ในแง่ของหนัง Glass ถือว่าเป็นหนังที่ฟอร์มต่ำสุดในทั้งสามเรื่องเพราะมีแค่ฉากพูดคุยและฉากสู้ง่ายๆง่อยๆที่ไร้ซึ่งชั้นเชิงและความต่อเนื่องโดยสิ้นเชิง แถมฉากในเรื่องหลักๆยังมีอยู่แค่ที่เดียวเลยเพิ่มความน่าเบื่อได้อีกมาก จะมีดีก็แค่การแสดงของ เจม แมคอวอย ที่ขโมยซีนได้มากๆแถมดูได้ไม่น่าเบื่อที่ช่วยดึงหนังให้สนุกขึ้นได้ ในขณะสองเรื่องก่อนนี้สามารถบิ้วท์อารมณ์เรื่องได้ดีกว่ามากๆ
แต่ในแง่ของเนื้อหาและประเด็น Glass ได้หยิบเอาสิ่งที่สองเรื่องก่อนหน้านี้วางเอาไว้มาสรุปต่อยอดได้อย่างน่าสนใจ ดังนั้นถ้าหากจะดู Glass ให้สนุกก็ควรดูสองเรื่องนั้นก่อน และถ้าจะดูสองเรื่องนั้นให้สนุกก็ควรดูในฐานะหนังระทึกขวัญไม่ใช่หนังฮีโร่
หลังจากนี้จะมีสปอยล์มันทั้งสามเรื่อง ถ้าใครอยากดูอยู่ขอแนะนำให้เลิกอ่านเพราะทั้งสามเรื่องเป็นหนัวที่ถ้าถูกสปอยล์จุดจบก่อนแล้วจะไม่สนุกเลย
--------------------------------------------
ทั้งสามเรื่องโยงกันไว้ด้วยอาไลจาห์หรือมิสเตอร์กลาส (ซามัวร์ แอล แจ็คสัน) ผู้เกิดมาเป็นโรคกระดูกพรุนทำให้บาดเจ็บง่าย สิ่งนี้ทำให้อาไลจาห์ได้มั่นใจว่าถ้ามีคนท่อ่อนแอก็ย่อมต้องมีผู้เข้มแข็ง ถ้ามีคนบาดเจ็บง่ายก็ต้องมีผู้ที่อยู่ยงคงกระพัน ความเชื่อนี้บวกกับความชอบในการ์ตูนคอมมิคกลายเป็นเป้าหมายให้อาไลจาห์ใช้ชีวิตตามหาสิ่งที่ตนเชื่อคือการมีอยู่ของซุปเปอร์ฮีโร่ อาไลจาห์ตีกรอบให้ซุปเปอร์ฮีโร่ในความเชื่อของเค้าไม่ได้เว่อร์มากและมีความเป็นไปได้ในระดับที่จะอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์
ใน Unbreakable คนดูได้ถูกกรอบการนำเสนอในหนังว่าเป็นโลกจริงที่ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่อาไลจาห์ได้โน้มน้าวให้เดวิด ดันน์ (บรูซ วิลลิส) เชื่อว่าเจ้าตัวมีพลังเหนือธรรมชาติ หลังจากนั้นหนังก็โน้มน้าวคนดูสลับไปมาให้คนดูเลือกที่จะเชื่อก่อนที่จะเฉลยให้รู้ในตอนจบ
เช่นเดียวกับ Split ที่เล่าถึงบุคลิกที่ 24 ของเควิน ครัมป์ (เจม แมคอวอย) ที่เรียกว่าเดอะบีสท์ เดอะบีสท์มีแรงมหาศาล ปีนป่ายกำแพง และร่างกายแข็งแกร่ง ตัวหนังที่เล่ามาในแนวสมจริงสมจังมาทั้งเรื่องชวนให้คนดูสงสัยอยู่ตลอดว่าไอ้ตัวพรรค์นี้จะมีได้ไงวะ แต่ใน Glass อาไลจาห์กลับเชื่อในทันทีที่รู้เรื่อง เพราะมันเป็นสิ่งที่เค้าศรัทธาเฝ้าหาตลอด
