สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 106
เราเป็นผู้หญิงนะคะ อยู่บ้านเดียวกับแฟนค่ะ คบกันมา 2ปีกว่า อยู่ด้วยกันมาปีกว่าค่ะ
แฟนเงินเดือน 120,000 บาทค่ะ อายุ 29 ย่าง 30
ส่วนเราอายุ 24 ย่าง 25 สมัยทำงาน เงินเดือน 55,000 บาท และได้ค่าขนมจากแฟนเดือนละ 5,000-10,000 บาท
บ้าน. เช่าอยู่ค่ะ แต่เจ้านายจ่ายให้ (แฟนกับเราอยู่บริษัทเดียวกันค่ะ)
รถ. แฟนมีรถเป็นของตัวเองค่ะ ส่วนเราไม่มี อาศัยเรียกแกร๊บหรือแท็กซี่เวลาไปไหนคนเดียว
เคยออกจากงานหลังอยู่กินกับแฟนค่ะ เนื่องจากอยากพักผ่อน แต่ออกได้แค่ 4เดือน ตอนนี้กลับมาทำงานแล้วค่ะ
เหตุผลหลักเลยที่เริ่มทำงานอีกครั้ง
1. รู้สึกสมเพชตัวเองค่ะ
เพราะ แต่ก่อนที่เราทำงาน เราจะชอบซื้อของเข้าบ้านตอนเย็นหลังเลิกงาน เช่น ซื้อของเข้าตู้เย็น หรือซื้อเครื่องอาบน้ำ, ซื้อน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ซึ่งเราจะชอบเน้นราคาสูงนิดนึงค่ะ แต่พอหยุดทำงาน แน่นอนว่าเงินก็ต้องหมดลง ก็เริ่มหาเลือกซื้อของใช้ที่ราคาถูกลง เช่น น้ำยาล้างจานจากที่ใช้ ขวดเล็ก 150 กว่าบาท ก็หันมาใช้ น้ำยาล้างจานแบบเติม 32 บาท หรือน้ำยาปรับผ้านุ่มราคาแพงๆหอมๆ ก็เปลี่ยนมาใช้แบบ 19 บาท หรือจากที่ชอบซื้อของในวิลล่า ก็หันมาเข้าแต่โลตัสค่ะ (( ในส่วนนี้ ตอนนี้ เราภูมิใจค่ะ เพราะพอผ่านวิกฤตนั้นมา มันกลายเป็นการช่วยเราลดค่าใช้จ่ายลง จน ณ วันนี้ เราก็ยังชอบเข้าโลตัสแทนวิลล่าแล้วค่ะ )) ซึ่งในเวลานั้น เรารู้สึกอายหน่อยๆค่ะ เพราะที่บ้าน จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ จากที่ต้องผสมเดทตอล หรือน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ ก็กลายเป็นไม่ต้องใช้ จากน้ำยาอะไรดี แชมพูดีๆ ก็กลายเป็นซื้อธรรมดาๆ หรือเรื่องซื้อหมู ก็ซื้อของโลตัสแทนซื้อหมูของเบทาโกร (แต่อย่างที่บอก ตอนนี้หันมากินหมูโลตัสหมูบิ๊กซีแล้วค่ะ ผักบิ๊กซีก็สดและสวยไม่แพ้วิลล่าค่ะ) แต่ตอนนั้น เราคิดแค่ว่าอาย พอมันอายหลายๆครั้ง เราเริ่มไม่ค่อยอยากออกไปซื้อของค่ะ กลายเป็น ตู้เย็นเริ่มว่าง น้ำยงน้ำยาขาดบ่อย ประมาณหมดก็ไปซื้อจากเซเว่นมาแทน แฟนก็เลย อ๋อ เพิ่งคิดได้ว่าการจับจ่ายในบ้าน ต้องใช้เงิน นางก็ให้เงินค่ะ จากค่าขนมห้าพันบ้างหนึ่งหมื่นบ้าง ก็กลายเป็นให้ 2 หมื่นบาทถ้วน รวมค่าส่วนตัวและซื้อของจุกจิก มันเลยกลายเป็นทุกวันนี้ เซฟตัวเองได้ว่า จับจ่ายในบ้านเดือนละ 2หมื่นก็พอ จนมันเป็นระบบแล้วค่ะ แต่แต่แต่ ไอ้2หมื่น มันพอแค่จับจ่ายในบ้านค่า มันไม่พอต่อค่าเครื่องสำอางหรือจุกจิกส่วนตัวค่ะ ไม่พอไปเที่ยวสังสรรค์อะไรข้างนอก