"เรียนต่อที่ญี่ปุ่นยากไหม" แชร์ประสบการณ์เรียนต่อ ป. โทที่ญี่ปุ่นฉบับรวบรัด เข้าใจง่าย !

สวัสดีครับ ขณะนี้ผมเป็นนักเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ป.โท ที่ญี่ปุ่นครับ กำลังจะจบเดือนสองนี้แหละ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราก็มองย้อนกลับไปถึงตัวเราว่า ก่อนจะมาเรียนที่ญี่ปุ่นเนี่ย อะไรคือข้อสงสัย หรือติดใจเราในตอนนั้นกันนะ ผมก็เลยอยากจะมาแชร์ว่า สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่คิดจะมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นนี้ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง รวมทั้ง บรรยากาศและสภาพในการเรียนเป็นอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย!!

          
จำเป็นต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนไหม? ภาษาญี่ปุ่นยากไหม?

          ต้องบอกก่อนเลยว่าจนถึงตอนนี้ภาษาญี่ปุ่นผมก็ไม่ได้คล่องถึงขนาดฟังพูดเรื่อง 100% เหมือนเจ้าของภาษาเป๊ะๆ เนื่องด้วยศัพท์เฉพาะทางวิชาชีพ หรือแสลงต่างๆ นั้นเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะสามารถเข้าใจได้หมด (ก็เหมือนภาษาไทยของเราแแหละ บางคำเราก็ยังไม่รู้เลยจริงไหม?) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าถามว่าควรเรียนภาษาก่อนมาไหม จากประสบการณ์ของผมนั้นคือ "ถ้ามีเวลาก็ควร แต่ถ้าไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ซีเรียสอะไร"
          ทำไมถึงตอบอย่างนั้น เพราะ
          1. แม้เราจะเรียนภาษาที่ไทยมาอย่างหนักหน่วงซักเพียงใด แต่ถ้าไม่ได้ใช้ ไม่ได้พูด มันก็ไม่เวิร์คครับ แต่! การที่เราได้อ่าน ได้รู้มาก่อนว่า พยัญชนะตัวนี้อ่านออกเสียงว่าอย่างไร แกรมม่าพื้นฐานนั้นของภาษาเป็นไปในทิศทางไหน สิ่งนั้นย่อมเป็นประโยชน์ในการ Apply ต่อตอนมาเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นแน่นอน
          2. ถ้าถามว่าภาษาญี่ปุ่นยากไหม บอกเลยว่า "ยาก! ยากเวอร์!!! อะไรเยอะแยะ!" แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้แปลว่าเกินความสามารถครับ พูดบ่อยๆ ชวนเพื่อนคุยบ่อยๆ และที่สำคัญต้องเป็นคนช่างสังเกต และใฝ่รู้ตลอดเวลา เวลาเดินไปไหนมาไหนพยายามอ่านป้าย และสังเกตว่าภาษาญี่ปุ่นในป้ายนั้นเขียนว่าอะไร มีวิธีเขียนอย่างไร เวลาคุยกับคนญี่ปุ่น ก็สังเกตว่าเขามีวิธีพูด และใช้โครงสร้างประโยคแบบไหน แน่นอน บางทีเราก็ฟังไม่ได้หมดแหละครับ อาจถึงขั้นไม่รู้เรื่องเลยก็มี แต่ก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปครับ เคยมีคนบอกผมว่า "ถึงมันจะยากซักแค่ไหน ถ้ามันเป็นสิ่งที่ตนรัก จะไม่พยายามเลยเหรอ?" ผมก็ยึดติดคำๆ นี้เรื่อยมา สรุปคือเทคนี้ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนภาษาอะไรก็ตาม คือการ สังเกต และใฝ่รู้อยู่ตลอด ครับ
          3. ในกรณีผมนั้นผมได้เรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนที่ไทยครับ (สสท.) คือชอบมากกก เรียนสนุก ก็เลยพอจะมีพื้นๆ มาก่อน คืออ่านออกเสียงได้ (แต่คันจิยังรู้น้อยอยู่นะ) แล้วพอมาญี่ปุ่น ก็มาเรียนคอร์สภาษาญี่ปุ่นที่มหาลัยอยู่ดี 1 ปี (สองเทอม) โดยเขาก็จะมีให้สอบคัดห้องครับ แล้วผมได้ห้องที่กวดเข้า N2 และครั้งนี้คือครั้งแรกสำหรับผมเลยที่นักเรียนที่เรียนด้วยไม่ใช่คนไทย! ช่วงแรกๆ นี่ตื่นเต้นมาก ไม่ค่อยกล้าพูดอะไรเท่าไหร่ครับ กลัวสำเนียงจะผิด แกรมม่าไม่ถูก ถึงทำให้ช่วงแรกค่อนข้างเขินอายในการพูด แต่พอเวลาผ่านไป เราเริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนในห้องมากขึ้น แล้วก็ลามไปถึงเพื่อนห้องต่างๆ อีกทั้งยังได้เจอกัน พูดคุยกันที่หอทุกวันอีก และยังมีไปเที่ยวด้วยกันอีก จึงทำให้กล้าพูดมากขึ้นจนสุดท้ายก็ความเขินอายก็ลดลงเยอะเลยครับ ช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงที่มีความสุขช่วงหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้ สรุป การจะฝึกภาษาให้เก่งต้องรู้จักพูด รู้จักชวนคุยครับ (และที่สำคัญคือ ควรดูบรรยากาศด้วย! เพราะไม่งั้นคุณจะกลายเป็นคนน่ารำคาญในทันที! ข้อนี้ต้องควรระวังเป็นอย่างยิ่งครับ)


แล้วเรื่อง Study Plan ล่ะ ?

          เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาลัยเลยครับ บางทีเขารีเควสตั้งแต่ก่อนเข้าเลย แต่กรณีผมคือ เราไปเรียนคอร์สที่ภาษาที่นู่นก่อน แล้วก็ค่อยเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาทีหลังก็ได้ ผมเลือกตอนเทอมสองครับ คือผมไปหามาว่า อยากเรียนเกี่ยวกับไฟฟ้า มีหัวข้อวิจัยอะไรที่เราสนใจบ้าง พอได้ชื่ออาจารย์ที่อยากเรียนด้วยแล้ว ก็ติดต่อกับอาจารย์ที่สอนภาษาญี่ปุ่นที่ห้องผม ให้ช่วยติดต่ออาจารย์วิศวะให้ แล้วพอนัดวันได้ก็ไปคุยกับอาจารย์ ถ้าอาจารย์โอเค ก็เตรียมตัวสอบข้อเขียนกับสอบสัมภาษณ์เลย ของมหาลัยผมไม่ยากครับ


การหาหอที่ญี่ปุ่น ยากไหม?

          สำหรับที่ญี่ปุ่นนั้น การหาหอเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งถ้ามาเรียนด้วยทุนของตัวเองแล้ว ก็ยิ่งหนักใจขึ้นไปอีก เพราะเราไปสามารถอยู่ๆ เดินเข้าไปหาเจ้าของหอได้โดยตรงเหมือนที่ไทยครับ แต่เราต้องติดต่อหานายหน้าของหอที่เราต้องการจะอยู่ หลังจากนั้น เขาก็จะติดต่อหอให้แล้วเริ่ม "การตรวจสอบ" ที่น่าหนักใจที่สุดก็ขั้นตอนการตรวจสอบที่แหละครับ เพราะหอส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น จำเป็นต้องมีผู้ค้ำประกันให้ โดยผู้ค้ำประกันต้องเป็นคนญี่ปุ่นที่มีงานทำแล้วด้วย ถ้าไม่มี การตรวจสอบก็จะไม่ผ่าน (แต่ที่ญี่ปุ่นก็มีบริษัทสำหรับช่วยค้ำประกันก็มีนะ คือไปจ้างเขาให้เป็นผู้ค้ำประกันให้เรา) ในกรณีของเพื่อนผมก็ให้อาจารย์ที่แสนใจดีนี่แหละครับ เป็นผู้ค้ำประกันให้
          มาพูดถึงเรื่องรายจ่ายแรก เวลาจะเข้าหอกันดีกว่าครับ เราควรนำค่าหอที่เขียนว่าคูณห้าครับ สำหรับค่าใช้จ่ายแรก (เช่น ค่าหอ 115,000 เยน ก็ควรเตรียมเงินไว้ประมาณ 575,000 ครับ) ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะ ตามประเพณีของญี่ปุ่นนั้น จะต้องจ่ายค่า ค่าแรกเข้า, ค่าแป๊ะเจี๊ยะ, ค่ามัดจำ, ค่าธรรมเนียมนายหน้า นู่นนี่นั่นอีกสารพัด นี่ยังไม่รวมถึงค่าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ พวกตู้เย็น, ไมโครเวฟ, โต๊ะอุ่นขา อีกนะ
          จะเห็นว่ารายจ่ายค่อนข้างสูงครับ ยิ่งอยู่ในตัวเมืองก็ยิ่งแพงกว่านี้อีก แต่บางมหาลัยก็มีหอให้อยู่นะ รายจ่ายก็จะถูกลง ในกรณีผมช่วงเรียนภาษาเขาจะให้อยู่หอในก่อน หลังจากนั้นก็ย้ายออกไปที่อื่น โดยค่าหอผมถูกมากเพราะอยู่ต่างจังหวัด เสียแค่เดือนละ 33,000 เยนเองครับ ส่วนค่าน้ำ ไฟ แก็ซ รวมๆ ก็ไม่เกิน 10,000 เยน ก็อยากจะให้เพื่อนๆ ลองพิจารณาเรื่องหออย่างถี่ถ้วนนะครับเพราะมันสำคัญมากจริงๆ


งานพาร์ทไทม์หายากไหม? เงินต่อชั่วโมงประมาณเท่าไหร่?