การโน้มน้าวจากจิตแพทย์กับผู้เกี่ยวข้องกับทั้งสามคนที่รู้ว่าพลังเหนือมนุษย์นี้มีอยู่จริง เหมือนเป็นการตีกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ที่พ่อแม่เอามาพูดกับเราตอนเด็กๆอยู่บ่อยๆ
ฝ่ายนึงคิดว่ามันเป็นแค่การ์ตูน และพยายามหาเหตุผลมาค้าน แต่อีกฝ่ายศรัทธาในการ์ตูนและพยายามแสดงให้เห็นว่ามันมีจริง
นี่คือประเด็นหลักที่ Glass นำเสนอ ฟังดูแล้วมันช่างเป็นอะไรที่จูนีเบียวและโอตาคุเอามากๆ แต่มันก็ทำให้ผมชอบหนังไตรภาคสามเรื่องนี้เอามากๆ
สิ่งที่มิสเตอร์กลาสต้องการคือการประกาศให้โลกรู้ว่ามีฮีโร่และวายร้ายอยู่จริง เค้าต้องการสร้างสถานการณ์ทุกอย่างตามในการ์ตูน เพื่อพิสูจน์ศรัทธาของตัวเอง ไม่ได้สนแพ้ชนะ ไม่ได้สนอำนาจสนใจเงินทอง สิ่งที่ทำคือการปั้นซุปเปอร์ฮีโร่อย่างดันน์ขึ้นมาเพื่อปราบวายร้ายซึ่งก็คือตัวเอง แม้ตัวเองจะแพ้แต่สิ่งที่ตัวเองศรัทธาก็จะถูกพิสูจน์ ตัวร้ายที่เต็มไปด้วย Passion แบบนี้มันโคตรเท่จริงๆ
แถมสิ่งที่มิสเตอร์กลาสศรัทธา ก็เป็นเป็นสิ่งที่ทุกคนฝังใจอยากให้มีอยู่แล้ว ในความเป็นผู้ใหญ่เรามีความเป็นเด็ก ในความเป็นจริงเรามีความเพ้อฝัน เชื่อเลยว่าในใจทุกคนชอบทีจะฟังข่าวฮีโร่ออกมาช่วยคน ปาฏิหารย์คนที่รอดตายจากอุบัติเหตุ คนดีสู้กับคนร้าย การปรากฏตัวของยอดมนุษย์ ฯลฯ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ระหว่างดูจะแอบเชียร์เจ้าหมอนี่อยู่ตลอด
"ผมจะออกไประเบิดตึกนั้น จะมีคนตายเป็นร้อยๆพันๆ มีแค่ประตูเหล็กกล้าที่กั้นคุณกับผมอยู่ ถ้าคุณมีพลังเหนือมุษย์จริงคุณจะพังมันออกมาเพื่อหยุดผม แต่ถ้าไม่ คุณก็นอนฟังข่าวระเบิดตึกอยู่นี่ได้เลย"
จำประโยคเป๊ะๆไม่ได้ แต่เป็นท่อนที่ฟังแล้วแสดงถึงเป้าหมายของพี่แกได้ชัดเจนจนน่าขนลุกดี
ขนาดวายร้ายยังศรัทธาในการมีอยู่ของฮีโร่ แล้วคนดูล่ะศรัทธาในการมีอยู่ของการ์ตูนที่ดูๆอ่านๆอยู่ขนาดไหน
ลองเปลี่ยนเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ถ้าบอกว่าโกคูไม่มีอยู่จริงอาจดูเว่อร์ไป แต่ถ้าลองปรับกรอบแล้วบอกว่าอาจารย์แบบโอนิซึกะมีอยู่จริง ทุกอย่างมันจะดูน่าเป็นไปได้และน่าศรัทธาขึ้นมาเลยจริงๆ ว่ามั้ย?