ถ้าเราอยากไปเที่ยว เราต้องขอเงินแฟน อยากได้เครื่องสำอางเซรั่มดีๆ ต้องขอเงินแฟน แฟนเราก็ให้ทุกครั้งนะคะ ไม่มีอิดออด ขอปุ้ปให้ปั้ป ให้เกินราคาด้วยค่ะ เราก็เลยกลายเป็น เห็นหน้าแฟน เอะอะก็ขอเงิน จนวันนึง เห็นแฟนกลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ เราก็ไม่กล้าขอเงิน มันรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาทันทีเลยค่ะ จากนั้น เราก็เลิกขอ อะไรส่วนตัว เที่ยวหรือเครื่องสำอาง หมดคือหมด ไม่ค้องใช้ คลินิกผิว ไม่ต้องไป จนมันมากลายเป็น
2. เก็บตัว ไม่มีสังคม
หลังจากที่เราได้รับเดือนละ 2หมื่น มันพอต่อการจับจ่ายในบ้าน คือมันพอดีแต่จับจ่ายในบ้านจริงๆ ไม่พอให้เราใช้สอย เราก็ไม่ใช้ค่ะ เพราะเลิกขอเงินไปแล้ว แฟนก็คิดว่าเราบริหารจัดการเงินจากในส่วนนั้นมาใช้ส่วนตัวด้วย แฟนก็เลยคิดว่าพอ ไม่ได้ให้อะไรเพิ่มค่ะ เราก็เลยใช้ชีวิตตามประสาเรา อยู่แต่ในบ้าน เริ่มปล่อยตัวเอง ไม่แต่งตัว วันๆอยู่แต่ในบ้าน ติด Netflix เริ่มไม่อาบน้ำ เริ่มขี้เกียจ เพื่อนโทรมาชวนไปไหน ไม่ไป ลามไปถึง แฟนชวนไปไหน ไม่ไป เพราะไม่อยากแต่งตัวออกไปไหน อยู่บ้านเสื้อยืด หน้ามัน รู้สึกมันสบายสุดๆ กลายเป็น ไม่อยากให้ใครมาบ้าน ไม่อยากพบใคร เพราะสภาพเราบางทีทั้งวันไม่แปรงฟันไม่อาบน้ำก็มี นอนดูทีวีโนบราทั้งวัน แฟนก็เลยเริ่มสังเกตว่าเราไม่มีสัมคม จากที่เพื่อนน้อยแล้ว เลิกทำงาน เพื่อนร่วมงานก็ไม่มีไรให้คุยอีก ก็เลยเลิกติดต่อตามกาลเวลา พอเริ่มเก็บตัว ติดแต่ในบ้าน มันเปลี่ยนนิสัยเราค่ะ..
3. ขี้เกียจ, อารมณ์รุนแรง ไม่ร่าเริง
ขี้เกียจอาบน้ำ ขี้เกียจทำกับข้าว (เพราะในตู้เย็น ไม่ค่อยจะมีอะไรให้ทำแล้วค่ะ) อยู่กับตัวเองทั้งวัน พอแฟนกลับมาเห็นสภาพเรา ก็ต้องบ่นค่ะ ทำไมไม่อาบ ชวนไปไหนไม่ไป แม้แต่เซเว่นอยู่ในหมู่บ้านเองก็ยังไม่ไปเลยค่ะ แฟนก็รู้สึกว่าเราขี้เกียจ สกปรก เราก็รู้สึกได้ค่ะ แต่คิดว่า แล้วไง ยังไงก็ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้เจอใคร และที่หนักสุดคือ เราเริ่มไม่ค่อยยิ้มแย้ม ไม่ค่อยชวนแฟนคุยแล้วค่ะ อาจจะเพราะสังคมเรามันต่างกัน สมัยก่อนไปทำงานด้วยกัน มันก็มักจะมีเรื่องให้เมาท์สนุกสนานทุกวัน แต่พอเราอยู่แต่กับบ้าน ก็ไม่ได้ทำอะไร ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้เล่า ก็เลยกลายเป็นเงียบๆไป พูดคำต่อคำอยู่แค่นั้น พอพูดคุยกันน้อย จำนวนการยิ้มก็น้อยลง (แฟนเราชอบเรา เพราะเราเป็นคนร่าเริง พูดเยอะ ตัวแฟนเองเป็นคนชอบหัง ไม่ค่อยพูดค่ะ) บรรยากาศในบ้านเริ่มเย็นชาขึ้นค่ะ จนหลังๆ แฟนเริ่มมีสังสรรค์นอกบ้าน มันเลยกลาย..
