใจผ่อนคลายมากขึ้นเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องโดนบังคับให้ต้องนอน  นับตั้งแต่วันนั้น ฉันพยายามเคลียร์งาน เคลียร์คิวลูก ให้ตัวเองไปเรียนได้มากที่สุด ปกติต้องไปรับลูกจากโรงเรียน  ก็นำลูกมาที่สถาบันเลยให้คุณลูกนั่งทำการบ้านอยู่หลังห้อง รอคุณแม่เรียน (ที่นี่มีอาหารเลี้ยงค่ะ ดูแลอย่างดี ^^)  คุณเชื่อมั้ยว่า ภายใน 6 เดือน เมื่อจบหลักสูตร ฉันไม่ต้องไปหาหมออีกเลย เพราะไม่ต้องกินยาพวกนั้นอีกแล้ว

และนี่คือสาระสำคัญของเรื่องราว ที่ฉันอยากจะแบ่งปันให้คนที่เป็นโรคทางจิตเวชรู้ว่า โรคทางจิตเวชสามารถ หายได้จากการนั่งสมาธิค่ะ เพราะฉันได้ฝึกและเรียนหลักสูตรครูสมาธิของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ฉันหายค่ะ ขอให้พวกคุณ จงมีความหวังและสู้กับมัน

ประโยชน์แน่ๆ ของสมาธิที่ฉันได้รับคือ ทำให้ฉันนอนหลับ สิ่งที่ตามมาคือ ฉันรู้สึกหงุดหงิดน้อยลง สามีและลูกๆบอกว่าฉันไม่ใจร้อนเหมือนเมื่อก่อน จะว่าจิตใจฉันอ่อนโยนขึ้นก็ได้นะ  ฉันมีความรอบคอบมากกว่าเดิมหมายถึงในทางอารมณ์น่ะค่ะ อย่างปกติเวลาลูกน้องทำผิด เมื่อก่อนเราจะรีบโพล่งตวาดออกไปเลย ก็จะหยุดและพิจารณาว่าพวกเขาก็มีเหตุผลแตกต่างกันที่จะทำผิดพลาดได้ ฉันจึงสงบและค่อยๆ พูด  นั้นทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้น เราไม่ต้องไปคาดหวัง หรือฝากความหวังไว้กับใครอีกต่อไป ทุกวันนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี งานที่ฉันทำได้ผลตอบแทนน้อยลงตามวัฏจักรของมัน แต่มันก็พออยู่ได้ และฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าทุกข์หรือเดือดร้อนอะไรเลย

นี่แหล่ะผลพลอยได้ของสมาธิ มันอาจจะดูฉันพูดโอเวอร์เกินเหตุ แต่นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตฉันจริงๆ นะ สมาธิทำให้ครอบครัวของฉันมีความสุข สามีและลูกๆ ของฉัน คุยกันภายในครอบครัวอย่างมีความสุข ลูกๆ ของฉันเชื่อฟังแม่มากขึ้น (เพราะแม่เค้ามีเหตุผลมากขึ้นด้วยแหล่ะนะ ^^)

ที่ไม่น่าเชื่อเลยคือ ระหว่าง 6 เดือนที่เรียน ลูกๆ ไม่มีวี่แววว่าจะมานั่งสมาธิอะไรเหมือนกับฉันเลย โชคดีหน่อยที่พวกเขาเป็นเด็กที่รู้กาละเทศะ ไม่ส่งเสียงดังเวลาเรียน ได้แต่นั่งเงียบๆ  พวกเขาได้เขาไปนั่งอยู่ในห้องเรียน ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่มันซึมซับ จนตอนนี้พวกเขานั่งสมาธิกับแม่ได้ เพียงแต่ เด็กๆ นั่งได้ ไม่นาน ไม่เกิน 10 นาที และที่สำคัญสมาธิ ทำให้ฉันสร้างกำลังใจได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปหวังพึ่งผู้อื่น อีกต่อไป ฉันกลายเป็นคนเดิมที่มีใจใหม่ มีพลัง อยากจะช่วยเหลือคนที่เขาเจอปัญหาอย่างฉันและปัจจุบันฉันได้ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญ เปิดรับนักศึกครูสมาธิ รุ่นที่ 44 อยู่ ฉันทำด้วยจิตใจ แจ่มใส เบิกบาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่ฉันได้รับเกิดจากผลบุญในการนั่งสมาธิ จนทำให้ฉันเปลี่ยนไป หวังว่า เรื่องราวของฉันจะเป็นประโยชน์ แก่พวกคุณนะค่ะ ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ และปัญหาจะเป็นจุดพัฒนาเรา ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่