-Aya-
สุดท้ายนี้ขอแอบฝากเพจจ้า -3-
ทะ ที่ชั้นรีวิวนี่ ไม่ได้หมายความว่าชอบหรอกนะ
https://www.facebook.com/TsundereReview
Unbreakable - Split - Glass - คุณมีศรัทธาในการ์ตูนมั้ย (Spoil)
แต่ในแง่ของเนื้อหาและประเด็น Glass ได้หยิบเอาสิ่งที่สองเรื่องก่อนหน้านี้วางเอาไว้มาสรุปต่อยอดได้อย่างน่าสนใจ ดังนั้นถ้าหากจะดู Glass ให้สนุกก็ควรดูสองเรื่องนั้นก่อน และถ้าจะดูสองเรื่องนั้นให้สนุกก็ควรดูในฐานะหนังระทึกขวัญไม่ใช่หนังฮีโร่
หลังจากนี้จะมีสปอยล์มันทั้งสามเรื่อง ถ้าใครอยากดูอยู่ขอแนะนำให้เลิกอ่านเพราะทั้งสามเรื่องเป็นหนัวที่ถ้าถูกสปอยล์จุดจบก่อนแล้วจะไม่สนุกเลย
--------------------------------------------
ทั้งสามเรื่องโยงกันไว้ด้วยอาไลจาห์หรือมิสเตอร์กลาส (ซามัวร์ แอล แจ็คสัน) ผู้เกิดมาเป็นโรคกระดูกพรุนทำให้บาดเจ็บง่าย สิ่งนี้ทำให้อาไลจาห์ได้มั่นใจว่าถ้ามีคนท่อ่อนแอก็ย่อมต้องมีผู้เข้มแข็ง ถ้ามีคนบาดเจ็บง่ายก็ต้องมีผู้ที่อยู่ยงคงกระพัน ความเชื่อนี้บวกกับความชอบในการ์ตูนคอมมิคกลายเป็นเป้าหมายให้อาไลจาห์ใช้ชีวิตตามหาสิ่งที่ตนเชื่อคือการมีอยู่ของซุปเปอร์ฮีโร่ อาไลจาห์ตีกรอบให้ซุปเปอร์ฮีโร่ในความเชื่อของเค้าไม่ได้เว่อร์มากและมีความเป็นไปได้ในระดับที่จะอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์
ใน Unbreakable คนดูได้ถูกกรอบการนำเสนอในหนังว่าเป็นโลกจริงที่ไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่อาไลจาห์ได้โน้มน้าวให้เดวิด ดันน์ (บรูซ วิลลิส) เชื่อว่าเจ้าตัวมีพลังเหนือธรรมชาติ หลังจากนั้นหนังก็โน้มน้าวคนดูสลับไปมาให้คนดูเลือกที่จะเชื่อก่อนที่จะเฉลยให้รู้ในตอนจบ
เช่นเดียวกับ Split ที่เล่าถึงบุคลิกที่ 24 ของเควิน ครัมป์ (เจม แมคอวอย) ที่เรียกว่าเดอะบีสท์ เดอะบีสท์มีแรงมหาศาล ปีนป่ายกำแพง และร่างกายแข็งแกร่ง ตัวหนังที่เล่ามาในแนวสมจริงสมจังมาทั้งเรื่องชวนให้คนดูสงสัยอยู่ตลอดว่าไอ้ตัวพรรค์นี้จะมีได้ไงวะ แต่ใน Glass อาไลจาห์กลับเชื่อในทันทีที่รู้เรื่อง เพราะมันเป็นสิ่งที่เค้าศรัทธาเฝ้าหาตลอด