4. ทะเลาะ
บริษัทเราบรรดาเจ้านายเค้าจะชอบอยู่เป็นครอบครัวค่ะ บ้านก็เช่าติดๆกัน ไปไหนไปด้วยกัน จริงๆ มันก็ไม่ได้บ่อยขึ้นหรอกค่ะ แต่ด้วยว่า ตัวเราไม่ไป แฟนไปคนเดียว ก็เลยเริ่มรู้สึกว่า ทำไมออกไปกินเหล้าบ่อย บ้านก็กลับเึก (ถ้าไปด้วยกัน ก็ดึกด้วยกัน มันก็จะไม่มีปัญหาค่ะ อิอิ) แฟนเราไปสังสรรค์ เราไม่เคยว่าค่ะ เพราะแฟนเค้าก็เป็นแบบนี้ก่อนคบเรา คบกัน เราก็ไปด้วยกัน แค่ช่วงนั้น เราหมกอยู่แต่กับบ้าน เพราะเราก็ออกจากงานแล้ว ไม่รู้จะไปบ้านเจ้านายทำไม ก็เลยปล่อยเค้าไปคนเดียวค่ะ พอหลายๆครั้งเข้าจนรู้สึกว่า เอ้ะ มันดึกไปนะ ตีสอง ตีสี่ ก็ยังไม่กลับบ้าน จริงๆแค่ไปกินบ้านหลังถัดไปเอง แต่มันก็เป็นบ่อเกิดของการทะเลาะกัน งอลกันบ่อยขึ้น อาจเป็นเพราะเราใช้เวลาอยู่บ้านคนเดียวทั้งวัน ตอนเย็นก็หวังว่าจะมีเค้าอยู่ แต่กลายเป็นต้องอยู่คนเดียว เริ่มกลายเป็น..
5. ความน้อยใจ
จริงๆก่อนนั้น เราแทบจะไม่ค่อยทะเลาะกัน ถึงแม้ว่าทะเลาะ ก็คุยด้วยเหตุผล 5 นาทีก็ดีกันแล้ว แต่ทำไมตอนนั้น มันรู้สึกว่าตัวเองไร้เหตุผล เอาแต่ใจ อยากเอาชนะ มันอาจจะเป็นการเรียกร้องความสนใจทางอ้อม เนื่องจากน้อยใจที่เค้าไปสังสรรค์ข้างนอก ทิ้งเราอยู่บ้านคนเดียวทั้งวัง พอน้อยใจ ก็เริ่มงอแง ก็วกกลับมาทะเลาะกันอีก
6. กลายเป็นเหมือนคนซึมเศร้าไปเลยค่ะ จริงๆเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรคซึมเศร้าจริงๆ มันเป็นยังไง แต่รู้แค่ว่า เริ่มไม่อยากเจอใคร เริ่มไม่พูด เริ่มนอนทั้งวัน รู้สึกตัวเองไร้ค่า เริ่มคิดว่าเราอยู่ไปทำไม วันๆไม่มีจุดหมายในชีวิตเลยค่ะ
จนวันนึง ไหนๆเราก็นอนอยู่บ้านทั้งวัน เปิดแอร์ทั้งวัน ค่าไฟก็ขึ้นเอาๆ (ช่วงนั้นเดือนละ 5พันกว่าบาทเลยค่ะ จากปกติตอนนี้ 2,000) สมัยก่อนค่าไฟนี่ ใครเห็นบิลก่อนก็จ่ายก่อน แต่พอหลังเลิกทำงาน ทำให้ขาดรายได้ เข้าช่วงเดือนที่ 3 เราก็ไม่มีเงินเพียงพอต่อการจ่ายในส่วนนี้ค่ะ ทำให้ต้อง “ขอ” เงินจากแฟนมาจ่ายแทน ซึ่งการ “ขอ” แต่ละครั้ง มันทำให้เราคิดว่า เรานี่โตขนาดนี้ ยังต้องมาแบมือขอตังอยู่อีก เอาวะ หารายได้เล็กๆน้อยๆ (เราเป็นล่ามค่ะ) รับจ๊อบแปลเอกสารเีกว่า ทำอยู่กับ ก็โพสต์ไป มีคนติดต่อมา นอกจากงานแปล เค้าจ้างงานล่ามด้วย เราก็เออ รับก็รับวะ พอเริ่มหันกลับมาทำงาน มีอะไรทำเป็นของตัวเอง รู้สึกได้เลยว่ากลับมามีชีวิตชีวา สดใสขึ้น