          สำหรับญี่ปุ่นนั้นเขาจะไม่ค่อยเรียกว่า "งานพาร์ทไทม์กันครับ" แต่จะเรียนกว่า "อะรุไบโตะ" หรือเรียกสั้นๆ ว่า "ไบโตะ" แต่ผมจะเรียกว่าไบท์ละกันนะครับ ถ้าถามว่าถึงแล้วควรรีบทำเลยไหม คำตอบของผมคือ "ถ้ารายได้ยังโอเคอยู่ รอให้ทุกอย่างเข้าที่ก่อน แล้วค่อยหาครับ" เพราะ
          1. เราควรโฟกัสเรื่องเรียนก่อน การจะไปสมัครไบท์นั้น 90 เปอร์เซน ดูที่การสัมภาษณ์ (ถ้าไม่นับร้านอาหารไทยนะ) ถ้าเราไม่ได้มีพื้นญี่ปุ่นมาก่อนเลย ก็ยากที่จะผ่านครับ ควรพูด อ่าน เขียนได้ อ่านสัญญาแล้วเข้าใจคร่าวๆ ได้ เพราะแน่นอน ต้องมีเรื่องที่เราต้องการจะถามผู้สัมภาษณ์อยู่แล้ว เช่นวันนี้สามารถมาทำได้ หรือต้องการจะทำช่วงเวลาไหน เป็นต้น
          2. ไบท์บางที่มีทำ OT เยอะครับ จริงอยู่ที่จะได้เงินเยอะขึ้น แต่ถ้าเลิกประมาณ 5 ทุ่ม แล้วกว่าจะกลับก็ไม่ไหวจริงไหมครับ อย่าลืมถามคนสัมภาษณ์ถึงจุดนี้ด้วยนะครับ
          สำหรับเงินเดือนนั้นเฉลี่ยจะอยู่ที่ 960 เยนต่อชั่วโมง (เกือบๆ 300 บาท) แต่ถ้าเวลาเลยสองทุ่มเป็นต้นไปจะมีบวกเปอร์เซ็นเพิ่ม ทำได้ไม่เกิน 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนใหญ่มีค่าเดินทางแยกให้ ถ้าสำหรับคนที่ภาษายังไม่แข็งแรงมาก แนะนำให้หาร้านอาหารไทยดูครับ เพราะส่วนใหญ่เจ้าของร้านเป็นคนไทย ก็สามารถพูดคุยกันได้ง่าย แต่ถ้าภาษาคิดว่าโอเคแล้ว ก็ทำตามซุปเปอร์ หรือโรงงานต่างๆ ก็ดีครับ ได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วย
          สำหรับผม ช่วงแรกทำงานอยู่ที่โรงอาหารในมหาลัยครับ แล้วตอนหลังเบื่อ เพราะว่าลงเวลาได้น้อย เจ้านายดุ เลยออกจาก Comfort Zone สมัครไปทั่วเลย แต่ก็ถูกปฏิเสธหมด (เศร้า 555+) ก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนไม่มีความตื่นเต้นกับการสัมภาษณ์แล้วครับ รู้ว่าควรพูดแบบไหน ทำตัวอย่างไร จนสุดท้ายได้ทำงานที่ Aeon อยู่แผนกปลา ช่วงนั้นนี้เป็นช่วงที่ภาษาพัฒนาแบบก้าวกระโดดมาก เพราะเป็นคนต่างชาติคนเดียวในแผนก แถมต้องฟังคำสั่งให้รู้เรื่องอีก (เพราะถ้าทำแบบเข้าใจผิดๆ ก็จะโดนดุ) นอกจากนี้ก็ต้องคุมเรื่องลดราคาสินค้าต่างๆ ต้องจำชื่อสินค้าให้ได้ แนะนำ/พูดคุยกับลูกค้าได้อีก จึงเป็นช่วงที่สนุกมากกกกกกก และไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่เลยครับ หัวหน้าดุนะ แต่ใจดี คือเขาดุแบบสอน ไม่ใช่อะไรๆ ก็ดุเราอย่างเดียว เพื่อนไบท์ก็โอเค ผมว่าถ้าคนโอเค งานก็จะไม่เหนื่อยมากครับ เพราะทุกคนรู้มือกัน
          โดยผมเลือกทำ 2-3วันต่อสัปดาห์ 16:30 - 22:00 รายได้ก็จะประมาณเดือนละ 75,000 เยนครับ
    
          สำหรับกระทู้นี้เดี๋ยวผมขอพักไว้ก่อนเพราะมีธุระข้างนอก เดี๋ยวจะมาต่อนะครับ ^^
          และช่วงนี้ผมได้ทำเพจๆ หนึ่ง ชื่อ "รีวิวปลิวว่อน" เพจที่จะพาคุณไปกิน เที่ยว และอ้วนไปพร้อมๆ กัน ตามลิงค์นี้เลย https://www.facebook.com/rookiesuper12345/ ถ้าชอบกดไลค์ ใช่คนแชร์นะครับบ แล้วเดี๋ยวมาต่อน้าาา ^___^

          
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่