การโน้มน้าวจากจิตแพทย์กับผู้เกี่ยวข้องกับทั้งสามคนที่รู้ว่าพลังเหนือมนุษย์นี้มีอยู่จริง เหมือนเป็นการตีกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ที่พ่อแม่เอามาพูดกับเราตอนเด็กๆอยู่บ่อยๆ
ฝ่ายนึงคิดว่ามันเป็นแค่การ์ตูน และพยายามหาเหตุผลมาค้าน แต่อีกฝ่ายศรัทธาในการ์ตูนและพยายามแสดงให้เห็นว่ามันมีจริง
นี่คือประเด็นหลักที่ Glass นำเสนอ ฟังดูแล้วมันช่างเป็นอะไรที่จูนีเบียวและโอตาคุเอามากๆ แต่มันก็ทำให้ผมชอบหนังไตรภาคสามเรื่องนี้เอามากๆ
สิ่งที่มิสเตอร์กลาสต้องการคือการประกาศให้โลกรู้ว่ามีฮีโร่และวายร้ายอยู่จริง เค้าต้องการสร้างสถานการณ์ทุกอย่างตามในการ์ตูน เพื่อพิสูจน์ศรัทธาของตัวเอง ไม่ได้สนแพ้ชนะ ไม่ได้สนอำนาจสนใจเงินทอง สิ่งที่ทำคือการปั้นซุปเปอร์ฮีโร่อย่างดันน์ขึ้นมาเพื่อปราบวายร้ายซึ่งก็คือตัวเอง แม้ตัวเองจะแพ้แต่สิ่งที่ตัวเองศรัทธาก็จะถูกพิสูจน์ ตัวร้ายที่เต็มไปด้วย Passion แบบนี้มันโคตรเท่จริงๆ
แถมสิ่งที่มิสเตอร์กลาสศรัทธา ก็เป็นเป็นสิ่งที่ทุกคนฝังใจอยากให้มีอยู่แล้ว ในความเป็นผู้ใหญ่เรามีความเป็นเด็ก ในความเป็นจริงเรามีความเพ้อฝัน เชื่อเลยว่าในใจทุกคนชอบทีจะฟังข่าวฮีโร่ออกมาช่วยคน ปาฏิหารย์คนที่รอดตายจากอุบัติเหตุ คนดีสู้กับคนร้าย การปรากฏตัวของยอดมนุษย์ ฯลฯ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่ระหว่างดูจะแอบเชียร์เจ้าหมอนี่อยู่ตลอด
"ผมจะออกไประเบิดตึกนั้น จะมีคนตายเป็นร้อยๆพันๆ มีแค่ประตูเหล็กกล้าที่กั้นคุณกับผมอยู่ ถ้าคุณมีพลังเหนือมุษย์จริงคุณจะพังมันออกมาเพื่อหยุดผม แต่ถ้าไม่ คุณก็นอนฟังข่าวระเบิดตึกอยู่นี่ได้เลย"
จำประโยคเป๊ะๆไม่ได้ แต่เป็นท่อนที่ฟังแล้วแสดงถึงเป้าหมายของพี่แกได้ชัดเจนจนน่าขนลุกดี
ขนาดวายร้ายยังศรัทธาในการมีอยู่ของฮีโร่ แล้วคนดูล่ะศรัทธาในการมีอยู่ของการ์ตูนที่ดูๆอ่านๆอยู่ขนาดไหน
ลองเปลี่ยนเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ถ้าบอกว่าโกคูไม่มีอยู่จริงอาจดูเว่อร์ไป แต่ถ้าลองปรับกรอบแล้วบอกว่าอาจารย์แบบโอนิซึกะมีอยู่จริง ทุกอย่างมันจะดูน่าเป็นไปได้และน่าศรัทธาขึ้นมาเลยจริงๆ ว่ามั้ย?
-Aya-
สุดท้ายนี้ขอแอบฝากเพจจ้า -3-
ทะ ที่ชั้นรีวิวนี่ ไม่ได้หมายความว่าชอบหรอกนะ
https://www.facebook.com/TsundereReview