ทางบริษัทพอรู้ว่า เอ้า เรารับงานนอก ก็ติดต่อผ่านแฟน บอกถ้าพักผ่อนพอแล้ว ก็กลับมาทำงานเหมือนเดิมซะ เดี๋ยวเพิ่มเงินเดือนให้
ทุกวันนี้ กลับมาทำงานแล้วค่ะ และไม่คิดจะออก เพราะเงินเดือน 80,000 บาท รู้สึกคุ้มที่จะตื่นไปทำงาน ตอนนี้แพลนว่าจะทำงานไปด้วย ควบธุรกิจร้านอาหารไปด้วยค่ะ
จากการลาออกจากงานมาอยู่บ้าน ได้บทเรียนสำหรับเราหลายอย่างเลยค่ะ
1. รู้คุณค่าในตัวเอง หาเงินใช้เอง แฮปปี้มากค่ะเวลาเงินเดือนออก
2. มีสังคม สังสรรค์ มีเพื่อนร่วมงาน ไม่เหงาโดดเดี่ยวแล้วค่ะ
3. ความสัมพันธ์กับแฟน กลับมาดีเหมือนเดิมค่ะ พอทำงาน เราก็ไม่ค่อยหมกมุ่นกับแฟน ไปไหนไปด้วยกัน แฮปปี้ค่ะ
4. กลับมาดูแลตัวเอง เพราะต้องแต่งหน้าแต่งตัวไปทำงาน รู้สึกว่าสวยขึ้นค่ะ และใครๆก็คิดว่าเราเท่มากเวลาแปลภาษาได้แม่นยำและรวดเร็ว มันเหมือนเป็นความภูมิใจต่ออาชีพของตัวเราเอง อิอิ
5. รู้จักประหยัด จากที่ต้องของแพงๆ หันกลับมาเลือกของจากคุณภาพแทนราคา ของถูกและดีเหมือนของแพง มีเยอะแยะเลยค่ะ
6. รู้จักอดออมค่ะ เพราะช่วงนั้น ผ่านไปเดือนเดียว เราก็โบ๋เบ๋ ไม่มีเงินใช้แล้วค่ะ ตอนนี้จะอดออมเงินสำรองเผื่อตกงานค่ะ อิอิ
7. ได้ประสบการณ์ บทเรียนชีวิตให้จำไปจนตายค่ะ ว่าเราจะงะทำงาน จนกว่าเราจะมีลูกค่ะ ถ้าลูกโตไม่ต้องให้เราดูแลแล้ว ก็คิดว่าอยากกลับมาทำงานค่ะ
คำแนะนำ
ถ้า จขกท ยังคิดอยากให้แฟนออกจากงาน ง่ายๆเลยค่ะ ที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดียวกับเรา
ให้เงินเยอะๆ ให้เวลาเยอะๆ ค่ะ อิอิ
เราว่าถ้าแฟนให้เดือนละ 5หมื่น เราก็คงไม่ทำงานยันวันนี้หรอกค่ะ และอาจไม่ได้แต่งงานกับแฟนคนนี้ด้วย เพราะเค้าคงเขี่ยเราทิ้ง เพราะคิดว่าเป็นปลิงดูดเงินแน่ๆ ^^
แฟนเงินเดือน 120,000 บาทค่ะ อายุ 29 ย่าง 30
ส่วนเราอายุ 24 ย่าง 25 สมัยทำงาน เงินเดือน 55,000 บาท และได้ค่าขนมจากแฟนเดือนละ 5,000-10,000 บาท
บ้าน. เช่าอยู่ค่ะ แต่เจ้านายจ่ายให้ (แฟนกับเราอยู่บริษัทเดียวกันค่ะ)
รถ. แฟนมีรถเป็นของตัวเองค่ะ ส่วนเราไม่มี อาศัยเรียกแกร๊บหรือแท็กซี่เวลาไปไหนคนเดียว
เคยออกจากงานหลังอยู่กินกับแฟนค่ะ เนื่องจากอยากพักผ่อน แต่ออกได้แค่ 4เดือน ตอนนี้กลับมาทำงานแล้วค่ะ
เหตุผลหลักเลยที่เริ่มทำงานอีกครั้ง
1. รู้สึกสมเพชตัวเองค่ะ
เพราะ แต่ก่อนที่เราทำงาน เราจะชอบซื้อของเข้าบ้านตอนเย็นหลังเลิกงาน เช่น ซื้อของเข้าตู้เย็น หรือซื้อเครื่องอาบน้ำ, ซื้อน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ซึ่งเราจะชอบเน้นราคาสูงนิดนึงค่ะ แต่พอหยุดทำงาน แน่นอนว่าเงินก็ต้องหมดลง ก็เริ่มหาเลือกซื้อของใช้ที่ราคาถูกลง เช่น น้ำยาล้างจานจากที่ใช้ ขวดเล็ก 150 กว่าบาท ก็หันมาใช้ น้ำยาล้างจานแบบเติม 32 บาท หรือน้ำยาปรับผ้านุ่มราคาแพงๆหอมๆ ก็เปลี่ยนมาใช้แบบ 19 บาท หรือจากที่ชอบซื้อของในวิลล่า ก็หันมาเข้าแต่โลตัสค่ะ (( ในส่วนนี้ ตอนนี้ เราภูมิใจค่ะ เพราะพอผ่านวิกฤตนั้นมา มันกลายเป็นการช่วยเราลดค่าใช้จ่ายลง จน ณ วันนี้ เราก็ยังชอบเข้าโลตัสแทนวิลล่าแล้วค่ะ )) ซึ่งในเวลานั้น เรารู้สึกอายหน่อยๆค่ะ เพราะที่บ้าน จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้ จากที่ต้องผสมเดทตอล หรือน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ ก็กลายเป็นไม่ต้องใช้ จากน้ำยาอะไรดี แชมพูดีๆ ก็กลายเป็นซื้อธรรมดาๆ หรือเรื่องซื้อหมู ก็ซื้อของโลตัสแทนซื้อหมูของเบทาโกร (แต่อย่างที่บอก ตอนนี้หันมากินหมูโลตัสหมูบิ๊กซีแล้วค่ะ ผักบิ๊กซีก็สดและสวยไม่แพ้วิลล่าค่ะ) แต่ตอนนั้น เราคิดแค่ว่าอาย พอมันอายหลายๆครั้ง เราเริ่มไม่ค่อยอยากออกไปซื้อของค่ะ กลายเป็น ตู้เย็นเริ่มว่าง น้ำยงน้ำยาขาดบ่อย ประมาณหมดก็ไปซื้อจากเซเว่นมาแทน แฟนก็เลย อ๋อ เพิ่งคิดได้ว่าการจับจ่ายในบ้าน ต้องใช้เงิน นางก็ให้เงินค่ะ จากค่าขนมห้าพันบ้างหนึ่งหมื่นบ้าง ก็กลายเป็นให้ 2 หมื่นบาทถ้วน รวมค่าส่วนตัวและซื้อของจุกจิก มันเลยกลายเป็นทุกวันนี้ เซฟตัวเองได้ว่า จับจ่ายในบ้านเดือนละ 2หมื่นก็พอ จนมันเป็นระบบแล้วค่ะ แต่แต่แต่ ไอ้2หมื่น มันพอแค่จับจ่ายในบ้านค่า มันไม่พอต่อค่าเครื่องสำอางหรือจุกจิกส่วนตัวค่ะ ไม่พอไปเที่ยวสังสรรค์อะไรข้างนอก ถ้าเราอยากไปเที่ยว เราต้องขอเงินแฟน อยากได้เครื่องสำอางเซรั่มดีๆ ต้องขอเงินแฟน แฟนเราก็ให้ทุกครั้งนะคะ ไม่มีอิดออด ขอปุ้ปให้ปั้ป ให้เกินราคาด้วยค่ะ เราก็เลยกลายเป็น เห็นหน้าแฟน เอะอะก็ขอเงิน จนวันนึง เห็นแฟนกลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ เราก็ไม่กล้าขอเงิน มันรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาทันทีเลยค่ะ จากนั้น เราก็เลิกขอ อะไรส่วนตัว เที่ยวหรือเครื่องสำอาง หมดคือหมด ไม่ค้องใช้ คลินิกผิว ไม่ต้องไป จนมันมากลายเป็น
2. เก็บตัว ไม่มีสังคม
หลังจากที่เราได้รับเดือนละ 2หมื่น มันพอต่อการจับจ่ายในบ้าน คือมันพอดีแต่จับจ่ายในบ้านจริงๆ ไม่พอให้เราใช้สอย เราก็ไม่ใช้ค่ะ เพราะเลิกขอเงินไปแล้ว แฟนก็คิดว่าเราบริหารจัดการเงินจากในส่วนนั้นมาใช้ส่วนตัวด้วย แฟนก็เลยคิดว่าพอ ไม่ได้ให้อะไรเพิ่มค่ะ เราก็เลยใช้ชีวิตตามประสาเรา อยู่แต่ในบ้าน เริ่มปล่อยตัวเอง ไม่แต่งตัว วันๆอยู่แต่ในบ้าน ติด Netflix เริ่มไม่อาบน้ำ เริ่มขี้เกียจ เพื่อนโทรมาชวนไปไหน ไม่ไป ลามไปถึง แฟนชวนไปไหน ไม่ไป เพราะไม่อยากแต่งตัวออกไปไหน อยู่บ้านเสื้อยืด หน้ามัน รู้สึกมันสบายสุดๆ กลายเป็น ไม่อยากให้ใครมาบ้าน ไม่อยากพบใคร เพราะสภาพเราบางทีทั้งวันไม่แปรงฟันไม่อาบน้ำก็มี นอนดูทีวีโนบราทั้งวัน แฟนก็เลยเริ่มสังเกตว่าเราไม่มีสัมคม จากที่เพื่อนน้อยแล้ว เลิกทำงาน เพื่อนร่วมงานก็ไม่มีไรให้คุยอีก ก็เลยเลิกติดต่อตามกาลเวลา พอเริ่มเก็บตัว ติดแต่ในบ้าน มันเปลี่ยนนิสัยเราค่ะ..
3. ขี้เกียจ, อารมณ์รุนแรง ไม่ร่าเริง
ขี้เกียจอาบน้ำ ขี้เกียจทำกับข้าว (เพราะในตู้เย็น ไม่ค่อยจะมีอะไรให้ทำแล้วค่ะ) อยู่กับตัวเองทั้งวัน พอแฟนกลับมาเห็นสภาพเรา ก็ต้องบ่นค่ะ ทำไมไม่อาบ ชวนไปไหนไม่ไป แม้แต่เซเว่นอยู่ในหมู่บ้านเองก็ยังไม่ไปเลยค่ะ แฟนก็รู้สึกว่าเราขี้เกียจ สกปรก เราก็รู้สึกได้ค่ะ แต่คิดว่า แล้วไง ยังไงก็ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้เจอใคร และที่หนักสุดคือ เราเริ่มไม่ค่อยยิ้มแย้ม ไม่ค่อยชวนแฟนคุยแล้วค่ะ อาจจะเพราะสังคมเรามันต่างกัน สมัยก่อนไปทำงานด้วยกัน มันก็มักจะมีเรื่องให้เมาท์สนุกสนานทุกวัน แต่พอเราอยู่แต่กับบ้าน ก็ไม่ได้ทำอะไร ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้เล่า ก็เลยกลายเป็นเงียบๆไป พูดคำต่อคำอยู่แค่นั้น พอพูดคุยกันน้อย จำนวนการยิ้มก็น้อยลง (แฟนเราชอบเรา เพราะเราเป็นคนร่าเริง พูดเยอะ ตัวแฟนเองเป็นคนชอบหัง ไม่ค่อยพูดค่ะ) บรรยากาศในบ้านเริ่มเย็นชาขึ้นค่ะ จนหลังๆ แฟนเริ่มมีสังสรรค์นอกบ้าน มันเลยกลาย..
4. ทะเลาะ
บริษัทเราบรรดาเจ้านายเค้าจะชอบอยู่เป็นครอบครัวค่ะ บ้านก็เช่าติดๆกัน ไปไหนไปด้วยกัน จริงๆ มันก็ไม่ได้บ่อยขึ้นหรอกค่ะ แต่ด้วยว่า ตัวเราไม่ไป แฟนไปคนเดียว ก็เลยเริ่มรู้สึกว่า ทำไมออกไปกินเหล้าบ่อย บ้านก็กลับเึก (ถ้าไปด้วยกัน ก็ดึกด้วยกัน มันก็จะไม่มีปัญหาค่ะ อิอิ) แฟนเราไปสังสรรค์ เราไม่เคยว่าค่ะ เพราะแฟนเค้าก็เป็นแบบนี้ก่อนคบเรา คบกัน เราก็ไปด้วยกัน แค่ช่วงนั้น เราหมกอยู่แต่กับบ้าน เพราะเราก็ออกจากงานแล้ว ไม่รู้จะไปบ้านเจ้านายทำไม ก็เลยปล่อยเค้าไปคนเดียวค่ะ พอหลายๆครั้งเข้าจนรู้สึกว่า เอ้ะ มันดึกไปนะ ตีสอง ตีสี่ ก็ยังไม่กลับบ้าน จริงๆแค่ไปกินบ้านหลังถัดไปเอง แต่มันก็เป็นบ่อเกิดของการทะเลาะกัน งอลกันบ่อยขึ้น อาจเป็นเพราะเราใช้เวลาอยู่บ้านคนเดียวทั้งวัน ตอนเย็นก็หวังว่าจะมีเค้าอยู่ แต่กลายเป็นต้องอยู่คนเดียว เริ่มกลายเป็น..
5. ความน้อยใจ
จริงๆก่อนนั้น เราแทบจะไม่ค่อยทะเลาะกัน ถึงแม้ว่าทะเลาะ ก็คุยด้วยเหตุผล 5 นาทีก็ดีกันแล้ว แต่ทำไมตอนนั้น มันรู้สึกว่าตัวเองไร้เหตุผล เอาแต่ใจ อยากเอาชนะ มันอาจจะเป็นการเรียกร้องความสนใจทางอ้อม เนื่องจากน้อยใจที่เค้าไปสังสรรค์ข้างนอก ทิ้งเราอยู่บ้านคนเดียวทั้งวัง พอน้อยใจ ก็เริ่มงอแง ก็วกกลับมาทะเลาะกันอีก
6. กลายเป็นเหมือนคนซึมเศร้าไปเลยค่ะ จริงๆเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรคซึมเศร้าจริงๆ มันเป็นยังไง แต่รู้แค่ว่า เริ่มไม่อยากเจอใคร เริ่มไม่พูด เริ่มนอนทั้งวัน รู้สึกตัวเองไร้ค่า เริ่มคิดว่าเราอยู่ไปทำไม วันๆไม่มีจุดหมายในชีวิตเลยค่ะ
จนวันนึง ไหนๆเราก็นอนอยู่บ้านทั้งวัน เปิดแอร์ทั้งวัน ค่าไฟก็ขึ้นเอาๆ (ช่วงนั้นเดือนละ 5พันกว่าบาทเลยค่ะ จากปกติตอนนี้ 2,000) สมัยก่อนค่าไฟนี่ ใครเห็นบิลก่อนก็จ่ายก่อน แต่พอหลังเลิกทำงาน ทำให้ขาดรายได้ เข้าช่วงเดือนที่ 3 เราก็ไม่มีเงินเพียงพอต่อการจ่ายในส่วนนี้ค่ะ ทำให้ต้อง “ขอ” เงินจากแฟนมาจ่ายแทน ซึ่งการ “ขอ” แต่ละครั้ง มันทำให้เราคิดว่า เรานี่โตขนาดนี้ ยังต้องมาแบมือขอตังอยู่อีก เอาวะ หารายได้เล็กๆน้อยๆ (เราเป็นล่ามค่ะ) รับจ๊อบแปลเอกสารเีกว่า ทำอยู่กับ ก็โพสต์ไป มีคนติดต่อมา นอกจากงานแปล เค้าจ้างงานล่ามด้วย เราก็เออ รับก็รับวะ พอเริ่มหันกลับมาทำงาน มีอะไรทำเป็นของตัวเอง รู้สึกได้เลยว่ากลับมามีชีวิตชีวา สดใสขึ้น
ทางบริษัทพอรู้ว่า เอ้า เรารับงานนอก ก็ติดต่อผ่านแฟน บอกถ้าพักผ่อนพอแล้ว ก็กลับมาทำงานเหมือนเดิมซะ เดี๋ยวเพิ่มเงินเดือนให้
ทุกวันนี้ กลับมาทำงานแล้วค่ะ และไม่คิดจะออก เพราะเงินเดือน 80,000 บาท รู้สึกคุ้มที่จะตื่นไปทำงาน ตอนนี้แพลนว่าจะทำงานไปด้วย ควบธุรกิจร้านอาหารไปด้วยค่ะ
จากการลาออกจากงานมาอยู่บ้าน ได้บทเรียนสำหรับเราหลายอย่างเลยค่ะ
1. รู้คุณค่าในตัวเอง หาเงินใช้เอง แฮปปี้มากค่ะเวลาเงินเดือนออก
2. มีสังคม สังสรรค์ มีเพื่อนร่วมงาน ไม่เหงาโดดเดี่ยวแล้วค่ะ
3. ความสัมพันธ์กับแฟน กลับมาดีเหมือนเดิมค่ะ พอทำงาน เราก็ไม่ค่อยหมกมุ่นกับแฟน ไปไหนไปด้วยกัน แฮปปี้ค่ะ
4. กลับมาดูแลตัวเอง เพราะต้องแต่งหน้าแต่งตัวไปทำงาน รู้สึกว่าสวยขึ้นค่ะ และใครๆก็คิดว่าเราเท่มากเวลาแปลภาษาได้แม่นยำและรวดเร็ว มันเหมือนเป็นความภูมิใจต่ออาชีพของตัวเราเอง อิอิ
5. รู้จักประหยัด จากที่ต้องของแพงๆ หันกลับมาเลือกของจากคุณภาพแทนราคา ของถูกและดีเหมือนของแพง มีเยอะแยะเลยค่ะ
6. รู้จักอดออมค่ะ เพราะช่วงนั้น ผ่านไปเดือนเดียว เราก็โบ๋เบ๋ ไม่มีเงินใช้แล้วค่ะ ตอนนี้จะอดออมเงินสำรองเผื่อตกงานค่ะ อิอิ
7. ได้ประสบการณ์ บทเรียนชีวิตให้จำไปจนตายค่ะ ว่าเราจะงะทำงาน จนกว่าเราจะมีลูกค่ะ ถ้าลูกโตไม่ต้องให้เราดูแลแล้ว ก็คิดว่าอยากกลับมาทำงานค่ะ
คำแนะนำ
ถ้า จขกท ยังคิดอยากให้แฟนออกจากงาน ง่ายๆเลยค่ะ ที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดียวกับเรา
ให้เงินเยอะๆ ให้เวลาเยอะๆ ค่ะ อิอิ
เราว่าถ้าแฟนให้เดือนละ 5หมื่น เราก็คงไม่ทำงานยันวันนี้หรอกค่ะ และอาจไม่ได้แต่งงานกับแฟนคนนี้ด้วย เพราะเค้าคงเขี่ยเราทิ้ง เพราะคิดว่าเป็นปลิงดูดเงินแน่ๆ ^^
แสดงความคิดเห็น
อายุ 35 เงินเดือน 100,000 บาท อาศัยอยู่ใน กทม. เพื่อนๆ คิดว่า เพียงพอที่จะให้แฟนลาออกจากงานมาดูลูกอย่างเดียวไหมครับ